“ฉันอยู่ร่วมโลกกับยิ่งลักษณ์ไม่ได้” และ “ใครอย่าแตะสุเทพนะ” เสียงผู้หญิง คำพูดนี้ของใคร ? ยิ่งลักษณ์ไปทำอะไรให้เธอ? ไอ้สุเทพเป็นผัวหรือพ่อเธอเหรอ?...ให้ประชาชนหาคำตอบเอาเองว่าใครคืออีบ้าคน นั้น ไม่มีความดีอะไรซ้ำยังมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตใช้โจรมายึดอำนาจรัฐ แล้วจะขู่บังคับให้ประชาชนเคารพรักและศรัทธาได้อย่างไร...อีทอม!
โดย ท่านรอง
อัตตาพาจน
ได้ยินคำพูดเยียบเย็นสองประโยคที่ลอยมาตาม ลมว่า “ฉันอยู่ร่วมโลกกับยิ่งลักษณ์ไม่ได้” และ “ใครอย่าแตะสุเทพนะ” เราก็ย่อมนึกตามอคติแต่เดิมว่า คนที่พูดรุนแรงก้าวร้าวเช่นนี้น่าจะเป็นผู้ชาย และเป็นผู้ชายที่ทรงอำนาจอิทธิพลอย่างล้นเหลือเสียด้วย แต่ความจริงเสียงนั้นเป็นของผู้หญิง และเป็นผู้หญิงที่เราเคยนึกว่าใจดี มีเมตตาธรรม และดำรงความเป็นกลางทางการเมืองขนาดที่ไม่ยอมยุ่งเกี่ยวอะไรใดๆ เพียงเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
เมืองไทยขณะนี้ ถ้าเปรียบกับมนุษย์ก็คงอยู่ในระยะฟุ้งซ่าน ใจหนึ่งก็มีเหตุผล คิดอะไรรอบคอบ อดทน และมองโลกในแง่ดี แต่อีกใจหนึ่งก็พลุ่งพล่าน เคียดแค้น หูเบา และพร้อมที่จะทำลายอะไรก็ได้ ที่มีคนมาสมมติให้เป็นศัตรูคู่อาฆาต ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรไปมากกว่าข่าวลือและเสียงนินทาเลย อาการนี้กำลังแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของสังคมไทย และมีลักษณะพิเศษคือ ยิ่งเรียนมาสูงมาก มีการศึกษามาก ยิ่งเป็นโรคนี้ได้มาก หรือยิ่งสูงส่งในทางสังคม เคยมีคนเคารพนับถือมาก ก็ยิ่งมีอาการมาก เข้าขั้นประสาทหลอนเอาเลยทีเดียว
เหตุที่เป็นเช่นนั้น อธิบายในเชิงจิตวิเคราะห์ได้ว่า เพราะอัตตาของคนเรียนสูงและอยู่สูง มันมากกว่าคนธรรมดาเขาอยู่แล้วหลายเท่าตัว เมื่อระบอบประชาธิปไตยเพียงระยะต้น แสดงฤทธิ์เดชออกมาว่า เขารักใครชอบใคร ซึ่งคนๆ นั้น กลับไม่ใช่ตัวเองหรือเจ้านายของตัวเอง ความโกรธแค้นก็มีมาก ไม่ใช่เพียงความโกรธที่ถูกปฏิเสธ แต่ยังถมทับด้วยความแค้นที่ถูกข้ามหัวโดยประชาชนธรรมดาที่เขาเคยนึกว่าต่ำ ช้ากว่าเขาเสียเหลือเกิน อัตตาที่ถูกลบเหลี่ยมในครั้งนี้ จึงระเบิดออกมาเป็นการข่มขู่ก้าวร้าว ลืมหลักการและเหตุผลที่ตัวเองเคยใช้จูงจมูกสังคมทั้งสังคมมาก่อน การประกาศปิดกรุงเทพฯก็ดี ความหยาบคายบนเวทีและโดยทั่วไปก็ดี ความโหด...ม จนสามารถฆ่าและทำร้ายเพื่อนร่วมชาติได้ก็ดี ล้วนเป็นอาการของความเคียดแค้นของคนที่เพิ่งรู้ความจริงว่าตัวเองมิได้สูง ส่งกว่าใคร และจากนี้ไปตัวเองและพรรคพวกก็จะไม่ใช่ผู้ที่ชี้นำสังคมไทยอีกต่อไปอีกต่าง หาก ความบ้าคลั่งจึงพุ่งถึงขั้นคิดโค่นทำลายระบอบประชาธิปไตยทั้งหมด ปฏิเสธกลไกสากลอย่างการเลือกตั้ง ปฏิเสธการแก้ไขปัญหาตามรัฐธรรมนูญและโจมตีผู้นำการเมืองจากการเลือกตั้งเป็น การส่วนตัว ไม่ต่างอะไรจากแม่ค้าที่ด่ากันตามตลาดสด โดยลืมส่องกระจกดูสีหน้าท่าทางของตัวเองในขณะที่กำลังพ่นถ่อยคำเหล่านั้นออก มา
“ฉันอยู่ร่วมโลกกับยิ่งลักษณ์ไม่ได้” เป็นประโยคบอกเล่าที่มีลักษณะเป็นคำสั่ง มาเฟียใหญ่ในโลกนี้จะไม่ค่อยออกคำสั่งใดๆ ให้เป็นหลักฐาน เพียงปรารภเบาๆ กับกลุ่มคนใกล้ตัวที่มีหน้าที่และมีความสามารถในการทำลายล้างคนอื่น ก็จะเกิดการไล่ล่าสังหารตามมา แต่ความซับซ้อนของสังคมในนาทีคือ คนพูดยังไม่ใช่หมายเลขหนึ่งขององค์กรอาชญากรรมนั้น เป็นเพียงผู้ที่มีโอกาสอย่างสูงในการสืบทอดอำนาจในองค์กรเท่านั้น ผู้รับฟังคำสั่งจึงยังไม่กล้าผลีผลามทำอะไรตามใจคนพูด ถึงผู้ที่มีอำนาจจริงในองค์กรจะมีอันล้มหมอนนอนเสื่อลงไปอีกรอบแล้วก็ตาม ก็ยังมีคนอื่นในองค์กรที่สามารถเป็นใหญ่ได้ทัดเทียมกันหรือมากกว่า และคนๆ นั้นอาจจะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้ชีวิตและความเป็นอยู่ทั้งหมดของผู้ปฏิบัติ งานนั้นต้องเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดและอย่างฉับพลันได้ ข้อเท็จจริงนี้ ส่งผลให้หายนะอันใหญ่หลวงบางอย่างถูกชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่ก็สร้างภาวะตึงเครียดอย่างร้ายแรงในวงจรหลักขององค์กรนั้นๆ และของชาติบ้านเมือง เพราะไม่รู้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่และอย่างไร
ก้มมองปุ่มต่างๆ บนรีโมตคอนโทรลในมือ แล้วเขาคนนั้นก็คงเห็นรายละเอียดดังนี้:
๑. กองทัพยึดอำนาจและประกาศสูตร “ประชาธิปไตยใหม่” เพื่อให้แน่ใจว่าระบอบอำมาตย์ศักดินายังจะมีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายประชาชนในบั้นปลาย
๒. องค์การอิสระออกฤทธิ์ โดยเฉพาะ ปปช. แล้วเวียนไปยังตุลาการศาลปกครองสูงสุด ก่อนกลับมาที่ตุลาการรัฐธรรมนูญอีกครั้ง ระหว่างนี้ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. แทรกสอดเป็นระยะๆ
๓. ศาลออกโรง
ปัญหาขณะนี้คือ เจ้าของเสียงที่เล่าข้างต้นอยากกดปุ่มใดปุ่มหนึ่งใจจะขาด แต่ไม่แน่ใจว่าอำนาจของตัวเองจะมีมากพอหรือไม่ จึงปล่อยเวลาให้มารในความอุปถัมภ์กลุ่มต่างๆ มาออกแรงอาละวาดให้หนักขึ้นเรื่อยๆ จนสถานการณ์หลุดโลกเสียก่อน จะได้เกิดแรงกดดันทางสังคมมากพอต่อการกดปุ่ม
น่าเวทนาที่เมืองไทยทั้งเมือง ต้องมาขึ้นอยู่กับคนที่เลือดจะไปลมจะมา.
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar