2020-01-27 12:07
ฉะนั้น ฝุ่นไม่น่ากลัวเท่ากับพวกชังชาติ-ขายชาติ อย่างที่มีผู้โพสต์ตอบดารา
สันนิษฐานว่าผู้โพสต์ประชด ไม่น่าใช่ “สลิ่ม” แต่ก็สะท้อนทัศนะจริงๆ ของกองเชียร์รัฐบาล ซึ่งหายใจเอาฝุ่นเข้าไปเต็มปาก แต่ไม่กล้าส่งเสียงไอ กลัวจะไปกระเทือนเสถียรภาพลุงตู่ ที่กำลังต่อสู้กับพวกชังชาติ ซึ่งน่าเจ็บใจไม่โดนยุบพรรค ฝ่ายรัฐบาลกลับวิบัติ แฉกันเองว่าเสียบบัตรแทน จนยังไม่สามารถทูลเกล้าฯ ร่าง พ.ร.บ.งบประทางออกของคนเชียร์ลุง คือช่วยกันเผยแพร่คำแนะนำ คำที่ลุงสอน ว่าประชาชนต้องช่วยตัวเอง ช่วยกันลดฝุ่น ลดการเผาขยะ ลดใช้รถดีเซล ใช้บริการขนส่งสาธารณะ ฯลฯ พร้อมกับบ่นนิสัยคนไทย เดี๋ยวรัฐบาลห้ามนู่นห้ามนี่ก็จะออกมาด่า จะเก็บภาษีที่ดินภาษีน้ำภาษีน้ำตาลภาษีขี้หมา ฯลฯ ก็พากันโวย จนทำอะไรไม่ได้สักอย่าง น่าเห็นใจลุงจริงๆ ที่ต้องมารับภาระ
เออ แล้วทำไมไม่ไปเสียล่ะ ตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเองครองอำนาจต่อทำไม
ถ้าประชาชนต้องช่วยตัวเอง ทำตามคำสอนผู้นำแล้วชาติเจริญ จะมีรัฐบาลไปทำไม น้ำท่วมให้เลี้ยงปลา น้ำแล้งให้ ขุดบ่อเอาหน้าดินขาย น้ำกร่อยให้เอาไปต้ม เกิดอุบัติภัยก็ ออกทีวีรับบริจาค โดยรัฐบาลไม่มีมาตรการสักอย่าง หรือออกมาตรการแก้ไขแล้วไลฟ์บอย
ว่ากันจริงๆ ในเรื่องฝุ่น ประชาชนรู้ว่าต่อให้รัฐบาลเทวดาก็แก้ปัญหาทันทีไม่ได้หรอก แต่ข้อแรก ขอให้อนาทรร้อนใจร่วมทุกข์กับประชาชน ไม่ใช่ไม่แยแส หรือเอาแต่ปลอบใจ ไม่ต้องตกใจนะคะ ขอให้เชื่อข้อมูลของทางราชการว่า ค่าฝุ่นลดลงแล้ว หรือไม่เห็นร้ายแรง ผมแข็งแรงยังทนไหว
ข้อสอง มาตรการที่ออกมาขอให้เห็นอนาคต และเข้าถึง แก่นของปัญหาอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่สั่งผู้ว่าฯ ไล่จับชาวบ้าน เผาไร่ 2-3 รายบูชายัญ
รู้ไหมครับ ทำไมฝุ่นควันจากการเผาพื้นที่เกษตรเพิ่มขึ้น ก็เพราะ “รัฐบาลที่แล้ว” ส่งเสริมเกษตรพันธสัญญาภายใต้กลุ่มทุนประชารัฐ ขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดปลูกอ้อยย้ายโรงงานน้ำตาล ทดแทนพื้นที่ปลูกข้าว “ล้างพิษจำนำข้าว” แล้วมาตอนนี้จะออกมาตรการรับซื้ออ้อยสด ทั้งที่เกษตรกรไม่มีรถตัด
ฝุ่นควันในเมืองใหญ่ก็เกิดจากการใช้รถใช้ถนนและโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งประเทศต่างๆ เริ่มมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้ากันหมดแล้ว ของเรายังไม่ถึงไหนเลย
มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาบ่นว่าถ้าห้ามรถวิ่งวันคู่วันคี่คน ก็จะด่า ถ้ารัฐบาลต้องการให้ประชาชนเสียสละ ใช้ขนส่งสาธารณะ ก็ต้องอำนวยความสะดวก เช่น ลดราคารถไฟฟ้า ลดค่าที่จอดรถ เพิ่มบริการเชื่อมต่อ ฯลฯ
ของอย่างนี้เป็นเรื่องที่คนมีสมองปกติ 1 แสนล้านเซลล์ น่าจะคิดได้ หลายอย่างเป็นเรื่องที่รัฐบาลปกติ ซึ่งใส่ใจประชาชน ต้องคิดได้ ฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่เพิ่งมี ปีที่แล้วก็เพิ่งโวยกัน ปีนี้น่าจะรู้ว่าภัยแล้งยาวนาน แต่ไม่ยักเตรียมการ
นี่เป็นเรื่องย้อนแย้งน่าขัน ถ้าเราดูแนวโน้มการเมืองโลก ทำไม “ฝ่ายขวา” ผู้นำอำนาจนิยม กวาดชัยชนะในการเลือกตั้ง ก็เพราะความไม่มั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม อาชญากรรม ภัยธรรมชาติ ทำให้ประชาชนมีแนวโน้มต้องการผู้นำ เข้มแข็ง ตัดสินใจเด็ดขาด เพื่อประโยชน์เฉพาะหน้า แม้เพียงบางเรื่อง ทั้งที่ผู้นำเหล่านี้บ้างก็ปากเสีย ใช้อำนาจเกินเลย ไม่เคารพหลักการประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ยกตัวอย่างเช่นทรัมป์ ก็คงจะชนะเลือกตั้งอีกครั้ง เพราะทำให้เศรษฐกิจอเมริกาฟื้น ดูแตร์เต ก็ได้ใจคนฟิลิปปินส์เพราะปราบยาเสพติด
ถ้าเปรียบเทียบกัน กองเชียร์ประยุทธ์ก็ควรจะคาดหวังประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ แก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ผล ไม่ใช่แค่อวยไส้แตก ถ้าไม่ใช่ลุงแล้วใครจะกล้าสั่งปิด รีสอร์ต 64 แห่ง อ้าว งั้นใครเป็นรัฐบาลที่แล้วอยู่ตั้ง 5 ปี
ระบอบประยุทธ์ไม่สามารถตอบสนองความต้องการอะไรเลย นอกจากความเกลียดกลัว จากเกลียดแม้วเกลียดปูก็มาเกลียดกลัวพวก “ชังชาติ” แล้วพวกกองเชียร์ ก็เหมือนถูกสะกดจิตหมู่ ต้องทำทุกอย่างเพื่อค้ำประยุทธ์ ไม่งั้นชาติจะพัง ฝุ่นเต็มปากก็ยังเสียงแข็ง อย่าดราม่า อย่าโทษรัฐบาล เศรษฐกิจจะพังก็ยังอยู่อย่างพอเพียง ได้ ความเป็นชาติความเป็นไทยสำคัญกว่า รัฐบาลทำผิด ก็ให้อภัยได้ ยังไม่ร้ายเท่าอิลลูมินาติ
ก็คงดักดานอยู่อย่างนี้ จนพังจริง
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_3455243
2020-01-27 12:08
นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ โชว์ฝีมือนักการเมืองสืบสวนสอบสวน แฉ 2 ส.ส.ภูมิใจไทย ไม่อยู่ในห้องประชุมสภา วันพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ แต่กลับมีชื่อแสดงตนโหวตผ่าน โดยมีหลักฐานมัดแน่น ทั้งบันทึกเดินทางผ่าน ตม. ภาพเฟซบุ๊กงานวันเด็กพัทลุง และภาพทัวร์จีน
ชัดเจนว่ามี ส.ส.เสียบบัตรแทน แม้ยังไม่รู้เป็นใคร แต่ก็เกรงกันว่าจะทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเป็นโมฆะ เพราะเมื่อปี 57 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ให้ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านตกไป (ไม่ทำถนนลูกรังให้หมดก่อน) นอกจากประเด็นเนื้อหา ที่ศาลเห็นว่ากู้ไม่ได้ ต้องใช้กฎหมายงบประมาณเท่านั้น มติ 6-2 ยังชี้ว่าการที่ นริศร ทองธิราช ส.ส.เพื่อไทย เสียบบัตรแทนคนอื่น มีผลทำให้การลงคะแนนของสภาไม่สุจริต เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ส.ส.ทั้งรัฐบาลฝ่ายค้านจึงต้องเข้าชื่อกัน ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ต้องชะลอการนำร่าง พ.ร.บ.ขึ้นทูลเกล้าฯ แม้ศาลคงวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด
วิษณุ เครืองาม อ้างว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณล่าช้า ไม่ทำให้วิบัติ และการเสียบบัตรแทนกันในอดีตไม่สามารถยกมาเป็นบรรทัดฐานได้
ก็ใช่นะ คงช้าไปไม่กี่วัน ต่อให้ศาลวินิจฉัยเป็นโมฆะ รัฐบาลก็ออก
พ.ร.ก.ได้ เรื่องงบน่ะได้ใช้แน่ ไม่ต้องห่วง แต่เรื่องกฎหมายเรื่องการเมือง
จะบอกว่า “ไม่ทำให้วิบัติ” ก็คงไม่ใช่
อย่างน้อย คำพูดวิษณุ ที่ ส.ส.อนาคตใหม่เย้ยว่า “หลักวิษณุ” ก็วิบัติอยู่ในตัว พูดได้อย่างไรว่าเสียบบัตรแทนกันไม่สามารถยกมาเป็นบรรทัดฐานกับคดีปัจจุบัน ในเมื่อคำวินิจฉัยศาลคาอยู่โต้งๆ
ในทางกฎหมาย ก็มีหลายคนไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยในครั้งนั้น เพราะการที่ ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน (ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเสียบแทนใครบ้าง) ต่อให้สงสัยว่า 4-5 คน ก็ไม่น่าจะทำให้การลงคะแนนของทั้งสภาเสียไป
แต่ทำไงได้ เมื่อเป็นคำวินิจฉัยไปแล้ว ก็ต้องถือเป็นบรรทัดฐาน วิษณุไม่ควรพูดให้ไขว้เขวว่า เสียบบัตรแทนกันยุคปูเป็นบรรทัดฐานหนึ่ง เสียบบัตรยุคลุงใช้อีกบรรทัดฐานหนึ่ง แล้วยังว่าไม่ได้ชี้นำ
อันที่จริง คดีนี้อาจพลิกได้ เพราะตุลาการ 6 คนที่เป็นเสียงข้างมากครั้งนั้น ยังอยู่ในตำแหน่งเพียง 4 คน เสียงข้างน้อย 2 คนยังอยู่ 1 คน ถ้าอีก 4 คนหันมาเห็นด้วยกับเสียงข้างน้อย ก็มีโอกาสที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณจะไม่โมฆะ เพียงแต่ชาวบ้านก็จะงงๆ ว่า 6 ปีผ่านไป ทำไมศาลเดียวกันวินิจฉัยกฎหมายไม่เหมือนกัน
ในทางการเมือง เรื่องนี้ก็วิบัติแน่ๆ เพราะทำให้พรรครัฐบาลเสียความเชื่อถือ กระทั่งทีวีขุดภาพ “โป๊ะแตก” สงสัยว่า ส.ส.พลังประชารัฐเสียบบัตรแทนกันหรือเปล่า แม้พยายามชี้แจงว่า เป็นการฝากเสียบแทนเพราะเครื่องไม่พอ เจ้าของบัตรก็อยู่ตรงนั้นแต่ก้มไม่ถึง ฯลฯ นักข่าวก็ยังข้องใจ ซักไซ้ไม่หยุด จนอ้ำอึ้งคาโพเดียม
มิพักต้องพูดถึง 2 ส.ส.ภูมิใจไทย ซึ่งรายหนึ่งอ้างว่าเสียบคาไว้ รีบไปรับศพญาติ ไม่รู้ไม่เห็นว่าใครเสียบบัตรแทน ไม่ได้ฝาก ไม่ได้มอบอำนาจ (ภาษาวิษณุ) แต่ความรับผิดชอบอยู่ที่ไหน เพราะแทนที่จะรีบไปรีบมา กลับโผล่หน้าเฟซในงานวันเด็ก ทั้งที่ไม่ใช่ ส.ส.เด็กๆ เป็นถึงอดีตปลัดจังหวัด
อีกรายทิ้งหน้าที่โหวตไปจีน ทั้งที่เป็นแกนนำพรรค แล้วทั้งพรรคและรัฐบาลก็ใบ้กิน วงในน่าจะยัวะจนตัวสั่นแต่พูดไม่ออก
นริศร ทองธิราช ทั้งถูก สนช.ถอดถอน ถูกอัยการฟ้องอาญา โทษสูงสุดจำคุก 10 ปี แต่ครั้งนี้จะจับไม่ได้ว่าใครเสียบบัตรแทน 2 ส.ส.ก็ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ผิดอะไร เผลอทิ้งบัตรไว้โดยสุจริต?
นี่เป็นปัญหาของรัฐบาลเองล้วนๆ ไม่สามารถโทษใคร โทษนิพิฏฐ์ก็ไม่ได้ ว่าเล่นเกมการเมืองทำลายคู่แข่งโดยไม่คำนึงถึงเสถียรภาพรัฐบาล ปัดโธ่ ก็นิพิฏฐ์นอนอยู่บ้านดีๆ ในฐานะประชาชนชาวพัทลุงเขต 2 เห็นเฟซบุ๊กเทศบาลโพสต์ภาพท่าน ส.ส.มางานวันเด็ก ทั้งที่รายงานข่าวบอกว่า ส.ส.รัฐบาลโหวตครบครันในสภา จะไม่ให้ประชาชนชื่อนิพิฏฐ์กังขาได้อย่างไร
อย่าลืมนะ นิพิฏฐ์ร้อง กกต.ไว้ ว่ามีการทุจริตเลือกตั้ง มีทั้งภาพทั้งคลิป อ้างว่ามัดกรรมการบริหารพรรค เอาผิดได้ถึงยุบพรรค นั่นก็เป็นสิทธิของนิพิฏฐ์เช่นกัน ที่จะเร่งรัดทวงถาม กกต.
เหนือสิ่งอื่นใด ที่เป็นเรื่องของการ “ทำตัวเอง” ก็ต้องนึกย้อนไปเมื่อครั้งศาลตีตกร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน อย่างที่บอก มีนักกฎหมายหลายรายค้านว่า ส.ส.คนเดียวเสียบบัตรแทนคนอื่น ไม่น่าจะทำให้การลงคะแนนทั้งสภาไม่สุจริต
แต่ม็อบนกหวีดปิดเมืองก็ไม่ฟัง ไชโยโห่ร้องลั่น จนรัฐบาลตู่สะดุดเอง เป็นยังไงล่ะ
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_3448675
อย่างน้อย คำพูดวิษณุ ที่ ส.ส.อนาคตใหม่เย้ยว่า “หลักวิษณุ” ก็วิบัติอยู่ในตัว พูดได้อย่างไรว่าเสียบบัตรแทนกันไม่สามารถยกมาเป็นบรรทัดฐานกับคดีปัจจุบัน ในเมื่อคำวินิจฉัยศาลคาอยู่โต้งๆ
ในทางกฎหมาย ก็มีหลายคนไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยในครั้งนั้น เพราะการที่ ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน (ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเสียบแทนใครบ้าง) ต่อให้สงสัยว่า 4-5 คน ก็ไม่น่าจะทำให้การลงคะแนนของทั้งสภาเสียไป
แต่ทำไงได้ เมื่อเป็นคำวินิจฉัยไปแล้ว ก็ต้องถือเป็นบรรทัดฐาน วิษณุไม่ควรพูดให้ไขว้เขวว่า เสียบบัตรแทนกันยุคปูเป็นบรรทัดฐานหนึ่ง เสียบบัตรยุคลุงใช้อีกบรรทัดฐานหนึ่ง แล้วยังว่าไม่ได้ชี้นำ
อันที่จริง คดีนี้อาจพลิกได้ เพราะตุลาการ 6 คนที่เป็นเสียงข้างมากครั้งนั้น ยังอยู่ในตำแหน่งเพียง 4 คน เสียงข้างน้อย 2 คนยังอยู่ 1 คน ถ้าอีก 4 คนหันมาเห็นด้วยกับเสียงข้างน้อย ก็มีโอกาสที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณจะไม่โมฆะ เพียงแต่ชาวบ้านก็จะงงๆ ว่า 6 ปีผ่านไป ทำไมศาลเดียวกันวินิจฉัยกฎหมายไม่เหมือนกัน
ในทางการเมือง เรื่องนี้ก็วิบัติแน่ๆ เพราะทำให้พรรครัฐบาลเสียความเชื่อถือ กระทั่งทีวีขุดภาพ “โป๊ะแตก” สงสัยว่า ส.ส.พลังประชารัฐเสียบบัตรแทนกันหรือเปล่า แม้พยายามชี้แจงว่า เป็นการฝากเสียบแทนเพราะเครื่องไม่พอ เจ้าของบัตรก็อยู่ตรงนั้นแต่ก้มไม่ถึง ฯลฯ นักข่าวก็ยังข้องใจ ซักไซ้ไม่หยุด จนอ้ำอึ้งคาโพเดียม
มิพักต้องพูดถึง 2 ส.ส.ภูมิใจไทย ซึ่งรายหนึ่งอ้างว่าเสียบคาไว้ รีบไปรับศพญาติ ไม่รู้ไม่เห็นว่าใครเสียบบัตรแทน ไม่ได้ฝาก ไม่ได้มอบอำนาจ (ภาษาวิษณุ) แต่ความรับผิดชอบอยู่ที่ไหน เพราะแทนที่จะรีบไปรีบมา กลับโผล่หน้าเฟซในงานวันเด็ก ทั้งที่ไม่ใช่ ส.ส.เด็กๆ เป็นถึงอดีตปลัดจังหวัด
อีกรายทิ้งหน้าที่โหวตไปจีน ทั้งที่เป็นแกนนำพรรค แล้วทั้งพรรคและรัฐบาลก็ใบ้กิน วงในน่าจะยัวะจนตัวสั่นแต่พูดไม่ออก
นริศร ทองธิราช ทั้งถูก สนช.ถอดถอน ถูกอัยการฟ้องอาญา โทษสูงสุดจำคุก 10 ปี แต่ครั้งนี้จะจับไม่ได้ว่าใครเสียบบัตรแทน 2 ส.ส.ก็ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ผิดอะไร เผลอทิ้งบัตรไว้โดยสุจริต?
นี่เป็นปัญหาของรัฐบาลเองล้วนๆ ไม่สามารถโทษใคร โทษนิพิฏฐ์ก็ไม่ได้ ว่าเล่นเกมการเมืองทำลายคู่แข่งโดยไม่คำนึงถึงเสถียรภาพรัฐบาล ปัดโธ่ ก็นิพิฏฐ์นอนอยู่บ้านดีๆ ในฐานะประชาชนชาวพัทลุงเขต 2 เห็นเฟซบุ๊กเทศบาลโพสต์ภาพท่าน ส.ส.มางานวันเด็ก ทั้งที่รายงานข่าวบอกว่า ส.ส.รัฐบาลโหวตครบครันในสภา จะไม่ให้ประชาชนชื่อนิพิฏฐ์กังขาได้อย่างไร
อย่าลืมนะ นิพิฏฐ์ร้อง กกต.ไว้ ว่ามีการทุจริตเลือกตั้ง มีทั้งภาพทั้งคลิป อ้างว่ามัดกรรมการบริหารพรรค เอาผิดได้ถึงยุบพรรค นั่นก็เป็นสิทธิของนิพิฏฐ์เช่นกัน ที่จะเร่งรัดทวงถาม กกต.
เหนือสิ่งอื่นใด ที่เป็นเรื่องของการ “ทำตัวเอง” ก็ต้องนึกย้อนไปเมื่อครั้งศาลตีตกร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน อย่างที่บอก มีนักกฎหมายหลายรายค้านว่า ส.ส.คนเดียวเสียบบัตรแทนคนอื่น ไม่น่าจะทำให้การลงคะแนนทั้งสภาไม่สุจริต
แต่ม็อบนกหวีดปิดเมืองก็ไม่ฟัง ไชโยโห่ร้องลั่น จนรัฐบาลตู่สะดุดเอง เป็นยังไงล่ะ
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_3448675
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar