torsdag 9 april 2015

อัพเดท ตาสว่างที่ 2.: เพราะทหารเป็นของพระราชาประชาธิปไตยไทยจึงไม่มี

10 ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว: ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน

นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี

ตาสว่างที่ 2. เพราะทหารเป็นของพระราชาประชาธิปไตยไทยจึงไม่มี





        นับตั้งแต่กษัตริย์ ภูมิพลแสดงตัวอย่างเปิดเผยในการทำรัฐประหารเมื่อเมื่อปี 2500 โดยจับมือกับ จอมพล สฤษธิ์ ธนะรัฐ โค่นล้มรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงคราม ซึ่งเป็นรัฐบาลสุดท้ายเชื้อสายของคณะราษฎร ที่ ภูมิพลเกลียดชังเพราะนอกจาก จอมพลป.จะเป็นกำลังสำคัญของคณะราษฎรโค่นล้มอำนาจราชวงศ์จักรี ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 และจับเชื้อพระวงศ์เข้าคุกในการปราบกบฏพระองค์เจ้าบวรเดช รวมตลอดถึงประเด็นสำคัญที่ ภูมิพลหวาดกลัวที่สุดคือรัฐบาลจอมพลป.พิบูลย์สงคราม ในขณะนั้นกำลังเตรียมการจะรื้อฟื้นคดีที่ ภูมิพลเป็นผู้สังหาร รัชกาลที่ 8 ขึ้นพิจารณาเพราะรู้ว่ากษัตริย์ภูมิพลกำลังจะเล่นไม่ซื่อกับคณะรัฐบาลของเขา (ความเคียดแค้นนี้แสดงออกชัดเจนคือทุกคนของคณะราษฎรที่ลี้ภัยไปต่างประเทศจะกลับแผ่นดินไทยได้เพียงกระดูกเท่านั้น) 


ด้วยเหตุนี้ กษัตริย์ภูมิพลจึงแสดงตัวชัดเจนในการการประกาศให้ประชาชนสนับสนุนการยึดอำนาจของ จอมพลสฤษธิ์ อย่างเปิดเผยเป็นเอกสารโดยไม่มีผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายและไม่ชอบด้วยประเพณีการปกครองที่ต้องการปกป้องไม่ให้กษัตริย์ต้องมีความผิดตามหลักปรัชญาที่ว่า  " The King can do nowrong " และนับแต่นั้นหลักการของคณะราษฎร ที่ให้ทหารเป็นของประชาชนก็เปลี่ยนเป็น " ทหารเป็นของพระราชา " และนับแต่นั้นกษัตริย์ภูมิพลก็ใช้ทหารกระทำการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลต่างๆไม่หยุดหย่อน ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการรัฐประหารที่ตนสนับสนุนเองก็ตาม หากตนรู้สึกระแวงว่ารัฐบาลนั้นจะมีความมั่นคงซึ่งจะทำให้การเผด็จอำนาจของระบอบกษัตริย์เสื่อมคลายได้ เช่นรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุนหะวัณ, รัฐบาลพตท.ทักษิณ ชิณวัตร โดยเฉพาะรัฐบาลของ พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่กษัตริย์ภูมิพลพึ่งลงนามอนุญาติให้ทำรัฐประหารล้มรัฐบาลพลเอกชาติชายได้ เพียงแต่เกิดความระแวงว่าพลเอกสุจินดาและนายทหารรุ่น 5 มีความสามัคคีเหนียวแน่นกำลังจะวางฐานอำนาจเข้มแข็งและเป็นเสี้ยนหนามของตนในอนาคตเป็นต้น โดยไม่สนใจวิธีการว่าการล้มนายกรัฐมนตรีที่ตัวเองลงนามอนุญาติให้ไปนั้นจะเป็นไปตามครรลองแห่งกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งใช้วิธีการที่เลวร้ายด้วยการยุให้กลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกันตามภาวะการธรรมชาติของสังคมก่อม็อบปะทะกันเพื่อให้เกิดจลาจลแล้วก็ตามมาด้วยรัฐประหารซ้อน หรือเข้ามาเผด็จอำนาจด้วยตนเองเช่นยุให้ทหารรุ่น 7 ที่นำโดย พลตรีจำลอง ศรีเมือง และพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ที่ขัดแย้งกับทหารรุ่น 5 ที่นำโดยพลเอกสุจินดา จนกลายเป็นจลาจลในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535 และเมื่อกลุ่มรุ่น 7 เพลี่ยงพล้ำกษัตริย์ภูมิพลก็แสดงตนเป็นพ่อพระลงมาห้ามทัพแล้วก็บีบให้พลเอกสุจินดาลาออกจากนายกฯ แล้วก็แต่งตั้งคนของตนคือ นายอานันท์ ปันยารชุณขึ้นเป็นนายกฯตามอำเภอใจ ทั้งๆที่ในขณะนั้นมีสภาผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนและพลตรีจำลองลูกสมุนของภูมิพลที่ก่อจลาจลโดยชูประเด็นการต่อสู้ว่า"ประชาชนต้องการนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง " จนผู้คนต้องล้มตายจากการต่อสู้เรียกร้องและ นี้คือตัวอย่างหนึ่งของบันทึกประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยอัปยศว่า 
"นายกฯพ่อสายบัวแต่งตัวรอเก้อ"  เพราะรถที่อัญเชิญพระบรมราชโองการโปรดเกล้านายกฯเลยบ้านว่าที่นายกฯ คือพลอากาศเอก สมบุญ ระหงษ์หัวหน้าพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาและมาจากการเลือกตั้งโดยรถเลยไปจอดที่บ้านนายอานันท์ทำให้นายอานันท์ได้เป็นนายกฯรอบที่สองและเป็นต้นแบบของผู้ที่ไม่ชอบประชาธิปไตยแต่ก็เป็นนายกฯได้สบายๆ หากทำตัวเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ภูมิพล, จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ใครอยากจะได้เป็นนายกฯจากการเลือกตั้งโดยให้ความสำคัญกับเสียงประชาชนถือเป็นความโง่

ลายเซนต์ของกษัตริย์ภูมิพลที่ลงนามในฐานะประมุขแห่งรัฐโดยหลักการมีความสำคัญอย่างยิ่งแต่ในความเป็นจริงมีความสำคัญน้อยกว่าอารมณ์ที่ผันแปรขึ้นๆลงๆของกษัตริย์ภูมิพลซึ่งกระทำตามอำเภอใจ 


ตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมาเพราะกษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้ถือปืนเองในนามว่า " ทหารเป็นของพระราชา " และในทางกฎหมายภูมิพลก็เป็นผู้เลือกและลงนามแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพสูงสุดเอง เพียงแต่มีความฉลาดคือใช้เครือข่ายสั่งการผ่านองคมนตรีและบุคคลที่ตนแสดงให้สังคมเห็นว่าเป็นคนที่ไว้วางพระราชหฤทัย ดังเช่นใช้ให้ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแสดงในการผ่านอำนาจเป็นต้น และหากผู้ใดฝ่าฝืนพระราชประสงค์ผู้นั้นก็จะได้รับอันตรายแม้จะเป็นนายกฯที่ประชาชนชื่นชมเช่นพตท.ทักษิณ ชินวัตร หรือผู้ที่กุมอาวุธมั่นคงในตำแหน่งทางการทหารเช่น พลเอกสุจินดา ก็ไม่อาจจะต้านทานได้เป็นต้น 

การบริหารอำนาจภายใต้หลักการณ์ทหารเป็นของพระราชาทั้งที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนโดยมีการแสดงอำนาจที่ไร้หลักเกณฑ์แห่งกฎหมายให้เห็นอยู่เสมอด้วย เช่นสั่งให้ทหารทำการล้มรัฐบาลและทำให้หายตัวลึกลับของบางคนรวมตลอดถึงการสังหารบุคคลโดยทหารทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยกลางเมืองเช่นการสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล และการฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายด้วยปืนสไนเปอร์ ในเหตุการณ์ " สังหารโหดราชประสงค์ " ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นฝีมือทหาร แต่ผู้เกี่ยวข้องและผู้กระทำการชั่วช้าก็ไม่ถูกลงโทษตามกฎหมายแต่ยังกลับได้ดีอีกด้วย,


ด้วยเหตุเช่นนี้ทำให้ราชอาณาจักรไทยกลายเป็นราชอาณาจักรแห่งความกลัวที่สื่อมวลชน, ปัญญาชน และประชาชนทั่วไปต่างเอาตัวรอดโดยเชื่อในปรัชญาร่วมกันว่า " รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ".....

ไทยจึงกลายเป็นรัฐล้มเหลวจากการกระทำของกษัตริย์ไทยที่โกหกประชาชนมายาวนานว่า  " เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม "

ทหารของพระราชาจึงกลายเป็นฐานอำนาจของระบอบราชาธิปไตยใหม่และกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยที่ต่อท้ายด้วยคำว่า " อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข "


ดังนั้นการสร้างประชาธิปไตยของไทยจึงจำเป็นต้องถอนอำนาจทหารออกจากพระราชาให้ทหารเป็นของประชาชนซึ่งตามวิถีทางปกติในทางปฏิบัติไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar