torsdag 16 januari 2020

ใบตองแห้ง: มีใครรักประยุทธ์จริง


2020-01-12 04:47
ทำไมเพจเชียร์ลุงต้องปิดหน้าปิดตา “วิ่งไล่ลุง” เสี่ยงกว่า โดนตำรวจทหารไปเยี่ยมบ้าน ยังกล้าเปิดเผยตัวยิ้มแย้มแจ่มใส การเชียร์ลุงมันน่าอายอะไร หรือไม่อยากให้สืบประวัติได้ ว่ามาจากหน่วยงานไหน
คนรักประยุทธ์มีเท่าไหร่แน่ เห็นอ้างว่าคนวิ่งไล่ไม่กี่หมื่น คน 60 ล้านเดือดร้อนวุ่นวาย บิดเบือนชัดๆ เพราะเลือกตั้ง 24 มี.ค. มีผู้ไปใช้สิทธิ 35.5 ล้าน มีคนเลือกพรรคชูประยุทธ์ 8.9 ล้าน เลือก 7 พรรคไล่ประยุทธ์ 16.5 ล้าน ที่เหลือเลือกพรรคอื่น

เอาแค่ในกรุง ที่คุยว่า พปชร.ได้ ส.ส.มากที่สุด คะแนนอนาคตใหม่กลับเป็นที่หนึ่ง พปชร.ที่สอง แม้ประมาณ 8 แสนไล่เลี่ยกัน แต่ที่สามคือเพื่อไทย 6 แสนคะแนน ฉะนั้นเดินไปในกรุง มีคนไม่เอาประยุทธ์ 2 ต่อ 1
 
แต่แน่ละ เมื่อมีอำนาจ คุมรัฐราชการ ให้คุณให้โทษเอกชนได้ คนกล้าแสดงออกก็น้อยลง เหมือนที่มีคำขู่คนรุ่นใหม่ โพสต์เรื่องการเมืองมากๆ ไปสมัครงานระวังเขาไม่รับ 
ออย่างพะเยา คะแนนทั้งจังหวัด เพื่อไทย+อนาคตใหม่มากกว่าพลังประชารัฐ แต่ห้ามจัดวิ่งไล่ลุง อ้างว่านักศึกษาเป็นคนนอกพื้นที่ แล้วคนในหายไปไหนหมด หรือกลัวอำนาจสีเทา
นี่จึงมีคำถาม คะแนน พปชร. 8.4 ล้าน รักประยุทธ์จริงหรือ หรือมาจากการดูด ส.ส. ใช้ระบบอุปถัมภ์ เครือข่ายอำนาจ แม้ส่วนหนึ่งอาจมาจากประชานิยม บัตรคนจน แต่ถามว่าคนรักเท่าทักษิณหรือเปล่า ก็รู้แก่ใจ

ก็เป็นความจริงที่คนชั้นกลางอนุรักษนิยม คนกรุงคนใต้ส่วนหนึ่ง จงใจสับสวิตช์ เทใจให้พลังประชารัฐ ฆ่าแมลงสาบตายเกลื่อน ทั้งยังเป็นกองหนุน เชียร์รัฐบาลสุดสลิ่มทิ่มประตู ยุกวาดล้างพวกชังชาติ
แต่คำถามลึกลงไปคือ คนชั้นกลางอนุรักษนิยมรักประยุทธ์จริงๆ หรือ หรือเพราะไม่มีตัวเลือก จำใจต้องเลือกและต้องค้ำ เพราะเกลียดทักษิณกลัวอนาคตใหม่
การเมืองในอุดมคติของคนชั้นกลางอนุรักษนิยมคืออะไร คือการเมืองของคนดี ที่ไม่มาจากการเลือกตั้ง ให้คนดีปกครองบ้านเมือง ภายใต้อำนาจนำที่เปี่ยมศีลธรรมบารมี ผู้นำในฝันของคนชั้นกลางจึงเป็นคนดี หรือผู้ดี แบบป๋าเปรม นายกฯ อานันท์ หรือ พล.อ.สุรยุทธ์ (แม้ท่านไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นนายกฯ)

คำถามคือ ประยุทธ์มีสมบัติใกล้เคียงคนดีหรือผู้ดี อย่างที่ว่าหรือไม่ ขออภัย แม้แต่ชวน หลีกภัย ก็ไม่ใกล้เคียง ทั้งที่ชวนล้มละลายทางการเมืองไปแล้ว

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงทีมงาน คณะรัฐมนตรี ยุคป๋า ยุคผู้ดีรัตนโกสินทร์ ที่เต็มไปด้วยเทคโนแครต แม้ผสมนักการเมือง ก็ไม่ใช่ยี้เต็มเมืองเช่นทุกวันนี้
ว่าตามความเป็นจริง ก็ต้องบอกว่าการเมืองคนดี ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ภายใต้อำนาจนำ มายาคติที่คนชั้นกลางเก่ายึดมั่นมาหลายสิบปี ความเป็นจริงมันล่มสลายไปแล้ว อย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่คนชั้นกลางเก่าไม่ยอมรับ ยังกอดแน่น แล้วก็กลัวโกรธเกลียด เมื่อศีลธรรมการเมืองในทัศนคติใหม่จะมาแทนที่

ประยุทธ์และพวกพ้อง จึงไม่ใช่ผู้นำในฝันของคนชั้นกลางอนุรักษนิยม เป็นความผิดหวังเสียด้วยซ้ำ แต่คนจำนวนหนึ่งยิ่งผิดหวังก็ยิ่งคลั่ง ยิ่งกลัวจะไปทำให้ลิเบอรัลเติบโต จึงยิ่งต้องค้ำเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม

ขณะที่เชิงโครงสร้าง ซึ่งมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อ ระบอบประยุทธ์ก็เป็นศูนย์รวมค้ำอำนาจและผลประโยชน์เครือข่ายอนุรักษนิยม ยกตัวอย่างเช่นกองทัพ ก็อาจจะมีนายทหารจำนวนไม่น้อย ส่ายหน้าผิดหวังกับรัฐบาลตู่ แต่ทำไงได้ พวกอนาคตใหม่ พวกคนรุ่นใหม่ในโซเชี่ยล มันจ้องตัดงบประมาณ ลดซื้ออาวุธ ลดนายพล ลดอภิสิทธิ์ เลิกเกณฑ์ทหาร
นี่ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวนะ แต่เป็นผลประโยชน์ระดับองค์กรสถาบัน แบบในกระบวนการยุติธรรมก็คงมีคนเบื่อตู่อยู่บ้าง แต่ปิยบุตรก็เพิ่งอภิปรายงบเบี้ยประชุมศาล หลักสูตรคอนเน็กชั่น มันเป็นแรงปะทะทางสังคมระหว่างสิ่งเก่าสิ่งใหม่ที่เลี่ยงไม่ได้
รัฐราชการเจ้าขุนมูลนาย รวมศูนย์อำนาจ ก็ฝากผีฝากไข้กับระบอบประยุทธ์ ระบบการศึกษา ที่ ผอ.ให้นักเรียนกราบไหว้ต้อนรับตำแหน่งใหม่ ให้นักเรียนร้องเพลงชาติดังๆ สร้างผลงานตรวจเสื้อผ้าหน้าผมง่ายกว่าสร้างคนคิดเป็น ก็ล้วนผูกอยู่กับระบอบอำนาจนิยม

มิพักต้องพูดถึงกลุ่มทุนใหญ่ไม่กี่ตระกูลที่รวยได้รวยเอา ไม่ได้บอกว่าพวกนี้พึงพอใจระบอบประยุทธ์ แต่ระบอบนี้ให้หลักประกันเฉพาะหน้า

ประยุทธ์จึงเป็นตัวแทนของการประทังผลประโยชน์อนุรักษนิยม แต่เป็นตัวปลอมของระบอบศีลธรรม ที่พังย่อยยับไปแล้วในยุคประยุทธ์เอง ประยุทธ์ไม่ได้มีใครรัก หรือยกย่องเชิดชูสักเท่าไหร่ นอกจากคำสอพลอของพวกได้ตำแหน่งแต่งตั้ง และนักการเมืองยี้

เมื่อไหร่ที่หมดประโยชน์ ประยุทธ์ก็จะเห็นสัจธรรม
ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_3363722
2020-01-13 14:10

เพจเชียร์ลุง อ้างว่ามีคนมาร่วมหมื่นสามพันคน ใกล้เคียงกับ “วิ่งไล่ลุง” ประกาศตัวเลข 13,340 คน
ครั้นจะเบรกว่า ดูภาพข่าวทุกสำนักแล้วน้อยกว่าครึ่งต่อครึ่ง เดี๋ยวก็หาว่าอคติ เอาอย่างนี้แล้วกัน “วิ่งไล่ลุง” ทราบจำนวนชัดเจน เพราะมีการลงทะเบียน เสียสตางค์คนละ 600 บาท ไม่ใช่แจกเสื้อฟรีหมวกฟรีเหมือน “เดินเชียร์ลุง”

ซึ่งพอมีคนถามว่า เอาเงินมาจากไหนคะ แอดมินเพจก็ตอบว่า “ไม่เสือกนะคะลูก” “ไม่ใช่เงินโคตรพ่อโคตรแม่ใครแล้วกัน” “ทำไมต้องเสือกอยากรู้ไปหมดมันทำให้เธอรวยขึ้นหรือบ้านไฟไหม้ปะ”
 
คนวิ่งไล่ลุง ยอมจ่ายเงินวิ่ง ทั้งฟันฝ่าอุปสรรค เช่นในต่างจังหวัดถูกห้าม ถูกคุกคามหลากรูปแบบ ที่อุบล ที่พะเยา ถูกห้ามใส่เสื้อ “วิ่งไล่ลุง” ที่นครพนมจะออกหมายเรียกตามหลัง ฯลฯ เงื่อนไขเหล่านี้ ทำให้เอาจำนวนมาเทียบกันไม่ได้ ต่อให้ฝ่ายเดินเชียร์มีมากกว่า
ไม่อยากเทียบอายุ เดี๋ยวจะว่าดูถูกคนแก่ แต่เทียบม็อบ กปปส.ก็แล้วกัน ที่บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เคยบอกว่าเป็นม็อบคนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมี คนดีเด่นดังคับคั่ง วันนี้ไม่รู้หายไปไหนหมด ทั้งพวกหมอ พยาบาล นักวิชาการ ศิลปิน NGO ผู้มีชื่อเสียงวงการต่าง ๆ เห็นแต่หมอเหรียญทอง ผู้กองปูเค็ม อุ๊ แวนโก๊ะ ขึ้นมาเป็นผู้นำ
กระทั่งมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่เคยจัดรถบัสมาเป่านกหวีด วันนี้สั่งห้ามนักศึกษาวิ่งไล่ลุง ก็ไม่ยักออกมาเดินเชียร์

ม็อบเชียร์ลุงซึ่งทำกิจกรรมเตะส้ม สตรอว์เบอร์รี แตงโม ก็เลยเหมือนลูกเสือชาวบ้านในอดีต มากกว่าม็อบพันธมิตรหรือกระทั่งม็อบนกหวีด

พูดอย่างนี้คงไม่หาว่าดูหมิ่นดูแคลน เพราะลูกเสือชาวบ้านเป็นต้นแบบ ของการกำจัดพวกชังชาติ
บางคนอาจบอกไม่เห็นแปลกตรงไหน ประยุทธ์เป็นนายกฯ อยู่แล้ว สบาย ๆ ทำอย่างไรม็อบอีกฝ่ายก็ไล่ไม่ได้ คนเชียร์ส่วนใหญ่เลยไม่ออกมา
ก็อาจมีส่วนจริง แต่อย่าลืมว่า ผลงานรัฐบาลไม่น่าประทับใจ ภาพลักษณ์ค่อนไปทางลบเสียมากกว่า คนที่เคยไล่แม้วปูไปขาย DNA Nudge โดยชูคนดีไล่นักการเมืองโกงนักการเมืองห่วย ถึงวันนี้ย่อมกระอักกระอ่วนที่จะออกมา
พูดอีกอย่างว่า ถ้าเราย้อนดูการเมืองในฝันของคนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมี ถึงวันนี้ รัฐบาลตู่ 2 ก็ต่ำเตี้ยติดดิน แค่ไม่ใช่ทักษิณเท่านั้นเอง

คนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมีอยากได้ “คนดีคนเก่ง” ที่ไม่ต้องมาจากเลือกตั้ง นายกฯ คนกลาง นายกฯ คนนอก รัฐมนตรีเทคโนแครต ฯลฯ แล้ววันนี้เป็นอย่างไร ที่เคยหวนหาเตมีย์ใบ้ ผู้ดีรัตนโกสินทร์ กลับได้ผู้นำอารมณ์ร้าย ปากมาก พูดไม่คิด ผสมพันธุ์นักการเมืองสีเทา

การเมืองศีลธรรม การเมืองคนดี ที่เคยเป็นความฝันของคนชั้นกลางในเมือง พังพินาศไปแล้ว เครือข่ายอนุรักษนิยมไม่สามารถอ้างความดี ไม่เหลือความดีให้อ้าง ในการยึดครองและสืบทอดอำนาจ จนต้องเอาชนะด้วยการเขียน “กติโกง” เอาเปรียบ ด้วยแต่งตั้งพวกพ้อง ลูกน้องสอพลอ ด้วยการกวาดต้อนนักการเมืองยี้ ด้วยการให้ร้ายป้ายสี และใช้ lawfare ทำลายความหวังของคนรุ่นใหม่ ด้วยองค์กรอิสระที่ตั้งกันเอง
“การเมืองในอุดมคติ” ของอนุรักษนิยม ที่ปลูกฝังกันมา 40 ปี วันนี้พังย่อยยับหมดแล้ว เหลือแต่การปลุกความเกลียดชัง ปลุกความกลัวว่าการเมืองในทัศนคติใหม่ จะมาทำลายความคิดความเชื่อ ค่านิยมที่ยึดติด แบบลูกเสือชาวบ้าน

ซึ่งยุคสมัยปัจจุบันเหลือคนคล้อยตามไม่มากนัก เพียงแต่อำนาจหนุนหลังใหญ่โต
ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ https://www.kaohoon.com/content/335313
2020-01-15 21:16
 
หลังจากเห็นพลัง “วิ่งไล่ลุง” ซึ่งมีคนรุ่นใหม่วัยทำงานเข้าร่วมกว่า 70% รัฐบาลก็แห่ออกมาห้าม อ้างว่าจะทำให้เกิดม็อบชนม็อบ บ้านเมืองวุ่นวาย ทำลายความสงบ ส่งผลกระทบเศรษฐกิจ
ประยุทธ์ ประวิตร จะห้ามไม่ให้จัดอีก ถามว่าประเทศอยู่ในยุคเผด็จการหรือไง เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ยอมรับ “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ” ต่อให้การชุมนุมนั้นเป็นการแสดงความไม่พอใจรัฐบาล ตำรวจก็ห้ามไม่ได้ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ไม่ได้อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ แค่ให้ตำรวจจัดพื้นที่ชุมนุมโดยไม่กีดขวางจราจร

แต่ตำรวจกลับใช้อำนาจราวกับอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ เช่นให้วิ่งได้แต่ห้ามใส่เสื้อวิ่งไล่ลุง น่าจะโดนฟ้องเสียให้เข็ด ฐานใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ
 
อีกทางหนึ่ง รัฐบาลก็ตีปี๊บ จับเศรษฐกิจเป็นตัวประกัน เช่น สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เรียกร้องให้ใช้กลไกประชาธิปไตยเป็นทางออก อย่าเคลื่อนไหวนอกสภา ประเทศจะถอยหลัง พลาดพลั้งไปสู่วิกฤติแบบฮ่องกง ทำให้ฟื้นตัวได้ยาก 
อะไรคือกลไกประชาธิปไตย ประยุทธ์มาจากเลือกตั้ง หรือมาจากการเขียนกติกาให้ตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเอง กกต.ที่ สนช.ตั้ง ก็ใช้สูตรคำนวณ ส.ส.จน 7 พรรคฝ่ายค้านได้น้อยกว่าครึ่ง
กลไกประชาธิปไตยแปลว่าประชาชนเปลี่ยนรัฐบาลได้ผ่านระบอบรัฐสภา แต่นี่ ต่อให้ประยุทธ์ยุบสภาหรือลาออก 250 ส.ว.ก็ตั้งกลับมาใหม่ จะอ้างประชาธิปไตยปลอมมาห้ามการเคลื่อนไหวนอกสภาได้อย่างไร

ถ้าวันไหนประชาชนไม่พอใจขึ้นจริง ๆ ต้องการไล่ “ประยุทธ์ออกไป” มันจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนไหวนอกสภา เพื่อล้มกติกาขี้โกง

ตลกทุเรศกว่านั้น การอ้างม็อบชนม็อบ จับเศรษฐกิจเป็นตัวประกัน หาเสียงสนับสนุนจากภาคธุรกิจ หรือชาวบ้านที่กำลังมีปัญหาปากท้อง มันอาศัยความหวาดผวา จากม็อบปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้งเมื่อ 6 ปีก่อน ซึ่งถามว่าแกนนำม็อบวันนั้นปัจจุบันอยู่ไหน ก็อยู่ในรัฐบาล หลังจากสร้างความพินาศฉิบหายให้ประเทศ ปูทางให้เกิดรัฐประหาร วันนี้ก็ชัดเจนว่าสมคบกัน แล้วยังมีหน้ามาห้ามคนอื่น อย่าสร้างความแตกแยกวุ่นวาย
ม็อบไม่มีเส้น ไม่มีทหารคุ้มกัน ไม่มีคำสั่งศาลคุ้มครอง ไม่สามารถชัตดาวน์สร้างความฉิบหายได้ปานนั้นหรอก การเคลื่อนไหวประชาธิปไตยแบบวิ่งไล่ลุง แสดงออกอย่างสงบ สุภาพเรียบร้อย เก็บขยะเกลี้ยงเกลาอีกต่างหาก ไม่เหมือนม็อบกากที่แสดงความรุนแรงเกลียดชัง
การอ้างเศรษฐกิจเป็นตัวประกัน จำกัดการเคลื่อนไหวประชาธิปไตย พูดให้ถึงที่สุดเป็นความคิดสามานย์ แบบเห็นมนุษย์เป็นสัตว์ เอาเศรษฐกิจปากท้องไว้ก่อน ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพจำกัดความคิด ถ้ามีข้าวกินมีฐานะก็ทนได้ ถูกอำนาจไม่ชอบธรรมขี่คอ แต่เศรษฐกิจดีก็ไม่เป็นไร ถูกข่มขืนก็อย่าร้องโวยวาย ยอมไกล่เกลี่ยรับเงินดีกว่า ไม่เสียชื่อเสียง ทำมาหากินไปเถอะ

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเมืองไทย จึงหาว่าม็อบฮ่องกงโง่ ทำลายปากท้องตัวเองให้ยิ่งแย่ไปใหญ่ ก็เพราะคิดอย่างนี้จึงเป็นได้แค่ประเทศติดกับดัก

ว่าที่จริง เศรษฐกิจการเมืองเป็นเรื่องเดียวกัน รัฐบาลที่บริหารเศรษฐกิจดีย่อมได้รับความนิยม แม้มีปัญหาความชอบธรรม บางประเทศอย่างจีน สิงคโปร์ เวียดนาม ดูเหมือนบริหารเศรษฐกิจได้ดี ทั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศเหล่านี้ก็มีเงื่อนไขเฉพาะ ซึ่งไม่ใช่รัฐอนุรักษนิยมไทยจะทำอย่างเขาได้
รัฐอนุรักษนิยมไทย ยิ่งทำลายประชาธิปไตยยิ่งบริหารเศรษฐกิจแย่ ทั้งในแง่ความเหลื่อมล้ำ รวบอำนาจตัดสินใจ รัฐราชการเป็นใหญ่ ทัศนะล้าหลัง เน้นความมั่นคงของรัฐอนุรักษนิยมมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่าง

พูดง่าย ๆ รัฐบาลประยุทธ์ก็บริหารเศรษฐกิจให้ดีสิ ไม่ใช่ล้มเหลวแล้วจับเป็นตัวประกัน 
ที่มา: ข่าวหุ้นธุรกิจ www.kaohoon.com/content/335832
 

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar