ทฤษฎีการแยกอำนาจของมองเตสกิเออร์
ทฤษฎีการแยกอำนาจของมองเตสกิเออร์
โดย ปรีดี พนมยงค์
จากหนังสือสังคมปรัชญาเบื้องต้น " รากฐานของสถาบันการเมือง "
1
กายาพยพ หรือนัยหนึ่งร่างกายของสังคม คือสถาบันและระบบต่างๆของสังคม
ก็ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยของสังคม
สถาบันใหญ่น้อยและระบบปกครองของสังคมที่กล่าวกันว่ามีหน้าที่
ระงับทุกข์บำรุงสุขของราษฎรนั้น
ถ้าจะสาวไปถึงรากอันลึกซึ้งก็คือสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยนั่นเอง
เพราะความต้องการในการดำรงชีพ ไม่ว่าทางกายทางใจ ก็ต้องอาศัยชีวปัจจัย
แม้จะจำกัดให้น้อยลงได้เพียงใดก็ตาม ดั่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว
2
เราจำต้องทำความเข้าใจเพื่อป้องกันการเอียงจัดเนื่องจากสูตรสำเร็จเพียงแง่
เดียวไว้ด้วย ว่า
การที่สูตรสำเร็จอันหนึ่งกล่าวไว้ว่าเศรษฐกิจเป็นรากฐานการเมือง
และระบบการเมืองเกิดมาจากสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยของสังคมนั้น
มีความหมายในการแสดงถึง ที่มา ของสิ่งเหล่านั้น
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจกับการเมืองก็ดี
หรือระหว่างสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยกับทางการเมืองก็ดี
ย่อมมีผลสะท้อนถึงกัน คือเมื่อการเมืองต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเศรษฐกิจ
หรือตามสภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยในขณะใดขณะหนึ่งแล้ว
สถาบันและระบบการเมืองใหม่ก็ก่อให้เกิดสภาพที่ทำให้สังคมพัฒนาต่อไปใหม่
เช่นสถาบันและระบบการเมืองซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ
พ.ศ. 2475
ได้ก่อให้เกิดสภาพที่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การผลิตหลายอย่างดังที่กล่าวมา
แล้วในตอนต้น
การเปลี่ยนแปลงสถาบันและระบบการเมืองในสังคมอื่นก็ทำนองเดียวกัน
ที่ก่อให้เกิดสภาพแห่งความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยอันเป็นรากฐาน
ไม่มีการอภิวัฒน์ใดที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์การผลิตได้ในทันใดทุกอย่าง
แม้การอภิวัฒน์นั้นจะได้รับยกย่องว่าก้าวหน้าที่สุด
แต่ก็ต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลงโดยอาศัย สภาพใหม่ นั้น
3 สภาพความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยของสังคมเป็นอย่างไรสถาบันและระบบของสังคมก็เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ
3.1
ในสังคมระบบปฐมสหการ
ซึ่งสมาชิกแห่งสังคมมีความเป็นอยู่ร่วมกันฉันพี่น้อง
ระบบสังคมก็เป็นไปในลักษณะของสามัคคีธรรมภายในครอบครัว
คือไม่จำเป็นต้องมี อำนาจรัฐ
ประมุขแห่งสังคมเป็นบุคคลที่สมาชิกแห่งสังคมยกย่องนับถือประเป็นพ่อแม่ที่
คอยดูแลความผาสุกของสมาชิกทั้งปวงโดยไม่ต้องใช้อำนาจบังคับกดขี่
4
ในสังคมแห่งระบบทาส
ซึ่งบุคคลส่วนน้อยในสังคมที่เป็นเจ้าทาสมีสิทธิใช้ให้คนส่วนมากในสังคมทำงาน
เหมือนสัตว์พาหนะนั้น ระบบสังคมก็ต้องเป็นระบบที่ เจ้าทาส มี อำนาจรัฐ
อย่างสมบูรณ์ที่สามารถบังคับกดขี่ทาสให้ทำงานได้
5
ในสังคมแห่งระบบศักดินา ซึ่งแม้ เจ้าศักดินา
จะได้ลดความกดขี่สมาชิกแห่งสังคมให้น้อยลงกว่าระบบทาสก็ดี
แต่เจ้าศักดินาก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมี อำนาจรัฐ
เพื่อบังคับคนส่วนมากในสังคมให้ทำงาน
สถาบันและระบบสังคมศักดินาจึงเป็นไปตาม อำนาจรัฐ นั้น
6 ใน
สังคมแห่งระบบธนานุภาพ ( ระบบทุนนิยม ผู้เรียบเรียง ) ซึ่งแม้
เจ้าสมบัติ ใช้ปัจจัยการผลิตของสังคมใช้ให้คนส่วนมากในสังคมทำงานโดยมี
ค่าจ้าง ก็ตาม แต่เจ้าสมบัติยังมีความจำเป็นที่จะต้องมี อำนาจรัฐ
ในการบังคับให้เป็นไปตามความต้องการของตน สถาบันและระบบสังคมธนานุภาพ (
ทุนนิยม ) จึงเป็นไปตาม อำนาจรัฐ นั้น
7
ในบางสังคมที่เข้าสู่ ระบบสังคมกิจ (สังคมนิยม )นั้น
แม้ในทางนิตินัยจะไม่มีวรรณะ ( ชนชั้น ผู้เรียบเรียง )
เนื่องจากไม่มีฐานะและวิธีดำรงชีพแตกต่างกันระหว่างสมาชิกของสังคมทางหลัก
การก็ดี แต่นักปราชญ์วิทยาศาสตร์ทางสังคมก็กล่าวไว้ว่า
ซากแห่งความเคยชินและทรรศนะเก่ายังคงมีค้างอยู่อีกกาลหนึ่ง
ฉนั้นราษฎรส่วนมากในสังคมก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ อำนาจรัฐ
ในระหว่างกาละนั้น สถาบันระบบสังคมกิจ ( สังคมนิยม ) จึงเป็นไปตาม
อำนาจรัฐ นั้น
8 กล่าว
มาแล้วข้างต้น ผู้อ่านย่อมเห็นได้ว่า อำนาจรัฐ เป็นเครื่งมือของวรรณะ
(ชนชั้น ) ที่ปกครองในสังคมที่สมาชิกแบ่งออกเป็นวรรณะ (ชนชั้น ) ต่างๆ
สถาบันและระบบสังคมซึ่งประกอบด้วยอำนาจรัฐหรือไม่ก็ดี
ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแห่งความเป็นอยู่ทางชีวปัจจัยเป็นรากฐาน
จริง
อยู่ในทางนิตินัยอาจกล่าวกันว่าอำนาจรัฐเป็นของสมาชิกทั้งหลายแห่งสังคม
แต่ในทางพฤตินัยสมาชิกแห่งสังคมผู้ถืออำนาจรัฐก็คือวรรณะ (ชนชั้น )
ที่ปกครองสังคมซึ่งใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์แก่วรรณะ (ชนชั้น )
ของตนยิ่งกว่าเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของสังคม
ดั่งนั้นการแบ่งอำนาจรัฐออกเป็นสามส่วนตามทฤษฎีของ มองเตสกิเออร์
ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแบบฉบับของระบบรัฐธรรมนูญมากหลาย
คือการแบ่งออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ, บริหาร, และตุลาการ,
นั้นเป็นเรื่องจำแนกกลไกแห่งอำนาจรัฐออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ
คล้ายกับการแบ่งกระทรวงทบวงกรมนั้นเอง เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ ตัวอักษร
และสถาบัน ที่เป็นนามธรรม แต่อยู่ที่ บุคคลผู้มีอำนาจใช้กลไกนั้น
ว่าจะเป็นวรรณะ (ชนชั้น ) ใด หรือเป็นสมุนหรือซากของวรรณะ (ชนชั้น ) ใด
ความเป็นธรรมสำหรับสังคมอาจจะมีได้ในกรณีที่สมาชิกแห่งสังคมที่พิพาทกันเป็น
คนแห่งวรรณะ (ชนชั้น ) อื่นด้วยกัน
แต่ถ้าเป็นเรื่องพิพาทระหว่างคนในวรรณะ(ชนชั้น )หนึ่งกับคนในวรรณะ (ชนชั้น )
เดียวกันกับผู้ถือกลไกหรือเป็นกลไกแห่งอำนาจรัฐแล้วความเป็นธรรมก็เกิดขึ้น
ยาก เว้นแต่ผู้ถือกลไกหรือเป็นกลไกนั้นจะทรงไว้ซึ่งพรหมวิหาร
(ความเมตตาของท่านผู้เป็นใหญ่, ผู้เรียบเรียง ) อย่างแท้จริง
แต่มนุษย์ปุถุชนยังมีกิเลศตามวรรณะ (ชนชั้น )
หรือตามที่ปุถุชนนั้นเป็นสมุนของวรรณะ (ชนชั้น ).
" มองเตสกิเออผิดยุค"
รัฐธรรมนูญฉบับนี้พยายามที่จะสร้างระบอบการปกครองแบบใหม่ขึ้นมา คล้ายๆ กับย้อนไปปี พ.ศ. 2492 ที่เป็นการ Counter การอภิวัฒน์ 2475 รัฐธรรมนูญนี้มีทิศทางแบบนั้น แต่หนักกว่าปี 2492 และหนักกว่าปี 2550 เข้าไปอีก เพราะรัฐธรรมนูญ 2492 ซึ่งสืบต่อจากรัฐธรรมนูญรัฐประหาร 2490 ยังมีด้านที่เป็นประชาธิปไตยบ้างโดยเฉพาะการแยกข้าราชการประจำกับข้าราชการ การเมืองออกจากกัน รัฐธรรมนูญ 2550 ยังให้วุฒิสมาชิกครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับเน้นอำนาจขององค์กรที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับ ประชาชนเยอะมาก
ถ้าพูดถึงหลักการพื้นฐาน เราอาจจะกล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานที่เป็น ประชาธิปไตย ไม่เป็นประชาธิปไตยแน่ๆ แม้ว่าจะมีหลักนิติธรรม ในมาตรา 217 ที่พยายามพูดถึงหลักนิติธรรมที่เป็นรากฐานของประชาธิปไตย ต้องมีหลักการพื้นฐานสำคัญดังต่อไปนี้....ฯลฯ แล้วก็พูดถึงเรื่องซึ่งอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ความสูงสุดของรัฐธรรมนูญและกฎหมายเหนืออำเภอใจของบุคคล และพูดเรื่องการแบ่งแยกการใช้อำนาจ
คือผมอยากให้ดูหลักตรงนี้สักนิดก่อน ในเจตนารมณ์มีการพูดถึงมองเตสกิเออ (Montesquieu) ที่บอกว่ารัฐธรรมนูญที่ดีคือ การพยายามเอากลุ่มพลังต่างๆ มาไว้ในรัฐธรรมนูญ
แต่หลักคิดของมองเตสกิเออ ไม่ได้เป็นการแบ่งแยกอำนาจบนฐานประชาธิปไตย ตอนที่เขาเสนอหลักการแบ่งแยกอำนาจ เป็นการเสนอในช่วงที่ฝรั่งเศสยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และพยายามเอาหลักการหลายหลักเข้ามาผสมกัน อย่างเช่น อำนาจนิติบัญญัติ เขาเสนอว่าต้องใช้หลักอภิชนาธิปไตยกับหลักประชาธิปไตยประกอบกัน ในแง่ที่ว่ามีสภาขุนนางเป็นสภาสูง แล้วก็มีสภาผู้แทนราษฎร ส่วนอำนาจในทางบริหารเขาใช้หลักราชาธิปไตย คือให้กษัตริย์มีอำนาจในการบริหารประเทศ ส่วนอำนาจตุลาการนี่ยังไม่ชัด แต่บอกว่าผู้พิพากษาจะมาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์ ให้กษัตริย์เป็นคนแต่งตั้ง แต่ให้เป็นอิสระจากกษัตริย์
เราจะเห็นว่าการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออ ไม่ได้วางอยู่บนฐานของประชาธิปไตย เพียงแต่พยายามปรับปรุงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของฝรั่งเศส ให้มีลักษณะของการแบ่งแยกอำนาจเกิดขึ้น
พอเราเอามองเตสกิเออมาอ้างในยุคสมัยนี้ สิ่งเดียวที่เราควรจะรับก็คือแนวคิดในเรื่องของการแบ่งแยกอำนาจ ให้มีการคานและดุลอำนาจกัน ไม่ให้อำนาจใดอำนาจหนึ่งใหญ่กว่าอำนาจอื่น แต่ว่าการแบ่งแยกอำนาจต้องเป็นการแบ่งแยกบนฐานประชาธิปไตย แปลว่าทุกอำนาจรัฐต้องมีความเชื่อมโยงกลับมาหาประชาชนได้ ซึ่งเราเรียกว่า ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจ ส่งความชอบธรรมในอำนาจของเขาไปยังองค์กรของรัฐ
ฉะนั้นวิธีการที่เราจะเช็คว่ารัฐธรรมนูญนั้นวางอยู่บนฐานของประชาธิปไตยหรือ ไม่ คือการเขียนผังขึ้นมา แล้วดูว่าองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐแต่ละหน่วย มีองค์กรใดบ้างที่โยงกลับมาหาประชาชนได้ รัฐธรรมนูญในโลกนี้ที่เป็นประชาธิปไตยต้องอธิบายตรงนี้ได้ ถ้าไม่เช่นนั้น อย่าไปบอกว่าเป็นประชาธิปไตย
แล้วสิ่งที่เขียนในมาตรา 217 ก็เป็นการเขียนอย่าง “มุสา” ที่บอกว่าหลักนิติธรรมเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย แต่อำนาจที่แบ่งไปในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หลายอำนาจมันไม่ได้ยึดโยงกับประชาขนเลย
“สิ่งที่เห็นคือ วุฒิสภา หน่วยองค์กรอิสระ ที่มีเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งนี้องค์กรพวกนี้น่าจะเป็นอนุมูลอิสระมากกว่า ไม่ใช่องค์กรอิสระ มีสภาพเป็นอนุมูลอิสระ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาธิปไตยไปแล้ว”
" มองเตสกิเออผิดยุค"
รัฐธรรมนูญฉบับนี้พยายามที่จะสร้างระบอบการปกครองแบบใหม่ขึ้นมา คล้ายๆ กับย้อนไปปี พ.ศ. 2492 ที่เป็นการ Counter การอภิวัฒน์ 2475 รัฐธรรมนูญนี้มีทิศทางแบบนั้น แต่หนักกว่าปี 2492 และหนักกว่าปี 2550 เข้าไปอีก เพราะรัฐธรรมนูญ 2492 ซึ่งสืบต่อจากรัฐธรรมนูญรัฐประหาร 2490 ยังมีด้านที่เป็นประชาธิปไตยบ้างโดยเฉพาะการแยกข้าราชการประจำกับข้าราชการ การเมืองออกจากกัน รัฐธรรมนูญ 2550 ยังให้วุฒิสมาชิกครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง แต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับเน้นอำนาจขององค์กรที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับ ประชาชนเยอะมาก
ถ้าพูดถึงหลักการพื้นฐาน เราอาจจะกล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานที่เป็น ประชาธิปไตย ไม่เป็นประชาธิปไตยแน่ๆ แม้ว่าจะมีหลักนิติธรรม ในมาตรา 217 ที่พยายามพูดถึงหลักนิติธรรมที่เป็นรากฐานของประชาธิปไตย ต้องมีหลักการพื้นฐานสำคัญดังต่อไปนี้....ฯลฯ แล้วก็พูดถึงเรื่องซึ่งอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ความสูงสุดของรัฐธรรมนูญและกฎหมายเหนืออำเภอใจของบุคคล และพูดเรื่องการแบ่งแยกการใช้อำนาจ
คือผมอยากให้ดูหลักตรงนี้สักนิดก่อน ในเจตนารมณ์มีการพูดถึงมองเตสกิเออ (Montesquieu) ที่บอกว่ารัฐธรรมนูญที่ดีคือ การพยายามเอากลุ่มพลังต่างๆ มาไว้ในรัฐธรรมนูญ
แต่หลักคิดของมองเตสกิเออ ไม่ได้เป็นการแบ่งแยกอำนาจบนฐานประชาธิปไตย ตอนที่เขาเสนอหลักการแบ่งแยกอำนาจ เป็นการเสนอในช่วงที่ฝรั่งเศสยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และพยายามเอาหลักการหลายหลักเข้ามาผสมกัน อย่างเช่น อำนาจนิติบัญญัติ เขาเสนอว่าต้องใช้หลักอภิชนาธิปไตยกับหลักประชาธิปไตยประกอบกัน ในแง่ที่ว่ามีสภาขุนนางเป็นสภาสูง แล้วก็มีสภาผู้แทนราษฎร ส่วนอำนาจในทางบริหารเขาใช้หลักราชาธิปไตย คือให้กษัตริย์มีอำนาจในการบริหารประเทศ ส่วนอำนาจตุลาการนี่ยังไม่ชัด แต่บอกว่าผู้พิพากษาจะมาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์ ให้กษัตริย์เป็นคนแต่งตั้ง แต่ให้เป็นอิสระจากกษัตริย์
เราจะเห็นว่าการแบ่งแยกอำนาจของมองเตสกิเออ ไม่ได้วางอยู่บนฐานของประชาธิปไตย เพียงแต่พยายามปรับปรุงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของฝรั่งเศส ให้มีลักษณะของการแบ่งแยกอำนาจเกิดขึ้น
พอเราเอามองเตสกิเออมาอ้างในยุคสมัยนี้ สิ่งเดียวที่เราควรจะรับก็คือแนวคิดในเรื่องของการแบ่งแยกอำนาจ ให้มีการคานและดุลอำนาจกัน ไม่ให้อำนาจใดอำนาจหนึ่งใหญ่กว่าอำนาจอื่น แต่ว่าการแบ่งแยกอำนาจต้องเป็นการแบ่งแยกบนฐานประชาธิปไตย แปลว่าทุกอำนาจรัฐต้องมีความเชื่อมโยงกลับมาหาประชาชนได้ ซึ่งเราเรียกว่า ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจ ส่งความชอบธรรมในอำนาจของเขาไปยังองค์กรของรัฐ
ฉะนั้นวิธีการที่เราจะเช็คว่ารัฐธรรมนูญนั้นวางอยู่บนฐานของประชาธิปไตยหรือ ไม่ คือการเขียนผังขึ้นมา แล้วดูว่าองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐแต่ละหน่วย มีองค์กรใดบ้างที่โยงกลับมาหาประชาชนได้ รัฐธรรมนูญในโลกนี้ที่เป็นประชาธิปไตยต้องอธิบายตรงนี้ได้ ถ้าไม่เช่นนั้น อย่าไปบอกว่าเป็นประชาธิปไตย
แล้วสิ่งที่เขียนในมาตรา 217 ก็เป็นการเขียนอย่าง “มุสา” ที่บอกว่าหลักนิติธรรมเป็นรากฐานของรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย แต่อำนาจที่แบ่งไปในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ หลายอำนาจมันไม่ได้ยึดโยงกับประชาขนเลย
“สิ่งที่เห็นคือ วุฒิสภา หน่วยองค์กรอิสระ ที่มีเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งนี้องค์กรพวกนี้น่าจะเป็นอนุมูลอิสระมากกว่า ไม่ใช่องค์กรอิสระ มีสภาพเป็นอนุมูลอิสระ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาธิปไตยไปแล้ว”
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar