måndag 5 december 2016

ถ้าประเทศไทยจะออกจากวิกฤติที่ยืดเยื้อมากว่าสิบปี ประชาชนที่สนใจและแอ๊คทีฟทางการเมืองทุกคน ทุกฝ่าย จะต้องหยุด


ถ้าไทยจะออกจากวิกฤติ ทุกฝ่ายต้องหยุดทั้งการเชียร์และการด่าอย่างหลับหูหลับตา ทั้งต่อเจ้าและระบบเลือกตั้ง-นักเลือกตั้ง

ถ้าประเทศไทยจะออกจากวิกฤติที่ยืดเยื้อมากว่าสิบปี
ประชาชนที่สนใจและแอ๊คทีฟทางการเมืองทุกคน ทุกฝ่าย
จะต้องหยุด
ทั้งการเชียร์อย่างหลับหูหลับตาต่อเจ้า และด่าอย่างหลับหูหลับตาต่อเจ้า*
ต้องหยุดทั้งการเชียร์อย่างหลับหูหลับตาต่อระบบการเลือกตั้งและนักเลือกตั้ง และด่าอย่างหลับหูหลับตาต่อระบบการเลือกตั้งและนักเลือกตั้ง
...............
* ควรหมายเหตุไว้ด้วยว่า ความ irony หรือตลกร้าย ณ ปัจจุบัน คือ คนที่เชียร์อย่างหลับหูหลับตาต่อเจ้า ไม่ใช่มีเฉพาะ "เสื้อเหลือง" เท่านั้น แต่กลายมาเป็นมี "เสื้อแดง" ที่เคยด่าอย่างหลับหูหลับต่อเจ้าด้วย (คลิปแดงใต้ดินคลิปหนึ่ง ถึงกับเสนอว่า ต้องรักษา 112 ไว้เพื่อปกป้องกษัตริย์ใหม่จาก "สุเทพ-สิรินธร")
ถ้าไทยจะออกจากวิกฤติ ทุกฝ่ายต้องหยุดทั้งการเชียร์และการด่าอย่างหลับหูหลับตา ทั้งต่อเจ้าและระบบเลือกตั้ง-นักเลือกตั้ง

Somsak Jeamteerasakul har lagt till 23 nya foton.
"ในหลวงภูมิพลทรงปืน"
"ในหลวงภูมิพลทรงปืน"
(และปัญหาการนำเสนอภาพในหลวงภูมิพลที่เปลี่ยนไปในประวัติศาสตร์
แถมเรื่องคำให้การเรื่องในหลวงอานันท์-ภูมิพลเริ่มหัดปืน-ชอบเล่นปืน)
จากกรณีที่มีการเซ็นเซ่อร์ภาพในหลวงภูมิพลทรงปืน (ดูกระทู้ก่อน) ผมได้ยินมาว่า สำนักพระราชวังเคยขอร้องสื่อไทยว่า อย่าลงรูปในหลวงทรงปืนหรือสูบบุหรี่ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้มีการเซนเซอร์ภาพเกิดขึ้น
โอเค ถ้างั้น ผมจัดให้ นี่เป็นภาพในหลวงภูมิพล (และบางภาพ พระราชินีสิริกิติ์) ทรงปืน หาได้จากเน็ตทั่วไป หลายภาพในนี้ น่าจะมาจากเหตุการณ์เดียวกัน แต่ถ่ายคนละมุมกล้อง
อันที่จริง ผมเคยเขียนมาก่อนว่า การนำเสนอภาพ (representation) เกี่ยวกับในหลวงภูมิพล ซึ่งมีทางวังเป็น "ผู้กำกับ" (สื่อไทยไม่สามารถลงได้ตามใจชอบ ดังตัวอย่างที่กำลังพูดนี้) มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ สมัยก่อนทศวรรษ 2530 ภาพลักษณ์ในหลวงในลักษณะทรงชุดทหาร และบางครั้งทรงปืน เป็นเรื่องปกติ ความจริง ภาพในฉลองพระองค์ชุดทหารน่าจะเป็นภาพหลักด้วยซ้า เพิ่งมาหลังทศวรรษ 2530 พร้อมกับการเกิดของสิ่งที่ผมเรียกว่า mass monarchy ที่มีลักษณะสำคัญคือ "ฐานมวลชน" ของสถาบันกษัตริย์ "เคลื่อนย้าย" จากชนบท มาสู่ชนชั้นกลางกรุงเทพ (โดยเฉพาะลูกหลานจีนรุ่นใหม่) การนำเสนอภาพก็เปลี่ยนไป เน้นเรื่อง "ทรงงานหนัก" เป็นหลัก (ภาพทรงถือแผนที่ ทรงเสด็จไปตามที่ต่างๆ) แม้แต่เรื่อง "โครงการหลวง" อะไรที่มาพูดกันในสมัยนี้ ก็เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เพิ่งมีการมาโฆษณาเน้น (พูดแบบภาษาวิชาการหน่อย คือการเปลี่ยนจากเรื่อง national security / anti-communism มาเป็นเรื่องการทำงานหนัก hard work ซึ่งเป็น bourgeois ethics) - ดูตัวอย่างกรณีที่ผมเปรียบเทียบ "แอ็ด" วันเฉลิมทางหน้า นสพ สมัยทศวรรษ 2520 กับ 2530 ที่นี่ goo.gl/kEALmH
................
ไหนๆก็ไหนๆ พูดถึงเรื่องนี้ ผมคิดว่า เรื่องในหลวงภูมิพลกับปืนนี้ คงทรงหัดใช้ปืนและนิสัยชอบปืนในช่วงเดียวกับในหลวงอานันท์ คือเมื่อตอนเสด็จมาเมืองไทยในปี 2488-2489 (ผมโพสต์รูปในหลวงอานันท์ฝึกยิงปืนให้ดูรูปหนึ่งด้วย)
สมเด็จพระราชชนนี เคยให้การต่อศาลในคดีสวรรคต เกี่ยวกับการทรงปืนของในหลวงอานันท์ว่า
"เกี่ยวกับพระแสงปืนนั้น ระหว่างประทับอยู่ต่างประเทศเคยทรงก็แต่ปืนลมอย่างเดียว ปืนที่ร้ายแรงกว่านั้นไม่เคยทรง เพิ่งไปเคยทรงที่เมืองไทย #โดยมีผู้ถวายแล้วก็ทรงกันทั้งสองพระองค์พี่น้อง"
พระพี่เลี้ยงเนื่อง เล่าในคำให้การของเธอตอนหนึ่ง ถึงการฝึกยิงปืนของในหลวงทั้งสองพระองค์ว่า
"โดยยิงที่ชั้นบนพระที่นั่งด้านหลังไปที่เป้าทางโบสถ์พระพุทธรัตน์ฯ เป้าบางครั้งก็อยู่ข้างโบสถ์พระพุทธรัตน์ฯ บางคราวก็อยู่กลางสนาม เป็นรูปคน ปืนที่ทรงใช้ยิงนั้นเป็นปืนยาว บางคราวก็ทรงยิงที่สนามหญ้าข้างพระที่นั่งศรีตลาภิรมย์ แต่ตอนนั้นจะเป็นปืนยาวหรือปืนสั้นไม่ทราบ โดยมากมักทรงยิงเวลาบ่าย 2-3 โมง เวลาอื่นมักไม่ค่อยมี #ทรงยิงทั้งสองพระองค์"
"ในหลวงทั้งสองพระองค์ทรงหยอกล้อกันอย่างพี่น้อง เช่น กระโดดกอดคอกันบ้าง ปล้ำกันบ้าง และนอกจากนั้นยังเคยทรงจุดประทัดและเอาน้ำราดเวลาทรงโปรยทานแก่พวกมหาดเล็ก #ข้าพเจ้าเคยเห็นทรงถือปืนจี้ล้อฝ่ายใน ได้แก่ ท้าวสัตยาฯ นางสาวจรูญ นางสาวทัศนียา และข้าพเจ้า"
"#ที่พระองค์เอาพระแสงปืนจี้ล้อฝ่ายในนั้น #พระองค์ทรงถือปืนไปใกล้ๆ #ยกปืนขึ้นเล็ง พวกนั้นก็ร้องวุ้ยว้ายๆ"
Somsak Jeamteerasakuls foto.
Somsak Jeamteerasakuls foto.Somsak Jeamteerasakuls foto. 
+ 19

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar