onsdag 11 februari 2015

มาตรการต่อผู้เห็นต่าง ผลเสียมากกว่าผลดี....

คลิก-Chaturon Chaisang

มาตรการต่อผู้เห็นต่าง ผลเสียมากกว่าผลดี

ขณะนี้สังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงที่ต้องการการแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายมากเป็นพิเศษ แต่ในช่วงนี้กลับมีการใช้มาตรการอย่างต่อเนื่องกับผู้ที่มีความเห็นต่าง  ทั้งการเรียกให้ไปรายงานตัวเพื่อปรับทัศนคติและการส่งเจ้าหน้าที่ไปพูดคุยถึงบ้าน

มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการใช้มาตรการนี้ และก็มีการชี้แจงวัตถุประสงค์เหตุผลของการใช้มาตรการนี้ เกือบไม่เว้นแต่ละวัน

จากที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กับผู้ที่ถูกใช้มาตรการดังกล่าวและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ผมมีความเห็นที่อยากจะเสนอต่อผู้นำคสช.และรัฐบาลว่า  มาตรการที่ใช้กับผู้ที่มีความเห็นต่างที่ใช้อยู่นี้จะไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ แต่กลับจะเป็นผลเสียต่อการดำเนินการใน 3 เรื่องใหญ่ๆคือ 

1.การร่างรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปที่กำลังใกล้จะถึงช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแล้ว 
2.การแก้ปัญหาด้านต่างๆที่รัฐบาลกำลังทำอยู่โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ  และ
3.การแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานเพื่อนำสังคมไปสู่การปรองดอง

มีการชี้แจงว่า มาตรการนี้ใช้กับผู้ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งหรือผู้ที่ไม่อยู่ในกรอบของกฎหมายบ้าง เป็นการทำความเข้าใจบ้าง ปรับทัศนคติบ้าง แต่ดูจากผู้ที่ถูกเรียกตัวหรือมีเจ้าหน้าที่ไปหาถึงบ้านก็จะพบว่า เป็นเพียงผู้ที่เห็นต่าง ไม่มีใครที่ยุยงให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกและก็ไม่มีใครที่พูดอะไรหรือทำอะไรในลักษณะที่ผิดกฎหมาย

ที่เป็นปัญหามากกว่านั้นก็คือ สิ่งที่ชี้แจงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็ไม่ตรงกันและไม่ทราบว่าผู้นำคสช.และรัฐบาลจะทราบหรือไม่  

ในการพูดคุยกันนั้นไม่ได้เป็นไปตามที่มีการชี้แจง กล่าวคือไม่มีการทำความเข้าใจอย่างมีเหตุมีผล ไม่มีใครปรับทัศนคติใครได้และไม่ใช่เป็นการขอให้พูดอะไรได้แค่ไหนอย่างไร แต่เป็นการขอร่วมมือเพื่อไม่ให้แสดงความเห็นทางการเมืองใดๆเลย  ทั้งในการให้สัมภาษณ์และใช้สื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฎิบัติตามได้ จะเห็นได้ว่า หลังจากพูดคุยกันแล้วเกือบทุกคนก็ยังมีการใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นตามหลักการของแต่ละคนเป็นปรกติ

ผลเสียที่เกิดในวงกว้างก็คือ  การใช้มาตรการนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ไม่เป็นผลดีเนื่องจากอาจตีความได้ว่า คสช.และรัฐบาลไม่ต้องการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง  ทั้งๆที่บ้านเมืองอยู่ในช่วงที่จำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อาจทำให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งหลายตกอยู่ในสภาพฟังความไม่รอบด้านหรืออาจถึงขั้นฟังความฝ่ายเดียวได้

นอกจากนี้ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความห่วงใยก็คือ  ผลกระทบต่อการปรองดอง  เนื่องจากมาตรการนี้ถูกใช้กับฝ่ายที่เห็นต่างเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เหมือนเป็นการเลือกปฏิบัติ 

ที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมา ผมไม่ได้ต้องการเสนอให้มีการเรียกตัวฝ่ายอื่นหรือฝ่ายใดก็ตามมารายงานตัวแต่อย่างใด 

หากจะแก้ปัญหาความขัดแย้งและสร้างความปรองดอง สิ่งที่ควรทำแทนที่จะเป็นการเรียกผู้ที่เห็นต่างมารายงานตัวหรือไปเยี่ยมถึงบ้านทั้งๆที่ไม่ได้ป่วยไข้ก็คือ  ส่งเสริมให้มีการแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวาง สร้างกฎกติกาที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นธรรม บังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรมเท่าเทียมกันทุกฝ่าย รวมทั้งส่งเสริมให้ฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่คิดต่างกันหรือขัดแย้งกันได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในลักษณะ 'สานเสวนา' ที่สร้างสรรค์และเสมอภาคกัน


มาตรการต่อผู้เห็นต่าง ผลเสียมากกว่าผลดี


ขณะนี้สังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงที่ต้องการการแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายมากเป็นพิเศษ แต่ในช่วงนี้กลับมีการใช้มาตรการอย่างต่อเนื่องกับผู้ที่มีความเห็นต่าง ทั้งการเรียกให้ไปรายงานตัวเพื่อปรับทัศนคติและการส่งเจ้าหน้าที่ไปพูดคุยถึงบ้าน
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการใช้มาตรการนี้ และก็มีการชี้แจงวัตถุประสงค์เหตุผลของการใช้มาตรการนี้ เกือบไม่เว้นแต่ละวัน
จากที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กับผู้ที่ถูกใช้มาตรการดังกล่าวและติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ผมมีความเห็นที่อยากจะเสนอต่อผู้นำคสช.และรัฐบาลว่า มาตรการที่ใช้กับผู้ที่มีความเห็นต่างที่ใช้อยู่นี้จะไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ แต่กลับจะเป็นผลเสียต่อการดำเนินการใน 3 เรื่องใหญ่ๆคือ
1.การร่างรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปที่กำลังใกล้จะถึงช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแล้ว
2.การแก้ปัญหาด้านต่างๆที่รัฐบาลกำลังทำอยู่โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ และ
3.การแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานเพื่อนำสังคมไปสู่การปรองดอง

มีการชี้แจงว่า มาตรการนี้ใช้กับผู้ที่อาจทำให้เกิดความขัดแย้งหรือผู้ที่ไม่อยู่ในกรอบของกฎหมายบ้าง เป็นการทำความเข้าใจบ้าง ปรับทัศนคติบ้าง แต่ดูจากผู้ที่ถูกเรียกตัวหรือมีเจ้าหน้าที่ไปหาถึงบ้านก็จะพบว่า เป็นเพียงผู้ที่เห็นต่าง ไม่มีใครที่ยุยงให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกและก็ไม่มีใครที่พูดอะไรหรือทำอะไรในลักษณะที่ผิดกฎหมาย
ที่เป็นปัญหามากกว่านั้นก็คือ สิ่งที่ชี้แจงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็ไม่ตรงกันและไม่ทราบว่าผู้นำคสช.และรัฐบาลจะทราบหรือไม่
ในการพูดคุยกันนั้นไม่ได้เป็นไปตามที่มีการชี้แจง กล่าวคือไม่มีการทำความเข้าใจอย่างมีเหตุมีผล ไม่มีใครปรับทัศนคติใครได้และไม่ใช่เป็นการขอให้พูดอะไรได้แค่ไหนอย่างไร แต่เป็นการขอร่วมมือเพื่อไม่ให้แสดงความเห็นทางการเมืองใดๆเลย ทั้งในการให้สัมภาษณ์และใช้สื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฎิบัติตามได้ จะเห็นได้ว่า หลังจากพูดคุยกันแล้วเกือบทุกคนก็ยังมีการใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นตามหลักการของแต่ละคนเป็นปรกติ
ผลเสียที่เกิดในวงกว้างก็คือ การใช้มาตรการนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ไม่เป็นผลดีเนื่องจากอาจตีความได้ว่า คสช.และรัฐบาลไม่ต้องการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ทั้งๆที่บ้านเมืองอยู่ในช่วงที่จำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อาจทำให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งหลายตกอยู่ในสภาพฟังความไม่รอบด้านหรืออาจถึงขั้นฟังความฝ่ายเดียวได้
นอกจากนี้ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความห่วงใยก็คือ ผลกระทบต่อการปรองดอง เนื่องจากมาตรการนี้ถูกใช้กับฝ่ายที่เห็นต่างเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เหมือนเป็นการเลือกปฏิบัติ
ที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมา ผมไม่ได้ต้องการเสนอให้มีการเรียกตัวฝ่ายอื่นหรือฝ่ายใดก็ตามมารายงานตัวแต่อย่างใด
หากจะแก้ปัญหาความขัดแย้งและสร้างความปรองดอง สิ่งที่ควรทำแทนที่จะเป็นการเรียกผู้ที่เห็นต่างมารายงานตัวหรือไปเยี่ยมถึงบ้านทั้งๆที่ไม่ได้ป่วยไข้ก็คือ ส่งเสริมให้มีการแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้างขวาง สร้างกฎกติกาที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นธรรม บังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรมเท่าเทียมกันทุกฝ่าย รวมทั้งส่งเสริมให้ฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่คิดต่างกันหรือขัดแย้งกันได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในลักษณะ 'สานเสวนา' ที่สร้างสรรค์และเสมอภาคกัน
คลิกดูเพิ่มเติม


Inga kommentarer:

Skicka en kommentar