แบบนี้มันเจ็บจุงเบย
พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
ที่สำคัญเพราะ ยิ่งลักษณ์และตระกูลชินวัตรจะน้อมรับคำตัดสินแต่โดยดี อาจจะมีแถลงแสดงท่าทีฮึดฮัดบ้าง ก็แค่นั้น แต่จะไม่เคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น ทั้งในเครือข่ายสส.และเครือข่ายคนเสื้อแดงที่ยังยึดมั่นกับเพื่อไทย เขาจะรอรธน.ใหม่ ซึ่งถ้ามี "นิรโทษกรรมเหมาเข่ง" อย่างที่ตกลงดีลกันไว้ ทุกอย่างก็จะผ่านไป ทักษิณกลับมา "แบบเท่ ๆ" และยิ่งลักษณ์กลับมาลงเลือกตั้งได้อีก แต่ถ้าถูกเบี้ยว ไม่มีนิรโทษกรรมเหมาเข่ง ก็ไม่เป็นไร เขาจะหา "นอมินี" มาคุมพรรคเพื่อไทยแทน จะใช้โมเดล "พรรคพลังประชาชน-สมัคร สุนทรเวช" อีกครั้ง ใช้ยี่ห้อ "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" ไปหาเสียง ชนะเลือกตั้ง มีนายกฯเพื่อไทยที่เป็น "นอมินี" ของตระกูลชินวัตรแทน เขาวางแนวทางไว้อย่างนี้
สรุป จะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้นจากตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ส่วนเสื้อแดงที่ยึดมั่นในพรรคเพื่อไทย ก็จะลดสถานะจากพลังเคลื่อนไหวทางการเมือง ไปเป็นฐานคะแนนเสียงพรรคการเมือง นั่งรอ-นอนรอที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น เพื่อหวังเอายิ่งลักษณ์หรือใครก็ได้ที่ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์หนุน มาเป็นนายกฯ
สำหรับผู้ที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ก็คงต้องใช้ความคิดและความพยายามในทางอื่นที่ไม่สูญ
เปล่าต่อไป
......................
โดยราษฎรไทย
๑๗ ม.ค. ๕๘.
พรรคการเมืองกับอาชีพนักการเมือง กับผลที่ได้รับจากพรรคการเมืองและนักการเมืองก็หนีไม่พ้นผลกระทบโดยตรงกับสิ่งที่ได้รับเกิดขึ้นในสังคมรอบๆตัวเรา คือเรื่อง "ปัจจัยสี่"ซึ่งเป็สิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตทุกวันของคนในสังคม เริ่มตั้งแต่เกิดลืมตามาดูโลกกว้างจนถึงวันตาย การรวมตัวของคนหมู่มากเป็นกลุ่มอยู่ด้วยกันจึงเกิดเป็นสังคมเป็นประเทศชาติขึ้นมา ดังนั้นจึงต้องมีกฎหมายมีพรรคการเมืองมีนักการเมืองเข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการสังคม ถ้าสังคมใดที่ได้พรรคการเมืองที่ดีมีนักการเมืองดีทำงานตอบสนองความต้องการและรักษาผลประโยชน์ของคนในสังคมได้ดี สร้างกฎหมายที่มีความยุติธรรมให้คนในสังคมยอมรับอยู่ภายใต้ขอบเขตกฎหมายอันเดียวกัน รักษาทำตามกฎหมายที่บัญยัติไว้ไม่สองมาตรฐาน สังคมที่ไม่มีความแตกต่างกันมากทางชนชั้น โดยคนในสังคมได้รับสวัสดิการที่ดีเท่าเทียมกัน เคารพสิทธิ์ซึ่งกันและกัน สังคมนั้นก็อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขไม่แตกแยกทางความคิดไม่มีปัญหาในการอยู่ร่วมกันในสังคม จึงเรียกว่าการเมืองการปกครองในระบอบประชาชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งมีให้เห็นเป็นตัวอย่างในหลายประเทศทั่วโลก..ที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
สำหรับเรื่องการ"เกี๊ยะเซียะ"ของกลุ่มที่เรียกตนเองว่าพรรคการเมืองไทยและนักการเมืองไทย ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นพรรคการเมืองและนักการเมืองในระบอบประชาชาธิปไตย เพราะการแสดงออกยังคลุมเครือไม่ชัดเจน จากเหตุการณ์บทรียนในอดีตที่ผ่านมาครั้งแล้วครั้งเล่า พรรคการเมืองตัวแทนของประชาชนที่เลือกให้เข้าไปทำงานรับใช้ประชาชนและประเทศชาติ ไม่ได้ยึดถือทำงานตอบสนองรับใช้คนในสังคมตามความต้องการของประชาชน โดยเหล่าพรรคการเมืองและนักการเมืองที่เข้าไปนั่งในสภากลับพากันทำงานแก่งแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ ให้กลุ่มพรรคการเมือง กลุ่มนักเล่นการเมือง กลุ่มนายทุนที่สนับสนุนพรรคการเมือง รวมทั้งข้าราชการเลวลิ่วล้อนักการเมือง โดยฝักใฝ่ให้ความร่วมมือ"เกี๊ยะเซียะ"กับฝ่ายเหลือบศักดินาผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญเพื่อความอยู่รอดของพรรคการเมืองและนักการเมืองเท่านั้นเอง
ท้ายนี้ฝากข้อคิดสำหรับพี่น้องประชาชนไทยเพื่อนร่วมชาติ ในสังคมไทยยุควิกฤติมืดมนไร้อนาคต อันดับแรกพวกท่านต้องเปิดใจให้กว้าง ติดตามสถานการณ์ คิดทบทวนไตร่ตรองมองย้อนอดีตศึกษาบทเรียน เก้าปีที่ผ่านมาจาก"ปี๔๙-ปี๕๘ " แล้วสำรวจตัวเองท่านได้อะไร? มีการเลือกตั้งหลายครั้ง มีรัฐบาลหลายรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมา แล้วสภาพสังคมไทยเวลานี้ดีขึ้นหรือเลวลง
อย่าลืมถ้าไม่มีประชาชนก็ไม่มีสังคม ไม่มีพรรคการเมือง ไม่มีนักการเมือง ดังนั้นประชาชนคือเสียงสวรรค์พลังอันยิ่งใหญ่ ที่ทั้งอำมาตย์เหลือบศักดินา พรรคการเมือง นักการเมือง ต่างช่วงชิงกันทำทุกวิถีทางเพื่อต้องการเอาพลังนี้ไปเป็นทาสตัวประกันในการต่อรองอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง
ฉะนั้นวันนี้ประชาชนไทยทุกหมู่เหล่าทุกชนชั้น ควรตื่นตัวมีจิตสำนึกรักและหวงแหนสิทฺธิ์เสรีภาพสมบัติอันมีค่าของตัวเองที่นำไปฝากความหวังพึ่งพาคนอื่น ตื่นได้แล้วลุกขึ้นพาตัวเองให้หลุดพ้นออกจากการเดินหลงทางในอดีต ร่วมจับมือกันรวมตัวสร้างพลังอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา เพื่อปลดปล่อยตัวเองออกมาเป็นไท แล้วนำพาตัวเองและประเทศชาติออกจากวงจรอุบาทว์ เพื่อช่วยกันสร้างอนาคตอันสดใสไว้ให้ลูกหลานไทย...
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar