söndag 18 januari 2015

10ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว: ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน




10ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว:
ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน
นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี

ตาสว่างที่4:เลขากษัตริย์คือซุปเปอร์ปลัดกระทรวง

เมื่อกษัตริย์ภูมิพลคุมกองทัพและศาล (ตามที่กล่าวรูปธรรมไว้ในตาสว่างที่ 2,3) อำนาจบริหารรัฐจึงอยู่ในกำมือของกษัตริย์ ด้วยเหตุนี้ รัฐสภาและรัฐบาลที่มาจากประชาชนจึงไม่มีความมั่นคงและโดยพระราชประสงค์ของพระองค์ก็ไม่ชื่นชมต่อระบอบประชาธิปไตยเพียงแต่โลกสมัยใหม่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ดังจะเห็นได้จากตลอดรัชสมัยของพระองค์, พระองค์ก็ไม่เคยแสดงออกใดๆหรือไม่เคยมีพระราชดำรัสใดๆที่ชื่นชมหรือปกป้องระบอบประชาธิปไตยเลย แต่ในทางตรงข้ามพระองค์กลับทรงตำหนินักการเมืองและระบอบประชาธิปไตยในที่สาธารณะอยู่เสมอ รวมตลอดทั้งมีการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งให้ทหารพระราชาทำการยึดอำนาจล้มรัฐบาลประชาธิปไตยอยู่เสมอ เช่นเปิดทางให้ประธานองคมนตรีพลเอกเปรม ตินสูลานนท์ ออกมายุยงให้ทหารทำการรัฐประหาร เช่นคำกล่าวของ พลเอก เปรมที่โด่งดังในช่วงปี 2549 เรื่อง " จ๊อกกี้ไม่ใช่เจ้าของม้าแต่ม้าเป็นของเจ้าของคอกม้า ดังนั้นม้าไม่ต้องฟังจ๊อกกี้" และก็ตามมาด้วยการรัฐประหาร 19 กันยา 2549  

และล่าสุดก็กล่าวต่อหน้าคณะของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ในโอกาสเข้าอวยพรปีใหม่เมื่อต้นปี 2558 ว่า "พลเอกประยุทธ์ทำการรัฐประหารก็เพื่อพระเจ้าอยู่หัว" และหลักฐานที่เป็นประจักษ์พยานเมื่อเกิดการรัฐประหารตามการชี้นำของประธานองคมนตรีแล้ว กษัตริย์ภูมิพล ก็เปิดทางให้ประธานองคมนตรีนำคณะผู้ยึดอำนาจเข้าเฝ้าและพระองค์ก็จะลงนามอนุมัติให้โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ และที่สำคัญพระองค์ก็ยังทรงชุบเลี้ยงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารโดยตรงมาตลอดอย่างยาวนานแล้ว ตั้งแต่นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ในปี 2519 จนถึง พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุขในปี 2549 ในฐานะองคมนตรี

ในการบริหารงานรัฐที่เป็นงานของข้าราชการประจำพระองค์ก็ทำหน้าที่เหมือนนายกรัฐมนตรี, มีคณะองคมนตรีทำหน้าที่เหมือนคณะรัฐมนตรี และมีราชเลขาธิการคือท่านแก้วขวัญ วัชชโรทัย ทำหน้าที่เหมือนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยนำนโยบายจากวังทั้งหมดรวมถึงโครงการพระราชดำริผลักเข้าไปในทุกกระทรวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงศึกษาธิการ, กระทรวงเกษตร, กระทรวงการต่างประเทศ จะมีสายตรงจากสำนักพระราชวังไปเป็นปลัดกระทรวง, อธิบดี, เอกอัครราชฑูต (ในประเทศที่สำคัญที่มีผลประโยชน์ของราชสำนักลงทุนหรือมีพระราชวังที่เชื้อพระวงศ์จะเสด็จไปพักตากอากาศเช่นสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ,เยอรมัน เป็นต้น และฑูตในประเทศเหล่านี้จะเป็นผู้ใกล้ชิดและทุกครั้งที่มีการยึดอำนาจฑูตเหล่านี้จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเช่นนายอานัน ปันยารชุณเป็นต้น) รวมถึงการออกแบบโครงสร้างให้คนของวังเข้าไปนั่งเป็นกรรมการคุมนโยบายและใช้งบประมาณของกระทรวงโดยตรง เช่นนายพารณ อิสระเสณา และนายแพทย์เกษม วัฒนชัย (องคมนตรี) นั่งเป็นกรรมการนโยบายทางการศึกษาในกระทรวงศึกษาที่มีฐานะสูงกว่ารัฐมนตรีและไม่ต้องออกตามวาระและทั้งหมดนี้อยู่นอกการควบคุมจากรัฐสภา

เพื่อให้เห็นชัดเจนดังตัวอย่างหนึ่งในหลายร้อยตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่ต้องพูดถึงคือการประชุมคณะปลัดกระทรวงประจำเดือนซึ่งเป็นการประสานงานในฐานะผู้ปฏิบัติงานระดับสูงที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการประชุมคณะรัฐมนตรีปรากฎว่านายแก้วขวัญ วัชชโรทัย ราชเลขาธิการก็เข้าร่วมประชุมด้วยซึ่งแน่นอนที่สุดก็จะได้รับความเกรงใจจากที่ประชุมจนเป็นที่มาของคำว่า "ซุปเปอร์ปลัดกระทรวง"

เมื่อความจริงปรากฎเช่นนี้การปกครองของไทยจึงเป็น "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช" สมบูรณ์แบบเพียงแต่อยู่ในโลกยุคใหม่กษัตริย์จึงจำเป็นต้องคุมอำนาจอธิปไตยแฝงอยู่ในระบอบรัฐสภา ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีจึงเกิดการรัฐประหารล้มระบอบการปกครองที่มาจากประชาชนอยู่เสมอและก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพระองค์จึงเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกแต่ประชาชนยากจน?

ดูในรูปภาพจะเห็นว่ากษัตริย์ภูมิพลนั่งเป็นประธานในการประชุมคณะองคมนตรีมาโดยตลอด ซึ่งเป็นองค์กรที่คุมรัฐบาลอีกทีหนึ่ง.
-------------------------------

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar