onsdag 29 april 2015

ทฤษฎีการแยกอำนาจของมองเตสกิเออร์


ทฤษฎีการแยกอำนาจของมองเตสกิเออร์
โดย  ปรีดี พนมยงค์
จากหนังสือสังคมปรัชญาเบื้องต้น " รากฐานของสถาบันการเมือง "
1  กายาพยพ   หรือนัยหนึ่งร่างกายของสังคม  คือสถาบันและระบบต่างๆของสังคม  ก็ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยของสังคม   สถาบันใหญ่น้อยและระบบปกครองของสังคมที่กล่าวกันว่ามีหน้าที่  ระงับทุกข์บำรุงสุขของราษฎรนั้น  ถ้าจะสาวไปถึงรากอันลึกซึ้งก็คือสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยนั่นเอง  เพราะความต้องการในการดำรงชีพ  ไม่ว่าทางกายทางใจ  ก็ต้องอาศัยชีวปัจจัย  แม้จะจำกัดให้น้อยลงได้เพียงใดก็ตาม  ดั่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว
2   เราจำต้องทำความเข้าใจเพื่อป้องกันการเอียงจัดเนื่องจากสูตรสำเร็จเพียงแง่ เดียวไว้ด้วย ว่า  การที่สูตรสำเร็จอันหนึ่งกล่าวไว้ว่าเศรษฐกิจเป็นรากฐานการเมือง   และระบบการเมืองเกิดมาจากสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยของสังคมนั้น  มีความหมายในการแสดงถึง  ที่มา ของสิ่งเหล่านั้น  แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจกับการเมืองก็ดี  หรือระหว่างสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยกับทางการเมืองก็ดี   ย่อมมีผลสะท้อนถึงกัน   คือเมื่อการเมืองต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเศรษฐกิจ หรือตามสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยในขณะใดขณะหนึ่งแล้ว  สถาบันและระบบการเมืองใหม่ก็ก่อให้เกิดสภาพที่ทำให้สังคมพัฒนาต่อไปใหม่  เช่นสถาบันและระบบการเมืองซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475  ได้ก่อให้เกิดสภาพที่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การผลิตหลายอย่างดังที่กล่าวมา แล้วในตอนต้น   การเปลี่ยนแปลงสถาบันและระบบการเมืองในสังคมอื่นก็ทำนองเดียวกัน  ที่ก่อให้เกิดสภาพแห่งความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยอันเป็นรากฐาน  ไม่มีการอภิวัฒน์ใดที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์การผลิตได้ในทันใดทุกอย่าง  แม้การอภิวัฒน์นั้นจะได้รับยกย่องว่าก้าวหน้าที่สุด  แต่ก็ต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลงโดยอาศัย  สภาพใหม่  นั้น
3   สภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยของสังคมเป็นอย่างไรสถาบันและระบบของสังคมก็เป็นเช่นนั้น  กล่าวคือ
            3.1     ในสังคมระบบปฐมสหการ  ซึ่งสมาชิกแห่งสังคมมีความเป็นอยู่ร่วมกันฉันพี่น้อง  ระบบสังคมก็เป็นไปในลักษณะของสามัคคีธรรมภายในครอบครัว  คือไม่จำเป็นต้องมี  อำนาจรัฐ  ประมุขแห่งสังคมเป็นบุคคลที่สมาชิกแห่งสังคมยกย่องนับถือประเป็นพ่อแม่ที่ คอยดูแลความผาสุกของสมาชิกทั้งปวงโดยไม่ต้องใช้อำนาจบังคับกดขี่
4   ในสังคมแห่งระบบทาส  ซึ่งบุคคลส่วนน้อยในสังคมที่เป็นเจ้าทาสมีสิทธิใช้ให้คนส่วนมากในสังคมทำงาน เหมือนสัตว์พาหนะนั้น  ระบบสังคมก็ต้องเป็นระบบที่  เจ้าทาส  มี อำนาจรัฐ  อย่างสมบูรณ์ที่สามารถบังคับกดขี่ทาสให้ทำงานได้
5   ในสังคมแห่งระบบศักดินา  ซึ่งแม้  เจ้าศักดินา  จะได้ลดความกดขี่สมาชิกแห่งสังคมให้น้อยลงกว่าระบบทาสก็ดี  แต่เจ้าศักดินาก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมี  อำนาจรัฐ  เพื่อบังคับคนส่วนมากในสังคมให้ทำงาน  สถาบันและระบบสังคมศักดินาจึงเป็นไปตาม  อำนาจรัฐ นั้น
6   ใน สังคมแห่งระบบธนานุภาพ  ( ระบบทุนนิยม  ผู้เรียบเรียง )  ซึ่งแม้  เจ้าสมบัติ  ใช้ปัจจัยการผลิตของสังคมใช้ให้คนส่วนมากในสังคมทำงานโดยมี  ค่าจ้าง  ก็ตาม  แต่เจ้าสมบัติยังมีความจำเป็นที่จะต้องมี  อำนาจรัฐ  ในการบังคับให้เป็นไปตามความต้องการของตน  สถาบันและระบบสังคมธนานุภาพ ( ทุนนิยม ) จึงเป็นไปตาม  อำนาจรัฐ นั้น
7   ในบางสังคมที่เข้าสู่   ระบบสังคมกิจ  (สังคมนิยม )นั้น  แม้ในทางนิตินัยจะไม่มีวรรณะ ( ชนชั้น ผู้เรียบเรียง )  เนื่องจากไม่มีฐานะและวิธีดำรงชีพแตกต่างกันระหว่างสมาชิกของสังคมทางหลัก การก็ดี  แต่นักปราชญ์วิทยาศาสตร์ทางสังคมก็กล่าวไว้ว่า  ซากแห่งความเคยชินและทรรศนะเก่ายังคงมีค้างอยู่อีกกาลหนึ่ง  ฉนั้นราษฎรส่วนมากในสังคมก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้  อำนาจรัฐ  ในระหว่างกาละนั้น  สถาบันระบบสังคมกิจ ( สังคมนิยม )  จึงเป็นไปตาม  อำนาจรัฐ  นั้น
8   กล่าว มาแล้วข้างต้น  ผู้อ่านย่อมเห็นได้ว่า  อำนาจรัฐ  เป็นเครื่งมือของวรรณะ (ชนชั้น ) ที่ปกครองในสังคมที่สมาชิกแบ่งออกเป็นวรรณะ (ชนชั้น ) ต่างๆ  สถาบันและระบบสังคมซึ่งประกอบด้วยอำนาจรัฐหรือไม่ก็ดี  ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแห่งความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยเป็นรากฐาน
         จริง อยู่ในทางนิตินัยอาจกล่าวกันว่าอำนาจรัฐเป็นของสมาชิกทั้งหลายแห่งสังคม   แต่ในทางพฤตินัยสมาชิกแห่งสังคมผู้ถืออำนาจรัฐก็คือวรรณะ (ชนชั้น ) ที่ปกครองสังคมซึ่งใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์แก่วรรณะ  (ชนชั้น ) ของตนยิ่งกว่าเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของสังคม  ดั่งนั้นการแบ่งอำนาจรัฐออกเป็นสามส่วนตามทฤษฎีของ  มองเตสกิเออร์  ชาวฝรั่งเศส   ซึ่งเป็นแบบฉบับของระบบรัฐธรรมนูญมากหลาย  คือการแบ่งออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ,  บริหาร, และตุลาการ, นั้นเป็นเรื่องจำแนกกลไกแห่งอำนาจรัฐออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ  คล้ายกับการแบ่งกระทรวงทบวงกรมนั้นเอง  เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่  ตัวอักษร  และสถาบัน  ที่เป็นนามธรรม  แต่อยู่ที่  บุคคลผู้มีอำนาจใช้กลไกนั้น   ว่าจะเป็นวรรณะ (ชนชั้น ) ใด  หรือเป็นสมุนหรือซากของวรรณะ (ชนชั้น ) ใด  ความเป็นธรรมสำหรับสังคมอาจจะมีได้ในกรณีที่สมาชิกแห่งสังคมที่พิพาทกันเป็น คนแห่งวรรณะ (ชนชั้น ) อื่นด้วยกัน  แต่ถ้าเป็นเรื่องพิพาทระหว่างคนในวรรณะ(ชนชั้น )หนึ่งกับคนในวรรณะ (ชนชั้น ) เดียวกันกับผู้ถือกลไกหรือเป็นกลไกแห่งอำนาจรัฐแล้วความเป็นธรรมก็เกิดขึ้น ยาก   เว้นแต่ผู้ถือกลไกหรือเป็นกลไกนั้นจะทรงไว้ซึ่งพรหมวิหาร (ความเมตตาของท่านผู้เป็นใหญ่, ผู้เรียบเรียง )  อย่างแท้จริง  แต่มนุษย์ปุถุชนยังมีกิเลศตามวรรณะ (ชนชั้น ) หรือตามที่ปุถุชนนั้นเป็นสมุนของวรรณะ (ชนชั้น ).

" มองเตสกิเออผิดยุค"
 
รัฐธรรมนูญฉบับนี้พยายามที่จะสร้างระบอบการปกครองแบบใหม่ขึ้นมา คล้ายๆ กับย้อนไปปี พ.ศ. 2492 ที่เป็นการ Counter การอภิวัฒน์ 2475 รัฐธรรมนูญนี้มีทิศทางแบบนั้น แต่หนักกว่าปี 2492 และหนักกว่าปี 2550 เข้าไปอีก เพราะรัฐธรรมนูญ 2492 ซึ่งสืบต่อจากรัฐธรรมนูญรัฐประหาร 2490 ยังมีด้านที่เป็นประชาธิปไตยบ้างโดยเฉพาะการแยกข้าราชการประจำกับข้าราชการ การเมืองออกจากกัน รัฐธรรมนูญ 2550 ยังให้วุฒิสมาชิกครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับเน้นอำนาจขององค์กรที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับ ประชาชนเยอะมาก
ถ้าพูดถึงหลักการพื้นฐาน  เราอาจจะกล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานที่เป็น ประชาธิปไตย ไม่เป็นประชาธิปไตยแน่ๆ แม้ว่าจะมีหลักนิติธรรม ในมาตรา 217 ที่พยายามพูดถึงหลักนิติธรรมที่เป็นรากฐานของประชาธิปไตย ต้องมีหลักการพื้นฐานสำคัญดังต่อไปนี้....ฯลฯ แล้วก็พูดถึงเรื่องซึ่งอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ความสูงสุดของรัฐธรรมนูญและกฎหมายเหนืออำเภอใจของบุคคล และพูดเรื่องการแบ่งแยกการใช้อำนาจ
คือผมอยากให้ดูหลักตรงนี้สักนิดก่อน ในเจตนารมณ์มีการพูดถึงมองเตสกิเออ (Montesquieu) ที่บอกว่ารัฐธรรมนูญที่ดีคือ การพยายามเอากลุ่มพลังต่างๆ มาไว้ในรัฐธรรมนูญ
แต่หลักคิดของมองเตสกิเออ ไม่ได้เป็นการแบ่งแยกอำนาจบนฐานประชาธิปไตย ตอนที่เขาเสนอหลักการแบ่งแยกอำนาจ เป็นการเสนอในช่วงที่ฝรั่งเศสยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และพยายามเอาหลักการหลายหลักเข้ามาผสมกัน อย่างเช่น อำนาจนิติบัญญัติ เขาเสนอว่าต้องใช้หลักอภิชนาธิปไตยกับหลักประชาธิปไตยประกอบกัน ในแง่ที่ว่ามีสภาขุนนางเป็นสภาสูง แล้วก็มีสภาผู้แทนราษฎร ส่วนอำนาจในทางบริหารเขาใช้หลักราชาธิปไตย คือให้กษัตริย์มีอำนาจในการบริหารประเทศ ส่วนอำนาจตุลาการนี่ยังไม่ชัด แต่บอกว่าผู้พิพากษาจะมาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์ ให้กษัตริย์เป็นคนแต่งตั้ง แต่ให้เป็นอิสระจากกษัตริย์
เราจะเห็นว่าการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออ ไม่ได้วางอยู่บนฐานของประชาธิปไตย เพียงแต่พยายามปรับปรุงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของฝรั่งเศส ให้มีลักษณะของการแบ่งแยกอำนาจเกิดขึ้น
พอเราเอามองเตสกิเออมาอ้างในยุคสมัยนี้ สิ่งเดียวที่เราควรจะรับก็คือแนวคิดในเรื่องของการแบ่งแยกอำนาจ ให้มีการคานและดุลอำนาจกัน ไม่ให้อำนาจใดอำนาจหนึ่งใหญ่กว่าอำนาจอื่น แต่ว่าการแบ่งแยกอำนาจต้องเป็นการแบ่งแยกบนฐานประชาธิปไตย แปลว่าทุกอำนาจรัฐต้องมีความเชื่อมโยงกลับมาหาประชาชนได้ ซึ่งเราเรียกว่า ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจ ส่งความชอบธรรมในอำนาจของเขาไปยังองค์กรของรัฐ
ฉะนั้นวิธีการที่เราจะเช็คว่ารัฐธรรมนูญนั้นวางอยู่บนฐานของประชาธิปไตยหรือ ไม่ คือการเขียนผังขึ้นมา แล้วดูว่าองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐแต่ละหน่วย มีองค์กรใดบ้างที่โยงกลับมาหาประชาชนได้  รัฐธรรมนูญในโลกนี้ที่เป็นประชาธิปไตยต้องอธิบายตรงนี้ได้ ถ้าไม่เช่นนั้น อย่าไปบอกว่าเป็นประชาธิปไตย
แล้วสิ่งที่เขียนในมาตรา 217 ก็เป็นการเขียนอย่าง “มุสา” ที่บอกว่าหลักนิติธรรมเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย แต่อำนาจที่แบ่งไปในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หลายอำนาจมันไม่ได้ยึดโยงกับประชาขนเลย


“สิ่งที่เห็นคือ วุฒิสภา หน่วยองค์กรอิสระ ที่มีเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งนี้องค์กรพวกนี้น่าจะเป็นอนุมูลอิสระมากกว่า ไม่ใช่องค์กรอิสระ มีสภาพเป็นอนุมูลอิสระ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาธิปไตยไปแล้ว”



Inga kommentarer:

Skicka en kommentar