"นายกฯ"เข้าปฏิบัติภารกิจที่สนง.ปลัดกห. หลังจากช่วงเช้ามีภารกิจเฝ้ารับเสด็จฯพระบรมฯที่วัดบวรฯ
นายกฯ ยิ่งลักษณ์ รายวัน ศุกร์ที่ 31 มกราคม 2557 -นายกฯ เฝ้าฯ สมเด็จพระบรมฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล 100 ปี สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรฯ -นายกฯ ปฏิบัติภารกิจ หารือศรส. ที่สำนักปลัดกลาโหม
|
เมื่อ ศุกร์, 31/01/2014 - 18:00
สมัยสนธิ ลิ้มทองกุล นำม๊อบพันธมิตรออกประท้วงรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และต่อมาถึงพรรคพลังประชาชนนั้น ช่วงที่ Peak สูงสุดถึงขั้นบุกยึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินสุวรรณภูมิ ครั้งนั้นมีประชาชนออกมาร่วมชุมนุมกับม๊อบพันธมิตรมากมายล้นหลาม และบนเวทีบรรดาแกนนำต่างก็ขึ้นเวทีโดยใช้สัญลักษณ์สวมเสื้อสีเหลือง ผ้าพันคอสีฟ้า และยังมีการสนับสนุนน้ำดื่มอย่างไม่ขาดสายด้วยน้ำดื่มตรา “จิตรลดา”ในขณะนั้นนายสนธิ ลิ้มทองกุล อหังการถึงขั้นอ้างตัวเองเป็น “ราชบุตรเขย” และเคยประกาศอย่างก้าวร้าวบนเวทีต่อรัฐบาล ตำรวจ และผู้ที่กำลังต่อต้านม๊อบพันธมิตรนั้นว่า “รู้หรือเปล่าว่ากำลังสู่อยู่กับใคร” เวลาผ่านไปจากวันนั้นถึงเวลานี้กว่า 7 ปีน่าจะกล่าวได้ว่าผู้ที่ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศมาโดยตลอดคงจะไม่มีใครไม่ทราบว่าแล้วว่า “ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยกำลังสู้อยู่กับใคร” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งใครกันแน่ที่ทำตัวเป็นศัตรูกับระบอบประชาธิปไตยของประเทศนี้
ชาวไทยถูกอบรมสั่งสอนและสร้างให้เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์อ่อนน้อมภักดีต่อความเชื่อความศรัทธาที่ถูกสั่งสอนตลอดมาโดยไม่มีความสงสัยใดๆ แม้ว่าสิ่งที่ถูกสอนให้เชื่อและครอบงำอยู่นั้นจะดูแปลกๆ และกลายเป็นคำถามในสายตาประชาคมโลก แต่ชาวไทยก็ยอมจะปิดหูปิดตาเสียแล้วบอกว่า “นี่คือความเชื่อความศรัทธาแบบไทยๆ” หรือยอมรับได้แม้กระทั่งว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการทำรัฐประหารยึดอำนาจมากถึง 18 ครั้งในระยะเวลาประมาณ 65 ปีมานี้ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยมีการทำรัฐประหารยึดอำนาจเฉลี่ยทุกๆ 3 ปีครึ่ง หรือทุกครั้งที่ความขัดแย้งทางการเมืองเข้าสู่จุดวิกฤติมีการใช้กองกำลังทหารติดอาวุธเข้าปราบปรามประชาชนล้มตายเลือดนองท่วมถนนราชดำเนิน
ประชาชนไทยก็จะรู้สึกมีความสุขปลาบปลื้มใจทุกครั้งที่สถานการณ์เลวร้ายรุนแรงนั้นสงบลงได้ด้วยความอัศจรรย์เหนือความคาดหมาย
เราถูกทำให้เชื่อตลอดมาว่าสิทธิความเป็นคนของคนหนึ่งที่เกิด..เติบโต..มีชีวิตอยู่..และดำรงชีพด้วยความสุขสงบเสมอมาในประเทศนี้นั้นมิได้เกิดจากความสามารถหรือศักยภาพของตนเอง แต่ทว่าเกิดจากสิ่งอัศจรรย์บางอย่างช่วยให้มีชีวิตเป็นเช่นนั้น อาจจะเรียกว่า “บุญ..บารมี..กุศล..วาสนา ฯลฯ” ก็แล้วแต่จะคิดกันไป แต่ที่ห้ามไม่ให้คิดโดยเด็ดขาดก็คือความสามารถ หรือสิทธิความเป็นคนๆ หนึ่งที่อยู่ในประเทศนี้นั้นจะเท่าเทียมกับเทวดาบนฟ้าไม่ได้เป็นอันขาด ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วนั่นคือความคิดและความเชื่อที่ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว สมัยที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน..อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง..และการสื่อสานผ่านดาวเทียม..
เมื่อวานนี้ชาวไทยอาจจะเชื่อว่าสิทธิของความเป็นคนที่เกิดในแผ่นดินนี้มีไม่เท่ากับคนกลุ่มอื่น แต่มาถึงวันนี้ความคิดนี้กำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว มีคำถามที่เริ่มจะถามกันมากขึ้นว่า “คนไทยทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหรือไม่? และทำไม?” เสียงเรียกร้องทวงสิทธิความเป็นคนไทยที่เกิดและเติบโตในผืนแผ่นดินนี้ดังก้องกังวาลมากขึ้นๆ และเสียงนี้เริ่มที่จะกลบความเชื่อที่ถูกสอนให้เชื่อตลอดมาว่าคนไทยมิได้มีความสามารถด้วยตนเองแต่ด้วย บุญ..บารมี..ของใครบางคน
ความเติบโตของระบอบประชาธิปไตยและการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของระบบการสื่อสารไร้พรมแดนทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่เคยถูกปิดซ่อนไว้ได้ง่ายขึ้น สิ่งที่ไม่สามารถจะรู้ได้ถ้าย้อนหลังเวลาไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วกลับถูกเปิดเผยอย่างไม่มีอะไรปิดบัง ความเชื่อความศรัทธาที่เคยเชื่อว่ามีใครบางคนที่คอยช่วยให้คนไทยมีความสุขความเจริญด้วย “บุญ..บารมี” นั้น กำลังถูกสั่นคลอนด้วยความเชื่อใหม่ที่สอดแทรกเข้ามาคือ “สิทธิความเป็นคนที่เท่าเทียมกัน”
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นี้จะมิใช่เพียงแค่วันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามปกติเท่านั้น แต่ทว่าความหมายของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันนั้นกลับมีคุณค่าสูงกว่านั้นมากนักความสำคัญเทียบเท่าได้เท่ากับวันประกาศการ “เลิกทาส” ของในหลวงรัชกาลที่ 5 เลยทีเดียว และถึงเวลาแล้วที่ประชาชนไทยทุกคนจะต้องเลือกว่า “พวกเราจะเลือกรักษาสิทธิความเป็นคนไทยที่เท่าเทียมกันกับคนอื่นๆ ในประเทศนี้.. หรือยอมรับความเชื่อความศรัทธาอย่างงมงายที่ถูกล้างสมองมานานแสนนานว่าคนไทยไม่เท่ากัน”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะไปเลือกตั้งเพื่อปลดแอกความเป็นทาสของผมใครจะไปกับผมบ้าง..แล้วพบกันที่หน่วยเลือกตั้งครับ