ความขัดแย้งทางการปกครองระหว่างระบอบอมาตยาธิปไตยกับระบอบประชาธิปไตย.!
ผมไม่เคยได้ยินแม้แต่ครั้งเดียวว่า ท่านนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, รองนายกเฉลิม อยู่บำรุง หรือแม้กระทั่ง สส. หรือ รมต. ในรัฐบาลคณะนี้หลายๆ ท่านได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่า “รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของคนเสื้อแดง หรือของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแต่อย่างใด” ประเทศไทยก็เสมือนเด็กที่กำลังจะจมน้ำอยู่กลางสระ ไม่มีใครที่กล้าหาญพอที่จะกระโดดลงมาช่วยด้วยกำลังของตนเอง แต่ทว่าเมื่อ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แสดงความหาญกล้าเข้ามาเพื่อต้องการช่วยเหลือประเทศไทย..เพียงแค่คิดและลงมือทำไปบางส่วนเท่านั้น.. เขาก็ถูกถีบให้ตกลงมาในสระน้ำแห่งความขัดแย้งทางการปกครองระหว่างระบอบอมาตยาธิปไตย กับระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ทันตั้งตัว
ซึ่งผมเชื่อว่า ดร. ทักษิณ เองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้ามาทำให้เกิดความขัดแย้งเช่นนั้น (เพราะท่านมีวิญญาณแห่งความเป็นนักธุรกิจและความจงรักภักดี ไม่ใช่วิญญาณแห่งนักปฏิวัติ) ดังนั้นสิ่งที่เรา (คนเสื้อแดง และประชาชนผู้รักประชาธิปไตย) ได้พยายามต่อสู้กันมาเพื่อเรียกร้องให้ได้ความเป็นประชาธิปไตยในประเทศนี้ โดยชูท่านอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร เป็น Idol และคาดหวังว่า ด้วยสิ่งที่ท่านได้รับความอยุติธรรมตลอดหลายปีมานี้ ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ถูกยึดทรัพย์ ถูกไล่ล่าข้ามโลก จะทำให้ท่าน ดร. ทักษิณ เปลี่ยนจิตวิญญาณจากนักธุรกิจมาเป็นวิญญาณแห่งการเป็นนักปฏิวัตินั้น จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก
คำพูดที่ท่านอดีตนายกทักษิณ โฟนอิน เข้ามาในท่ามกลางการชุมนุมของคนเสื้อแดงในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมานั้น ท่านมักจะพูดถึงโอกาสในการพัฒนาประเทศ พูดถึงศักยภาพของประเทศไทยที่จะสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้ พูดถึงสิ่งที่ท่านได้พบเห็นมาในขณะที่ท่านยู่ต่างประเทศและต้องการนำมาปรับใช้ในการพัฒนาประเทศเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข.... แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ จะพูดในสิ่งที่เป็นแนวทางการต่อสู้กับระบอบเผด็จการอมาตย์อย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ทั้งๆ ที่ท่านก็รู้ว่า ไม่ว่าจะทำดีเช่นไร ฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ และคนเสื้อแดงกระทำให้ อย่างแน่นอน ฆ่าได้เป็นฆ่า ทำลายได้เป็นทำลาย ตัดสินให้ติดคุกได้พวกเขาก็จะทำ ไม่มีทางที่พวกเผด็จการจะปล่อยพวกเราเอาไว้แน่
การโฟนอินเข้ามาที่โบนันซ่า ในครั้งล่าสุดของท่านอดีตนายกทักษิณ ก็เช่นเดียวกับในครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา ไม่ได้มีเนื้อหา หรือโครงเรื่องที่ต่างไปจากเดิมแม้แต่น้อย การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้กำลังจะกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้การต่อสู้ทางการเมืองที่จะมีต่อไปนี้ จะถึงขั้นปะทะกันอย่างตรงๆ ด้วยมวลชนที่มีความคิดและแนวทางแตกแยกกันเป็นสองฝ่าย และไม่สามารถที่จะประนีประนอมต่อกันได้อีกแล้ว ซึ่งในการต่อสู้ครั้งนี้ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยพ่ายแพ้ก็จะต้องพ่ายแพ้ไปอีกนับสิบๆ ปี และท่านอดีตนายกทักษิณ ก็คงจะไม่ได้กลับประเทศไทยอีกเลยเฉกเช่นเดียวกันกับ ดร. ปรีดี พนมยงค์ ในอดีต แต่ตรงข้ามถ้าฝ่ายประชาธิปไตยชนะ ประชาชนและประเทศชาตินี้ก็จะได้พลิกฟื้นกลับขึ้นมารุ่งโรจน์ได้ดังที่ควรจะเป็น
ท่านอดีตนายกทักษิณ พูดหลายครั้งว่า ท่านเป็นนักสู้ และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถ้าได้ต่อสู้แล้วจะไม่ยอมจำนน ท่านพูดเสมอว่าแต่ทว่า...เมื่อการต่อสู้กับเผด็จการอมาตย์เข้ามาสู่จุดแตกหัก ที่จะชี้ชะตาว่าใครจะอยู่ใครจะไปทีไร ก็“ท่านรักคนเสื้อแดง และพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยและร่วมต่อสู้มาด้วยกันทุกคน”ท่านอดีตนายกทักษิณ นี่แหละที่เข้ามาเป็นผู้ถอดชนวนการต่อสู้นี้เสียทุกครั้ง จะด้วยเหตุผลใด หรือจุดมุ่งหมายใดก็เหลือจะเดา แต่ทุกครั้งที่ท่านอดีตนายกทักษิณ เข้ามาถอดชนวนการปะทะขั้นแตกหักนี้ทีไร ผลที่ตามมาก็คือฝ่ายเผด็จการอมาตย์ก็มักจะได้ทีและเข้ามารุกไล่พี่น้องคนเสื้อแดง และประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอย่างเอาเป็นเอาตายทุกทีไป โดยที่ฝ่ายคนเสื้อแดงแทบจะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการถอดชนวนความขัดแย้ง ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยท่านอดีตนายกทักษิณ นี้เลย
โดย แสงตะวัน
ในยุคปัจจุบัน ชึ่งเป็นยุคไฮเทคโนโลยี่ ยุคโลกไร้พรหมแดน การต่อสู้เรียกร้องของประเทศต่างๆชึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบันนี้ เกี่ยวกับปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ไม่มีสูตรสำเร็จกำหนดตายตัวที่จะนำมาเป็นแม่แบบเพื่อใช้แก้ปํญหาให้ลุล่วงไปได้ เพราะปัญหาความต้องการของแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังไม่มีทฤษฎีหรือตำราพิชัยสงครามแบบใหม่มาให้ใช้เป็นแนวทางชี้นำ ก่อนอื่นพวกเราต้องมาทำความเข้าใจเสียใหม่ว่าพ่อค้านักธุรกิจนายทุนก็คือนายทุนที่ลงทุนค้าขายเพื่อให้ได้กำไร ต่างกับผู้นำนักปฏิวัติที่ทำงานเพื่ออุดมการณ์เพื่อสังคมส่วนรวม ต่อสู้เรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ดังนั้นความคิดแบบพ่อค้ากับนักปฎิวัติสองสิ่งนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีอยู่ในตัวคนเดียวกัน
เริ่มแรกทักษิณเข้ามาบริหารประเทศโดยผ่านการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ซึ่งระบอบการปกครองโดยแท้จริงยังคงเป็นระบอบราชาธิปไตยอยู่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยตามที่พวกนักวิชาการต่างๆเข้าใจและโฆษณาหลอกลวงประชาชน เมื่อทักษิณเข้ามาเป็นนายกก็บริหารประเทศอยู่ภายใต้ระบอบราชาธิปไตยนี้ แต่รัฐบาลทักษิณมีหลักนโยบายที่สามารถเห็นผลงานจับต้องได้และทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์จากการบริหารของรัฐบาลทักษิน ซึ่งถ้าปล่อยให้ประเทศชาติได้มีโอกาศพัฒนาต่อไปภายใต้รัฐบาลของทักษิณประเทศชาติก็จะดำเนินก้าวหน้าและการวิวัฒนาการทางประชาธิปไตยก็จะก้าวหน้าต่อไป แต่ระบอบราชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ขัดขวางต่อระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด ซึ่งนายกทักษิณเองเขาไม่ได้มีแนวความคิดที่เปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างระบอบราชาธิปไตยนั้นลง แต่พวกอำมาตย์เห็นว่าถ้าปล่อยให้ทักษิณบริหารประเทศต่อไปจะเป็นอันตรายแก่พวกเขา เมื่อทักษิณถูกพวกอำมาตย์โค่นล้มลงในวันที่ ๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙ โดยทักษิณเองก็ยังจะพยายามประณีประนอมกับพวกอำมาตย์มาตลอดเวลา จนถึงทุกวันนี้ ทักษิณก็ยังไม่ยอมที่จะคิดเปลี่ยนแปลงระบอบราชาธิปไตยให้เป็นประชาธิปไตย ประชาชนส่วนมากของประเทศคิดเอาเองว่าทักษิณจะเป็นผู้ที่จะนำประเทศชาติและประชาชนไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง
ซึ่งเเป็นความคิดและความหวังของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของทักษิณคือต้องการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเพื่อจะดำเนินไปสู่การรักษาอำนาจและธุระกิจของกลุ่มทุนของพวกเขา ฉนั้นประชาชนจะมาเรียกร้องให้ทักษิณเปลี่ยนแนวคิดจากนายทุนมาเป็นผู้นำของการปฎิวัตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่ทักษิณเป็นผู้นำของการพัฒนาประเทศในด้านเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้ายิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการราชาธิปไตยไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ จึงเป็นหน้าที่ของ "ประชาชนไทยทุกคน " ต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย ไม่ใช่ให้ทักษิณเป็นผู้ชี้นำคนเดียว.
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar