lördag 7 februari 2015

ฝากให้อ่าน ไปเจอมาน่าสนใจ .".เกมการเมืองการแย่งชิงอำนาจ " เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเหมือนโรคร้ายที่เรื้อรังลากยาวต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน...จนลุกลามกลายเป็นวิกฤติปัญหาของประเทศที่หาทางออกไม่ได้ "เกมการเมือง"ระหว่างคู่ต่อสู้ได้ทำลายประเทศฉีกรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายทิ้ง ทำให้ เศรษฐกิจตกต่ำ สังคมเสื่อมสุดๆ ไร้กฎหมาย ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า...ใครรับผิดชอบ????



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1422969926
คลิกอ่าน-Visa översättning








วันเสาร์ ที่ 31 พฤษภาคม 2551
Posted by นายหัวไทร ,                                         


ผมเชื่อเหลือเกินครับว่า ทุกคนอยากจะรู้ว่า ในงานสวดอภิธรรมศพแม่ของ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่มี พล.อ.เปรม ๖ณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ไปร่วมด้วย และหลังสวดเสร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ปรี่เข้าไปหา พล.อ.เปรม นั้น ทั้งสองคนพูดคุยอะไรกัน


   
      
 มีคนอยู่ 3 คนเท่านั้นที่น่าจะรู้ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องรู้ว่าตัวเองพูดอะไร พล.อ.เปรมก็ต้องรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณพูดอะไร และ พล.อ.เปรม พูดอะไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณบ้าง แน่นอนว่าในวงนั้น มี พล.อ.อนุพงศ์ ร่วมอยู่ด้วย ก็ย่อมรู้ว่า ชายสองคนนั้นพูดอะไรกัน


คมชัดลึกไปแกะ ไปแซะมาแล้วครับ เขารู้ว่า ชายสองคนพูดอะไรกัน ลองไปอ่านดูกันเอาเองก็แล้วกัน ผมยกมาให้อ่านกันทั้งแท่ง ก็ต้องขอขอบคุณคมชัดลึกไว้ ณ ที่นี้ด้วย 

ถอดรหัสบุกเข้าถ้ำเสือของ "ทักษิณ" พบ "ป๋า-อนุพงษ์-สุรยุทธ์" สร้างภาพจำนน ใช่เกมถอยอำพรางรุก ทิ้งจิ๊กซอว์ต่อภาพหลังพลิกเกมถอด
ชนวนระเบิดอันเป็นเงื่อนไขการของชุมนุมกลุ่มพันธมิตร เพราะ 7 หมื่นล้านศักดิ์ศรี ยอมกันเพียงแค่นี้หรือ


ใครจะไปคิดล่ะว่า ในขณะที่สถานการณ์การเมืองถูกเร้าให้อุณหภูมิพุ่งขึ้นไปใกล้ถึงจุดเดือด จู่ๆ ชนวนก็ถูกถอดออกเสียก่อนที่ปรอทจะแตก


กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่กำลังโหมไฟใส่ฟืน เพื่อให้ค่ำคืนวันที่ 30 พฤษภาคม เป็นวันที่นำไปสู่การแตกหัก หลังจากที่เร้าอารมณ์กันมาแล้วร่วมสัปดาห์ มีประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นประเด็นหลัก และมีกรณี จักรภพ เพ็ญแข ที่ถูกตำรวจสรุปแล้วว่า ไปพูดจาเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน เป็นประเด็นเสริม


ท่ามกลางการจับตามองด้วยความเป็นห่วงเป็นใย และออกมาเตือนเป็นระยะของกองทัพ ที่เลือก พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.ทหารสูงสุด ที่แม้จะเป็นทหาร แต่ก็มีภาพลักษณ์ที่เรียกได้ว่า เป็นผู้ใหญ่ และไม่ได้เป็นสมาชิก คมช. เป็นผู้ออกมาให้แง่คิด สะกิดเพื่อให้เกิดสติ แต่ทั้งสองฝ่ายก็ดูจะไม่ลดละจากสิ่งที่มุ่งมั่น
 
ก่อนถึงวัน-เวลาที่กำหนดนัดชุมนุมใหญ่เพียงไม่กี่ชั่วโมง
ชนวนที่จะนำไปสู่เหตุการณ์กลับถูกถอดออก ชนิดที่แทบจะเรียกได้ว่า ไร้ซึ่งข้อแม้


 ส.ส.และ ส.ว.ทยอยไปถอนชื่อออกจากการสนับสนุนการยื่นญัตติเพื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อทำให้ญัตตินั้นตกไป โดยที่เวลาไล่เลี่ยกัน จักรภพ เพ็ญแข ก็ตัดสินใจเปิดแถลงข่าวด้วยสีหน้าซีดเซียวว่า ขอถอดตัวเองออกจากการเป็นรัฐมนตรี เพื่อไม่ให้ประเด็นที่เกิดขึ้นกระทบรัฐนาวา


 แน่นอนว่า การถอดชนวนระเบิดเวลาทั้งสองลูกนั้น หลายปัจจัยและหลายเหตุผลทำให้เชื่อว่า ผู้ที่สั่งให้ถอดชนวนคือ ทักษิณ ชินวัตร !


บางกระแสบอกว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคำสั่งยึดทรัพย์ทักษิณ 7 หมื่นล้านบาท ของ คตส. และความแข็งกร้าวของกองทัพ รวมทั้งการขับเคลื่อนของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เกมที่เคยแสดงท่าทีว่าพร้อมเผชิญหน้า จึงพลิกผัน ถอดชนวนออกทั้งหมด
จะเป็นการถอยเพื่ออำพรางรุก หรือถอยเพื่อรอสถานการณ์วันเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์
แต่ที่แน่ๆ บทพิสูจน์บทแรกนั้น ปรากฏให้เห็นในระหว่างร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพ นางบุญเรือน เผ่าจินดา มารดาของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ที่ศาลา 5 วัดโสมนัสวิหาร เมื่อค่ำวันที่ 26 พฤษภาคม


ไม่มีใครคาดคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะมาเคารพศพ และได้พบกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ คนที่ จักรภพ ระบุชื่อตรงๆ ในถ้อยแถลงที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ จนกลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดวิกฤติรุนแรงของชีวิต เพราะเป็นเหตุให้ไปติดบ่วงคดีหมิ่นสถาบัน


แต่เดิมนั้น พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีกำหนดเดินทางมาเคารพศพมารดาของเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10


มีเพียง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวคนสุดท้อง ที่มาถึงบริเวณงานในเวลาประมาณ 18.20 น. พร้อมกับ พ.อ.สุเมธ พรหมตรุษ หัวหน้าชุดติดตามดูแลความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี  พ.อ.สุเมธเดินมาแจ้ง พ.ท.ปริญญ รื่นภาควุฒิ ผู้บังคับกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทของ พล.อ.อนุพงษ์ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางมาร่วมงานในเวลา 19.30 น.


พล.อ.อนุพงษ์เองก็เพิ่งจะรู้ในตอนนั้นว่า เพื่อนร่วมรุ่นที่ถูกตนยึดอำนาจจะมาเคารพศพมารดา


 ส่วน พล.อ.เปรม นั้นเดินทางมาถึงในเวลาประมาณ 18.45 น.
 ตามมาด้วยคณะของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เชิญพวงมาลาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์


ในช่วงนี้เองที่ พล.อ.อนุพงษ์ มีโอกาสเข้าไปแจ้ง พล.อ.เปรมและ พล.อ.สุรยุทธ์ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมาร่วมงานด้วย
 
และแล้วในเวลา 19.25 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เดินทางมาร่วมงาน และขึ้นไปบนศาลา 5 ทันที มุ่งหน้าไปยกมือไหว้ พล.อ.เปรม โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้หันหน้ามามอง มีเพียง พล.อ.อนุพงษ์ ที่นั่งหลัง พล.อ.เปรม ยิ้มให้พร้อมกับยกมือไหว้ และลุกจากที่นั่งมาแสดงความขอบคุณ


กระทั่งเวลา 20.00 น. หลังเสร็จพิธีสวดพระอภิธรรมศพ พล.อ.เปรม พล.อ.สุรยุทธ์ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.อนุพงษ์ ได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน โดย พ.ต.ท.ทักษิณ เดินเข้ามาหา พล.อ.สุรยุทธ์ พร้อมกับยกมือไหว้เพื่อแสดงความเคารพ จากนั้นหันไปยกมือไหว้ พล.อ.เปรม ซึ่ง พล.เอ.เปรมก็ได้ยกมือรับไหว้เช่นกัน


ในจังหวะที่ทักทายเกือบส่วนตัวในครั้งนี้ มีเสียงทักทายจาก พล.อ.เปรมว่า "เป็นไงสบายดีหรือ"
 "สบายดีครับ" คือประโยคสั้นๆ จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยังอยู่ในท่าพนมมือ พร้อมกับถาม พล.อ.เปรมกลับไปว่า "ท่านสบายดีไหมครับ"
 "สบายดี" พล.อ.เปรมกล่าวพร้อมพยักหน้าตอบรับ


การพบปะทักทายกันระหว่าง พล.อ.เปรม กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปลายสมัยรัฐบาลทักษิณ 2 ก่อนที่กองทัพจะยึดอำนาจ แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาแล้ว ก็ยังไม่มีการพบปะกัน หลังจากก่อนหน้านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จะกล่าวถึง "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" จนเป็นที่ฮือฮา และใครต่อใครต่างก็ตีความว่า หมายถึง พล.อ.เปรม
หลังการยึดอำนาจ จักรภพ ผู้ซึ่งชื่นชมและเชิดชูการทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ระบุอย่างตรงไปตรงมาว่า พล.อ.เปรม และผู้พิพากษาอีก 2 คน คบคิดกันว่าจะนำพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาจัดการกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่เคยได้ยินมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของจักรภพ  กระทั่งมีการดำเนินคดีจักรภพ ที่ไปพูดที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อปี 2550 นั่นแหละ ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดชัดเจนว่า หากผิดจริง จักรภพก็ต้องถอยออกมา เป็นการพูดในจังหวะที่หลายสิ่งหลายอย่างกำลังขมวดปมเข้าหารัฐบาลและแน่นอนว่า ในที่สุดก็จะถึงตัว พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  นี่จึงทำให้เห็นว่า การพบปะกันครั้งนี้ ท่ามกลางสายตานายทหาร และสื่อมวลชน ที่จะถ่ายทอดไปยังผู้คนทั่วประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกประเมินในก่อนหน้านี้แล้วว่า มีแต่ได้กับได้
 การเข้าหาผู้ใหญ่ แสดงความเคารพนบนอบ จนถึงขั้นยอมรับผิดพร้อมกับเปล่งคำว่า "ผมขอโทษทุกเรื่อง" เป็นสิ่งที่น่าจะเป็นบวก และถอดชนวนระเบิดทุกลูกที่มีอยู่   อารมณ์และท่าทีไม่ต่างกับเมื่อครั้งที่ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เข้าพบ พล.อ.เปรม ในขณะที่ผู้เป็นสามียังไม่อาจกลับถิ่นเกิด จนมองกันว่า นี่คือ "หมากการเมืองชั้นครู"


เพราะภาพที่ออกมานั้นสื่อชัดเจนว่า ความเป็นไปของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในกำมือของประมุขบ้านสี่เสาเทเวศร์ หาใช่ คมช.ที่กรีธาทัพเข้ายึดอำนาจไม่
 
พอๆ กับเมื่อแรกที่กลับแผ่นดินเกิด หลังระหกระเหินอยู่ต่างแดนนานกว่าขวบปีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ทรุดตัวก้มกราบแผ่นดิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ   อย่างไรก็ตาม คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ รายหนึ่งก็พยายามไขปริศนา การพบปะกับ พล.อ.เปรม ครั้งนี้ว่า ไม่ใช่เซอร์ไพรส์


ที่ไปก็ไม่ใช่รู้กันเพียงแค่ พ.ต.ท.ทักษิณ กับน้องสาว หากแต่ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.เปรม ต่างก็รู้กันมาแล้วล่วงหน้า เพราะการพบกันครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก นับแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับแผ่นดินเกิด ทั้งคู่ได้พบกันมาแล้ว 


ข้อมูลคนใกล้ชิดทักษิณ ยืนยันด้วยว่า การพบกันครั้งนั้น บทสนทนาของทั้งสองเป็นเรื่องความห่วงใยในบ้านเมือง โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ จึงพยายามจะทำให้บ้านเมืองเกิดความสมานฉันท์


ท่าทีอันอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ หลายคนอาจเห็นอกเห็นใจพ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่ใช่ท่าทีของพันธมิตร และไม่ใช่ความรู้สึกของ ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในแกนนำ ที่เชื่อมั่นฟันธงได้ทันทีว่า นี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างภาพ จัดฉาก 
 
ชื่อเสียง เกียรติยศ และเงิน 7 หมื่นล้าน ที่สูญเสีย-ถูกยึด ไม่น่าจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ศิโรราบง่ายดายขนาดนี้ ที่สำคัญ ทั้งจักรภพ ทั้ง ส.ส.พลังประชาชน ก็ประกาศชัดเจนแล้วว่า นี่แค่การถอย หาใช่ยอมจำนน

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar