tisdag 27 oktober 2020

บทวิเคราะห์ — การชุมนุมประท้วงบริเวณหน้าสถานฑูตเยอรมนีในกรุงเทพฯ

 
23 tim

⚠️🇹🇭 บทวิเคราะห์ — การชุมนุมประท้วงบริเวณหน้าสถานฑูตเยอรมนีในกรุงเทพฯเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญของพัฒนาการการเมืองไทย ผู้ชุมนุมได้เรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมันตรวจสอบกษัตริย์วชิราลงกรณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมและอาชญากรรมต่างๆที่เขาก่อขึ้นระหว่างพำนักอยู่ในประเทศเยอรมนีว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

(Scroll down for 🇬🇧)

ผู้ชุมนุมที่ประกาศตัวว่า “เป็นคน ไม่ใช่ฝุ่น” เพื่อตอบโต้วิธีคิดแบบศักดินาที่มองประชาชนเป็นเพียง “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท” ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงเอกอัครราชฑูตเยอรมนีซึ่งมีเนื้อหากล่าวโทษวชิราลงกรณ์ดังนี้

◾️ สั่งการและแทรกแซงการเมืองการปกครองไทยในขณะที่พำนักอยู่ในประเทศเยอรมนี ถือเป็นการละเมิดทั้งกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ

◾️ ตั้งใจเลี่ยงการจ่ายภาษีมรดกแก่ประเทศเยอรมนีหลังจากการสวรรคตของกษัตริย์ภูมิพล

◾️ บทบาทของสำนักพระราชวังกับการอุ้มหายผู้ลี้ภัยทางการเมืองจำนวน 9 คนที่เกิดขึ้นในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559

◾️ ลงโทษและทรมานเจ้าหน้าที่และข้าราชบริพารในสำนักพระราชวังเพราะทำให้ไม่พอพระราชหฤทัย ทั้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและเยอรมนี

◾️ ตั้งฮาเร็มอยู่กับนางสนม 20 คนในโรงแรมหรูในบาร์วาเรียที่กษัตริย์ใช้ชีวิตอยู่เป็นส่วนใหญ่

ประเด็นเหล่านี้เคยเป็นเรื่องต้องห้ามที่พูดถึงอย่างเปิดเผยไม่ได้ในสังคมไทยเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน การที่ผู้ชุมนุมในกรุงเทพฯออกมาเรียกร้องอย่างเปิดเผยพร้อมทั้งยื่นจดหมายเปิดผนึกแก่ผู้มีอำนาจของเยอรมนีเป็นการกระทำที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก

ในขณะที่สื่อไทยส่วนใหญ่ยังคงปิดกั้นและบิดเบือนการนำเสนอข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม เหล่าแอ็คทิวิสท์กลับประสบความสำเร็จในการเปิดโปงพฤติกรรมอื้อฉาวของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ในสื่อนานาชาติ

ผู้ชุมนุมวิพากษ์วิจารณ์วชิราลงกรณ์อย่างเปิดเผยอีกครั้งโดยประกาศว่าเป็นเพราะ “หุ่นเชิดของกษัตริย์” ซึ่งหมายถึงนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องของพวกเขา ผู้ชุมนุมจึงมาเจรจากับเยอรมนีซึ่งเป็น “เจ้าของหุ่นเชิด”

ป้ายประท้วงขนาดใหญ่ในขบวนประท้วงข้อความว่า “เก่งมาก กล้ามาก ขอบใจ” ล้อเลียนคำชมของวชิราลงกรณ์ที่พูดกับอัลตร้ารอยัลลิสท์ที่มารับเสด็จเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ก่อนหน้านั้น นาย Heiko Maas รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของเยอรมนีประกาศว่ารัฐบาลเยอรมันจะดำเนินการสืบสวนเรื่องพฤติกรรมของวชิราลงกรณ์ พร้อมยืนยันว่า “หากเราพบการกระทำที่ผิดกฎหมาย จะต้องมีการจัดการทันที”

การกระทำของวชิราลงกรณ์และรัฐบาลเผด็จการเป็นเรื่องที่น่าอับอายอย่างที่สุด พวกเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะปกปิดพฤติกรรมเสื่อมทรามของวชิราลงกรณ์ แต่ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ถูกตีแผ่หราบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆทั่วโลก

แหล่งข่าวจากพระราชวังรายงานว่าวชิราลงกรณ์กลัวจะไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตที่เยอรมนีเป็นอย่างมาก โอกาสที่เขาจะได้อยู่ต่อที่โรงแรม Grand Hotel Sonnenbichl ในรีสอร์ท Garmish-Partenkirchen ในบาร์วาเรียเริ่มจะเลือนลาง เห็นได้จากจุดยืนของรัฐบาลเยอรมันและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลเผด็จการในไทย

เจ้าหน้าที่ตำรวจแห่มารักษาความปลอดภัยบริเวณรอบสถานฑูตเยอรมัน แม้ว่าผู้ประท้วงฝ่ายประชาธิปไตยจัดกิจกรรมอย่างสันติมาโดยตลอดและทางสถานฑูตได้ออกเอกสารแจ้งว่ายินดีรับฟังข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ประท้วงอย่างสันติและเรียกร้องไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการเกินกว่าเหตุต่อผู้ชุมนุม

ในทางกลับกัน การชุมนุมของฝ่ายสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ในวันจันทร์ที่ผ่านมาได้รับอนุญาตจากตำรวจให้รวมตัวกันอย่างเสรีที่สถานฑูต ถือเป็นอีกหนึ่งความน่าอัปยศของเหล่าเผด็จการ

กลุ่มสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ได้ยื่นจดหมายที่เขียนด้วยภาษาไทยที่วกไปวนมาให้แก่เอกอัครราชฑูต ในจดหมายเต็มไปด้วยภาพหน้ายิ้ม เรียกร้องไม่ให้ผู้มีอำนาจในเยอรมนีแทรกแซงการเมืองไทย ซึ่งพวกเขาเหมือนจะไม่เข้าใจเสียเลยว่าสิ่งที่เยอรมันไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเลยคือถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองไทย แต่เป็นเพราะพฤติกรรมของวชิราลงกรณ์เองต่างหากที่ลากให้เยอรมันต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่ผู้ชุมนุมฝ่ายประชาธิปไตย

ฝ่ายผู้สนับสนุนสถาบันกษัตริย์ทราบเป็นอย่างดีว่าวชิราลงกรณ์ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศเยอรมนีเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็อ้างด้วยข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นว่าเขา “ทรงงานหนักเพื่อช่วยประเทศไทยจัดการกับปัญหาการระบาดของโควิด” ซึ่งก่อนหน้านี้ ฝ่ายสนับสนุนสถาบันมักปฏิเสธแบบหัวชนฝาว่ากษัตริย์ของพวกเขาไม่ได้อยู่ในบาร์วาเรีย

ฝ่ายสนับสนุนสถาบันยังคงพยายามยืนยันซ้ำๆว่าคนไทยทุกคนรักสถาบันกษัตริย์ และใครที่ไม่รักกษัตริย์ต้องออกไปจากประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องย้อนแย้งตลกร้ายที่พวกเขายังตาบอดไม่เห็นว่าเป็นกษัตริย์ของพวกเขาเองที่เลือกจะไปอยู่ต่างประเทศ

รัฐบาลเผด็จการคาดการณ์ผิดเกี่ยวกับจำนวนและความมุ่งมั่นของผู้ชุมนุมฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตย แต่วิธีการตอบโต้กลยุทธ์ของผู้ชุมนุมก็เป็นไปอย่างน่าสังเวช ทั้งพยายามจัดตั้งม๊อบคนเสื้อเหลืองรักสถาบันเพื่อสร้างความรู้สึกว่ายังมีคนเคารพกษัตริย์เป็นจำนวนมาก และสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การอ้างความชอบธรรมในการปราบปรามหรือแม้แต่ทำรัฐประหาร

กลยุทธ์นี้เป็นแบบเดียวกับที่เคยใช้โค่นนายทักษิณ ชินวัตรในปี 2548/9 ลดทอนอำนาจของรัฐบาลที่นำโดยพรรคพลังประชาชนในปี 2551 และแทรกแซงการทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในปี 2556/7

เหตุผลหลักที่ประยุทธ์ยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ห้ามรวมตัวกันเกิน 5 คน ก็เพื่อให้ฝ่ายสนับสนุนเจ้าสามารถรวมตัวชุมนุมได้โดยไม่ผิดกฎหมาย

แต่ปัญหาที่เหล่าเผด็จการกำลังเผชิญในความเป็นจริงคือมีคนจำนวนน้อยมากที่ศรัทธาในตัววชิราลงกรณ์ ทำให้ไม่อาจเรียกคนรักเจ้าจริงๆออกมาชุมนุมครั้งใหญ่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเกณฑ์ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐหลายพันคนพานั่งรถบัส รถเทศบาล หรือแม้แต่รถขยะเข้ามาในกรุงเทพฯ

หลังจากวชิราลงกรณ์พบปะเหล่าอัลตร้ารอยัลลิสท์อย่างเปิดเผยบริเวณทางเดินรอบพระบรมมหาราชวังในคืนวันศุกร์ รวมทั้งนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือที่เคยรู้จักกันในนามพุทธอิสระ อดีตพระหัวรุนแรงที่ถูกจับศึก การพบปะในวันนั้นเป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าเหล่าเผด็จการเลือกกลยุทธ์สร้างความขัดแย้ง สถานการณ์สุ่มเสี่ยงต่อความรุนแรงอาจเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกครั้ง

แต่ด้วยวิธีการเปิดโปงเรื่องของวชิราลงกรณ์ไปทั่วโลก กลุ่มผู้ประท้วงก็เหมือนได้ชัยชนะนี้ไปแล้ว เมืองไทยจะไม่ย้อนกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีก

กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ

...........................................

⚠️ 🇬🇧 ANALYSIS—The huge rally at the German embassy in Bangkok is another historic moment in Thailand's political evolution. Protesters openly called on Germany to investigate King Vajiralongkorn and have ensured that his crimes and cruelty have become an international issue.

Describing themselves as “human beings, not dust” — in defiance of the royalist mantra that Thais are "dust under the dust under the feet of the king" — the protesters delivered an open letter to Germany's ambassador that raised specific accusations about Vajiralongkorn:

◾️ The king's constant meddling in Thai politics while living in Germany, in contravention of Thai and international law.

◾️ Vajiralongkorn's failure to pay inheritance tax in Germany following the death of his father King Bhumibol.

◾️ The role of the palace in the enforced disappearances of nine Thai dissidents in Southeast Asia since 2016.

◾️ Torture of palace servants and officials who have displeased the king, both in Thailand and Germany.

◾️ The king's large harem of about 20 women living with him at the luxury hotel in Bavaria where he spends most of his time.

None of these issues could be discussed at all in Thailand just a few weeks ago, and it's extraordinary to see them being so openly raised by protesters in Bangkok and included in their open letter to the German authorities.

While most Thai media continue to censor their coverage of the demands of the protesters, the activists have succeeded in ensuring Vajiralongkorn's antics can no longer be ignored by the international community.

Protesters again openly criticised Vajiralongkorn, declaring that because the "royal puppet" had failed to listen to them — a reference to Prime Minister Prayut Chan-ocha — they had come to speak to Germany, the "puppet owner".

One large banner unfurled at the protest read "Very good, very brave, thank you", a mocking reference to Vajiralongkorn's comments to an ultraroyalist supporter last Friday.

Earlier in the day, German Foreign Minister Heiko Maas said his government was continuing to investigate Vajiralongkorn's behaviour, adding: “It will have immediate consequences if there are things that we assess to be illegal.”

It's hard to overstate how excruciatingly embarrassing all this is for Vajiralongkorn and the Thai regime. They have tried for years to cover up the damaging behaviour of the king, but now it is front-page news all over the world.

Vajiralongkorn himself is terrified at the prospect that he may no longer be able to spend most of his time in Germany, palace sources say. His continued presence at the Grand Hotel Sonnenbichl in the Bavaria resort of Garmish-Partenkirchen is looking increasingly untenable, both because of the stance of the German government and due to the political damage it is doing to the regime in Thailand.

Thai police mounted a major security operation around the Germany embassy, even though the pro-democracy activists have always been non-violent and the embassy issued a statement that said it welcomed messages from peaceful protesters and requested the Thai authorities to act with restraint.

In contrast, a small royalist rally earlier on Monday was allowed by police to freely gather at the embassy. It proved to be yet another embarrassment for the regime.

The royalists handed over barely coherent Thai-language letter to the ambassador, replete with smiley faces, urging him to ensure Germany did not get dragged into Thai politics. They appeared not to grasp that the last thing Germany wants is to be dragged into Thai politics, but it's the antics of Vajiralongkorn, not the democracy movement, that led to Germany being involved.

The royalists also acknowledged that Vajiralongkorn spends most of his time in Germany, making the absurd claim that he is "working abroad to help Thailand deal with Covid". Previously, monarchists in Thailand had routinely denied that the king lives in Bavaria.

The royalists also repeated their regular refrain that all true Thais love the monarchy, and anyone who doesn't support the king should leave Thailand, seemingly blind to the irony that Vajiralongkorn himself chooses to live abroad.

The ruling regime has been blindsided by the size and tenacity of the pro-democracy protests but their counter-strategy is slowly being put into place. It involves attempts to mobilise large crowds of royalists dressed in yellow to create the impression that the king is still widely revered in Thailand, and to create the conditions for another harsh crackdown or even a coup.

It's similar to the tactics used to oust Thaksin Shinawatra in 2005/6, undermine the People's Power Party government in 2008, and topple the Yingluck Shinawatra administration in 2013/4.

This was the real reason Prayut cancelled the emergency decree banning gatherings of more than five people — they wanted to enable royalists to rally without breaking the law.

But the problem for the regime is that so few Thais respect Vajiralongkorn that they cannot muster large crowds of genuine royalists in support of the king, so they have been drafting in thousands of police and government officials, bringing them into Bangkok in buses, municipal trucks and even garbage vehicles.

After Vajiralongkorn publicly encouraged the ultraroyalists in a walkabout outside the Grand Palace on Friday evening — even meeting the notorious extremist defrocked monk Suwit Thongprasert, formerly known as Buddha Issara — it's clear the regime intends to pursue its strategy of creating conflict. Dangerous days lie ahead for Thailand.

But by ensuring that the world knows about Vajiralongkorn, the protesters have already won a remarkable victory. Thailand can never go back to how it was before.

Very brave  Very good Thank you !

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar