lördag 21 februari 2015

ตาสว่างที่ 6: งบประมาณของกษัตริย์ล้นฟ้างบประชาจึงหายาก ( นี่คือสังคมทาสแบบใหม่ของกษัตริย์ภูมิพลและครอบครัว ผู้เรียบเรียง )



10ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว:
ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน
นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี

ตาสว่างที่6:งบประมาณของกษัตริย์ล้นฟ้างบประชาจึงหายาก

งบประมาณแผ่นดินเก็บจากภาษีประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมปัจจุบันมี 2,000,000 ล้านบาทเศษ (ส่วนใหญ่เก็บภาษีไม่ได้เท่าจำนวนงบประมาณที่ตั้งเราเรียกว่าเป็นงบประมาณขาดดุลส่วนที่ขาดจะต้องกู้มาเพิ่ม) โดยแบ่งเป็นเป็นค่าใช้จ่ายงบเงินเดือนและสวัสดิการของข้าราชการและลูกจ้างสูงมากที่สุดกว่า 50% (หลักการจัดงบประมาณถือว่าไม่ถูกต้องแต่ระบบราชการไทยเป็นของกษัตริย์มีอำนาจเหนือรัฐบาล โดยเฉพาะข้าราชการทหาร ดังนั้นรัฐบาลใหนก็ไม่กล้าไปลดขนาดจำนวนข้าราชการและปรับปรุงประสิทธิภาพให้คุ้มกับเงินเดือนเพราะจะเกิดการต่อต้านแล้วก็ตามมาด้วยรัฐประหารดังเช่นรัฐบาลทักษิณ), งบชำระหนี้เงินกู้ประมาณ 25% ที่เป็นงบของกษัตริย์ประมาณ10% (ประมาณ200,000ล้านบาทเศษ) ที่เหลือ15% ทำทานให้ประชาชนกิน ด้วยเหตุนี้วังจึงต่อต้านนโยบายรัฐสวัสดิการหรือนโยบายประชานิยม รวมถึงนโยบายจำนำข้าวของทักษิณแต่เน้นให้ส่งเสริมเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงก็เพื่อจะได้ไม่ให้กระทบกับห่อเงินงบประมาณของวังในแต่ละปี โดยไม่สนใจว่าคนยากจนจะทุกข์ยากลำบากไม่มีโอกาสในการที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตและประเทศชาติจะล้าหลังการพัฒนา

ค่าใช้จ่ายในราชสำนักทั้งหมดเริ่มตั้งแต่เงินเดือนของ กษัตริย์ พระราชินี, พระบรมวงศานุวงศ์และเงินเดือนข้าราชการที่รับใช้ในวังทั้งหมดรวมทั้งที่ใช้เลี้ยงหมา, ค่าไฟฟ้าน้ำประปาและค่าใช้จ่ายในการแปรพระราชฐานรวมทั้งค่าใช้จ่ายงานศพของคนในพระราชวงศ์ ล้วนใช้จ่ายจากเงินภาษีของประชาชนและเป็นงบที่สมาชิกรัฐสภาห้ามอภิปรายและปปช.ห้ามตรวจสอบ, ปัญญาชนคนใหนที่บอกว่างบประมาณค่าใช้จ่ายของกษัตริย์ถูกกว่าและโปร่งใสกว่างบค่าใช้จ่ายของประธานาธิบดี ก็มาดูรายละเอียดกัน

1.งบประมาณของสำนักพระราชวังโดยตรง 6,000 ล้านบาทเศษ (โดยไม่รวมงบแฝง)

ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของราชสำนักที่เป็นเงินเดือนของกษัตริย์พระบรมวงศานุวงศ์และขี้ข้าในวังทั้งหมดที่ทุกรัฐบาลต้องจัดตั้งให้ที่ปรากฎในพระราชบัญัญัติงบประมาณประจำปีในหมวดสำนักพระราชวังอยู่ที่ 6,000 กว่าล้านบาท (ในที่นี้ขอเสนอตัวเลขกลมๆรายละเอียดของเศษหาดูได้ในตัวร่าง พ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดิน) ซึ่งเท่ากับงบประมาณของกระทรวงขนาดกลางเช่นพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมโดยสำนักงานพระราชวังนำไปบริหารเอง (แต่ความเป็นจริงงบค่าน้ำค่าไฟที่ตั้งไว้ก็ไม่จ่ายให้แก่หน่วยงานการไฟฟ้านครหลวงและการประปานครหลวงโดยติดหนี้ไว้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจก็ไม่กล้าทวง, ซึ่งไม่รวมถึงค่าไฟฟ้าที่ฟระดับประดาอยู่รอบวังและที่ใช้ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา)

2.งบประมาณส่งเสริมความมั่นคงสถาบันพระมหากษัตริย์ 20,000 ล้านบาทเศษ

เป็นงบประมาณที่ตั้งไว้ในทุกกระทรวงทบวงกรมโดยปรากฎในพระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดินในชื่อเดียวกันคือ "ส่งเสริมความมั่นคงสถาบันพระมหากษัตริย์" รวมทุกกระทรวงแล้วประมาณ 20,000 ล้านบาทเศษ, งบส่วนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของราชสำนักเป็น 2 ส่วน ดังนี้...

2.1 ตามโครงการประจำปีที่กำหนดไว้
ในแต่ละกระทรวงทุกหน่วยงานจะกำหนดงานส่วนนี้ไว้โดยถือเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกกระทรวงทบวงกรมต้องทำ (คล้ายกับงบประมาณต่อต้านโรคเอดส์ในอดีตที่ทุกหน่วยงานต้องตั้งไว้) เช่นป้ายและซุ้มโฆษณากษัตริย์และครอบครัวทั้งหมดทุกพระองค์ที่กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงมหาดไทย (เช่นกรมการปกครอง,กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น,เทศบาล,อบต.,อบจ.), กระทรวงคมนาคม (โดยเฉพาะกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท) รวมถึงเงินที่ใช้เป็นค่ารถค่าอาหารและเบี้ยเลี้ยงประชาชนที่มหาดไทยสั่งให้นำคนเข้าไปกรุงเทพเพื่อร่วมในงานเฉลิมพระชนม์พรรษาของกษัตริย์หรือราชินี
2.2ตามพระราชประสงค์แล้วแต่พระราชดำริ
หากพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในพระบรมวงศานุวงศ์นึกอยากจะทำอะไรขึ้นมาในเวลานั้นๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายตัวอย่างที่เป็นจริงเช่นเมื่อคืนราชินีเกิดทรงพระสุบิน (ฝัน) ถึงบูรพมหากษัตริย์ในรัชสมัยอยุธยาเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรับสั่งว่าอยากจะเสด็จไปบูชาบูรพมหากษัตริย์ที่ทุ่งมะขามหย่อง จังหวัดอยุธยา ก็จะต้องมีการจัดงานรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ์ด้วยเงินภาษีอากรของประชาชนโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแม่งานจัดจ้างบริษัทเอกชนฟาร์มช้างอยุธยานำช้างมาทาสีเป็นช้างเผือกและบริษัทจัดงานจ้างนักร้องที่พระองค์ทรงโปรดมาขับกล่อมและจ่ายเงินให้กำนันผู้ใหญ่บ้านนำลูกบ้านมาต้อนรับเป็นต้น
งบประมาณในส่วนนี้กระทรวงกลาโหมจะเป็นเจ้าภาพใหญ่ โดยตั้งงบประมาณลอยไว้ทั้งในสำนักงานปลัดกระทรวง, กองทัพบก, กองทัพเรือ, กองทัพอากาศรวมถึงหน่วยงานเสณาธิการในทุกกองทัพแม้แต่ในภาวะที่กษัตริย์และราชินีป่วยนอนอยู่ในห้องไอซียูโรงพยาบาลศิริราช งบประมาณส่วนนี้ก็ไม่ลดลงและเมื่อสิ้นปีเงินส่วนนี้เหลือก็จัดแปลงโครงการตามใจชอบของหัวหน้าส่วนราชการเช่นพาข้าราชการแต่ละส่วนงานไปเที่ยวต่างประเทศภายใต้ชื่อว่าเป็นการดูงานต่างๆหรือนำไปใช้อะไรก็ได้โดยมักจะมีคำว่า "เฉลิมพระเกียรติ์" เข้าไปด้วย

3.งบประมาณส่งเสริมแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง100,000ล้านบาทเศษ

กำหนดเป็นแผนประจำปีในส่วนงานที่เกียวข้องโดยเฉพาะในกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตร, กระทรวงกลาโหม ซึ่งถือเป็นงบโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่งเพื่อสร้างภาพว่ากษัตริย์มีความห่วงใยต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ทั้งๆเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเป็นโครงการที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเพราะดำเนินการมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ประชาชนไม่เอาด้วยเริ่มตั้งแต่เอาเงินไปให้เปล่าแก่กำนันผู้ใหญ่บ้านทำสวนเกษตรเป็นต้นแบบรายละ 50,000 บาทและให้เงินเป็นเงินกู้แก่ประชาชนไปขุดบ่อน้ำเลี้ยงสัตว์แต่ก็ล้มเหลว เพราะไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงในสังคมบริโภคสมัยใหม่ที่ประชาชนและพระราชวงศ์ก็ต่างต้องการชีวิตที่สะดวกสะบายด้วยเครื่องไฟฟ้าและห้องแอร์คอนดิชั่นและโทรศัพท์มือถือและการซื้อสินค้าจากตลาดแต่    ปรากฎว่าในปีนี้รัฐบาล คสช. พลเอก ประยุทธ์ ก็สั่งการไปยังสำนักงบประมาณและเจ้ากระทรวงสำคัญที่ล้วนแล้วแต่ทหารนั่งเป็นรัฐมนตรีให้เน้นเป็นกรณีพิเศษเพื่อเอาใจกษัตริย์และเพื่อแสดงต่อประชาชนว่าเป็นรัฐบาลของกษัตริย์เพราะคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นแบรนด์สำคัญของกษัตริย์ภูมิพลไปแล้วโดยเพิ่มงบเป็นพิเศษเกือบ 200,000 ล้านบาท (ถ้าโครงการเศรษฐกิจพอเพียงดีจริงทำมานานกว่า 20 ปี แล้วทำไมต้องเพิ่มงบขึ้นเรื่อยๆ? และทำไมต้องประกาศหาผู้กล้าเหมือนจะต้องเสี่ยงไปออกรบ?) เช่นโครงการ "คนกล้าคืนถิ่น" ที่ประกาศรับสมัคร 14 กพ. ถึง 9 มีค.58 โดยจะจัดที่ดินให้ผู้สมัครรายละ 2-3 ไร่และให้เงินทุนจำนวนหนึ่งไปทำบ่อเลี้ยงปลาปลูกข้าวและผักสวนครัวกินเองโดยไม่ต้องไปตลาดซึ่งก็เชื่อได้ว่าผลลัพธ์ก็จะล้มเหลวเหมือนที่เป็นมา, ขอบอกล่วงหน้าว่าเราจะเห็นความสำเร็จเพียงแค่การจัดงานโชว์เริ่มต้นโครงการโดยมีประชาชนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนายอำเภอเกณฑ์มา    แสดงลครต้อนรับให้นายกฯถ่ายรูปในวันเปิดโครงการเท่านั้น

4.งบประมาณส่งเสริม "โครงการพระราชดำริ" 2,000 กว่าโครงการ ปีละ 100,000 ล้านบาทเศษ

เป็นงบโฆษณาชวนเชื่อของเจ้าอีกรูปแบบหนึ่งที่บอกกับสังคมว่ากษัตริย์มีความคิดดีแต่เนื้อแท้เป็นช่องทางทำมาหากินของพระบรมวงศานุวงศ์และราชนิกูลที่ทำโครงการแต่ใช้ชื่อกษัตริย์มาแป๊ะและหาอยู่หากินกันระยะยาวเลี้ยงตัวเองและบริวาร แต่ใช้เงินภาษีประชาชนตั้งแต่ทำอ่างเก็บน้ำบ้านพักและพระราชวังเพื่อกษัตริย์และลูกหลานจะแปรพระราชฐาน (ไปเที่ยว) ไปดูงานแก้เหงา เช่นกิจการปลูกผักดอกไม้, ผลไม้เมืองหนาวบนภูเขา,แปรรูปผลผลิตทำข้าวเกรียบหัวผักกาดขาย, งบประมาณนี้ส่วนใหญ่ผ่านทางกระทรวงพาณิชย์, กระทรวงเกษตรและกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีหัวหน้าโครงการที่ส่วนใหญ่เป็นพวกเชื้อพระวงศ์โดยมีเงินเดือนกิน และหลายโครงการเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ที่ใช้เงินภาษีไปสนับสนุน แต่เมื่อทำมาค้าขายได้กลับเป็นรายได้ส่วนตัวเช่นโครงการศิลปาชีพ, โครงการดอยคำ, โครงการภูฟ้าเป็นต้น ซึ่งเราจะเห็นร้านค้าและสินค้าต่างๆวางขายโดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ, สนามบินดอนเมือง และในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานบางส่วนด้วยเหตุผลและข้ออ้างที่หลอกลวงประชาชนว่า เป็นการทำเพื่อประชาชนในพื้นที่ที่ราบสูงและเพื่อความมั่นคงแห่งรัฐ (ถ้าราชสำนักมีประสิทธิภาพในการทำงานจริงก็ควรจะเลี้ยงตัวเองได้แล้วเพราะใช้งบสนับสนุนมานานแล้วแต่ทุกวันนี้ยังต้องตั้งงบประมาณสนับสนุนทุกปี)

5. งบประมาณของวังที่แอบแฝงอยู่ในกระทรวงต่างๆโดยไม่ระบุจำนวนและไม่ระบุโครงการ

งบประมาณส่วนนี้เป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงและอธิบดีที่จะต้องจัดสรรเจียดเงินจากงบประมาณปกติที่จะต้องบริการประชาชนไปสนับสนุนเช่นการซ่อมแซมพระราชวังในจังหวัดต่างๆหรือปรับปรุงเส้นทางและค่าเบี้ยงเลี้ยงเจ้าหน้าในการเข้าเวรเฝ้ารักษาความปลอดภัยเนื่องจากพระบรมวงศานุวงศ์มีหมายกำหนดการจะเสด็จพระราชดำเนินไปเป็นกรณีพิเศษโดยมิใช่เป็นแผนงานประจำปี

6.งบประมาณของวังที่แอบแฝงอยู่ใน "งบกลาง" ของสำนักนายกฯไม่ระบุจำนวน

งบกลางของสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นงบฉุกเฉินโดยหลักการจะนำไปใช้ในส่วนของภัยสาธารณะต่างๆที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนโดยมิต้องระบุรายละเอียดโครงการทำงานไว้ล่วงหน้าเหมือนงบอื่นๆที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. งบประมาณซึ่งทุกครั้งงบกลางนี้จะถูกอภิปรายจากสภาอย่างหนักที่สุดเพราะเป็นงบลอยที่ง่ายต่อการทุจริต (รัฐบาลถูกด่าแต่เจ้าใช้เงินโดยไม่มีใครรู้) ซึ่งก่อนหน้าทักษิณเป็นนายกฯตั้งไว้ 50,000 ล้านบาทแต่นับตั้งแต่ทักษิณเป็นนายกฯเป็นต้นมางบนี้ก็เพิ่มเป็น 100,000 ล้านบาทและเมื่อประยุทธ์เป็นนายกฯได้เพิ่มเป็น 300,000 กว่าล้านบาท
งบกลางนี้รัฐมนตรีทุกคนรู้ว่าเป็นงบประมาณที่สำนักพระราชวังแฝงไว้สามารถหยิบใช้ได้เช่นงานจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชประสงค์เป็นเงินก้อนใหญ่หรือในส่วนที่รัฐบาลจำเป็นจะต้องซื้อของชิ้นใหญ่ๆถวายเพื่อเอาใจเช่นซื้อเครื่องบินส่วนพระองค์หรือรถยนต์ที่พระองค์ทรงชื่นชมหรือในโอกาสที่พระองค์เอ่ยปากชอบรถยนต์ที่นายกฯใช้อยู่นายกฯที่รู้งานก็จะรีบเอาเงินส่วนนี้ซื้อถวาย
วิธีการเอาเงินงบกลางออกไปใช้ตามพระราชประสงค์ก็จะไม่เปิดเผยและไม่ให้เกิดข้อครหานินทาหรือไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้เป็นเงินก้อนใหญ่สำนักพระราชวังก็จะประสานกับปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นการภายในเป็นความลับแล้วเลขาฯก็จะกระซิบบอกนายกให้ทราบ
โดยมีวิธีการปล้นเงินภาษีประชาชน 3 ขั้นตอนดังนี้...

1) ทุกวันอังคารจะเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีและวันศุกร์หรืออย่างช้าเย็นวันจันทร์เจ้าหน้าที่จะนำเอกสารประกอบการประชุมไปให้รัฐมนตรีทุกคนแต่กรณีการขอ (หรือปล้น) งบกลางของราชสำนักจะไม่ยื่นเอกสารหรือแจ้งให้ทราบในวาระการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแต่จะไปยื่นให้ตอนเช้าวันที่ประชุมที่มีศัพท์เรียกว่า "วาระจร"

2) พอถึง 9 โมงเช้าวันอังคารครม.เข้านั่งห้องประชุมนายกฯนั่งเป็นประธานการประชุมเลขาฯครม.จะจัดเจ้าหน้าที่มา 6 คนโดยถือและคุมเอกสารของราชสำนักเป็นความลับโดยเจ้าหน้าที่ 1คนคุมเอกสารให้รัฐมนตรี 6 คนดู (ครม.มี36คน, 6คูณ6=36)

3)รัฐมนตรีส่วนใหญ่ยังไม่ทันเปิดดูเอกสารที่เรียกว่าวาระจรนี้นายกฯก็จะพูดใส่ไมโครโฟนว่า "สำนักพระราชวังเสนอมาขออนุมัตินะคะ (หรือนะครับถ้านายกเป็นผู้ชาย) แล้วครม.ก็จะต้องอนุมัติ

*ค่าใช้จ่ายอื่นๆเพื่อราชสำนักที่แฝงอยู่ในงานราชการอื่นๆนอกจากนี้มิได้รวมค่าใช้จ่ายไว้ในค่าใช้จ่ายเพื่อพระมหากษัตริย์ที่ปรากฎข้างต้นเช่นกระทรวงการคลังออกโครงการธนบัตรที่ระลึกใบละ 60 บาท ออกขายให้ประชาชนเป็นระยะๆแล้วนำเงินถวายครั้งละประมาณ 1,000 ล้านบาท, การโฆษณาข่าวของราชสำนักเป็นกรณีพิเศษตอน 2 ทุ่มของทุกช่องโทรทัศน์ทุกวันซึ่งเป็นเวลาที่ดีที่สุดซึ่งหากตีราคาเป็นค่าเช่าเวลาจะเป็นเงินมหาศาล, หรือการเปิดร้านที่ใช้พื้นที่ที่ดีที่สุดในสนามบินสุวรรณภูมิแต่กลับไม่จ่ายค่าเช่า, หรือการรับเงินและสิ่งของบริจาคต่างๆโดยไม่ต้องเสียภาษีรวมทั้งพระราชวังทั่วประเทศไม่ได้เสียภาษีโรงเรือนก็จะเห็นว่าประชาชนต้องแบกรับภาระที่หนักอึ้งทั้งหมดนี้แทนกษัตริย์และราชวงศ์ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นธรรมแต่ยังเป็นการลงทุนของรัฐที่ไม่เกิดผลประโยชน์กับประชาชนเลยอีกทั้งพระองค์ยังใช้อำนาจจับประชาชนที่ล่วงรู้ความไม่ถูกต้องหรือเพียงแค่สงสัยตั้งคำถามเข้าคุกโดยใช้กฎหมายพิเศษก็ยิ่งเห็นชัดว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง,  

ดังนั้นหากจะเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองเป็น ระบอบประธานาธิบดีงบประมาณต่างๆสูญเปล่าเหล่านี้ก็จะถูกนำกลับมารับใช้ประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนอย่างในสหรัฐอเมริกาเงินงบประมาณจะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพตรวจสอบได้ดังนั้นคุณภาพชีวิตของประชาชนจะดีขึ้นทันตาเห็น


*งบประมาณที่กษัตริย์นำไปใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งหมดนี้ทั้งก่อนและหลังการพิจารณางบประมาณในสภาทั้งสส.และสว.ห้ามอภิปรายทั้งในสภาและนอกสภา

*ถ้าท่านผู้อ่านจะสงสัยและถามว่าก็ในเมื่อเป็นความไม่ถูกต้องและเป็นความจริงเช่นนี้ทำไมไม่มีใครสักคนเลยหรือที่จะกล้าพูด?, คำตอบก็คือใครพูดก็คอขาดโดยจะมีคนไปแจ้งความจับในข้อหาพูดเท็จใส่ร้ายในหลวงมาตรา 112 และผู้ต้องหาก็ไม่มีโอกาสพิสูจน์ในศาลและไม่มีโอกาสได้ประกันตัวในระหว่างการพิจารณาคดีด้วยและหัวหน้าพรรคหรือรัฐมนตรีในกระทรวงใดก็ไม่กล้าไปให้การว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความจริงเพราะทุกคนที่จะไปยืนยันข้อมูลก็จะเจอข้อหาตามมาและหมดความเจริญเติบโตในชีวิต, ดูตัวอย่างของจริงที่ พลตำรวจ โทพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาสอบสวนกลางและพรรคพวกเป็นตัวอย่างที่เก็บส่วยหาเงินเลี้ยงเจ้าแท้ๆเมื่อถูกจับยังต้องปิดปากเงียบต้องสารภาพไม่อาจสู้คดีได้และทรัพย์สินทั้งหมดถูกรวบรวมออกขายทอดตลาดทั้งหมดทันทีอย่างรวดเร็วเพราะหากสู้คดีอาจจะเกิดกรณีจำเลยในคดีกระโดดตึกตายและส่งเข้าเมรุเผาทันทีไม่ต้องพิสูจน์ศพและพระไม่ต้องสวดบังสกุล

*ในโครงสร้างเผด็จการของกษัตริย์เช่นนี้ก็จะเห็นชัดว่าประชาชนต้องสูญเสียเงินภาษีเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อให้แก่กษัตริย์และพระราชวงศ์เป็นจำนวนมากแต่เงินเหล่านั้นกลับย้อนมาทำลายความสงบของสังคมด้วยการก่อจราจลล้มทุกรัฐบาลที่มีความมั่นคงเพราะปรัชญาการปกครองของกษัตริย์ไทยคือ
"สถาบันกษัตริย์จะมั่นคงได้รัฐบาลของประชาชนต้องไม่มั่นคง"

คนไทยที่ยากจนอยู่แล้วกลับต้องยิ่งยากจนขึ้น,ทั้งที่เสียภาษีอย่างหนักอยู่แล้วแต่ภาษีกลับเป็นภัยย้อนมาหาตัวเองในรูปของความปั่นป่วนของสังคม

-------------------------------------

9 kommentarer:

  1. Den här kommentaren har tagits bort av bloggadministratören.

    SvaraRadera
  2. Den här kommentaren har tagits bort av bloggadministratören.

    SvaraRadera
  3. Den här kommentaren har tagits bort av bloggadministratören.

    SvaraRadera
  4. Den här kommentaren har tagits bort av bloggadministratören.

    SvaraRadera
  5. Den här kommentaren har tagits bort av bloggadministratören.

    SvaraRadera
  6. Den här kommentaren har tagits bort av bloggadministratören.

    SvaraRadera
  7. Den här kommentaren har tagits bort av bloggadministratören.

    SvaraRadera
  8. Den här kommentaren har tagits bort av bloggadministratören.

    SvaraRadera
  9. Den här kommentaren har tagits bort av bloggadministratören.

    SvaraRadera