"เมื่อคนรุ่นใหม่เปิดห้องเรียนประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ ผู้ใหญ่ควรร่วมกันเรียนรู้ไปกับเด็ก"
นักวิชาการหวั่นเวทีรับฟังความคิดเห็นเยาวชนของภาครัฐจะเป็นเพียงพิธีกรรม แนะเปิดพื้นที่สนทนาที่เยาวชนสามารถเข้าร่วมหาหรืออย่างจริงใจ ผู้ใหญ่ควรเปิดใจกว้างรับฟังข้อเรียกร้องการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเยาวชนให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงซ้ำรอยความรุนแรงในอดีต
ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นกับบีบีซีไทยเกี่ยวกับการเตรียมจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ซึ่งจัดเวทีนำร่องที่ จ.ระยอง ระหว่างวันที่ 24-25 ส.ค. ก่อนที่จะมาจัดที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 2-3 ก.ย. นี้ว่า บรรยากาศที่เป็นทางการอาจจะไม่นำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง
- ภาคีนักเรียนฯ เปิดชื่อ 109 รร. ละเมิดสิทธิเด็ก "ผูกโบว์ขาว" และ "ชู 3 นิ้ว" ต่อหน้าตัวแทน รมว.ศธ.
- “ผูกโบว์ขาวต้านเผด็จการ” : เมื่อนิยาม “ชาติ” ของเยาวชน กับ ผู้ใหญ่-ผู้ปกครอง ไม่ตรงกัน
- แฟลชม็อบ: "เกียมอุดมฯ" กับปรากฏการณ์"กะลาแตก" ของเด็กหัวกะทิ
- นักศึกษากลุ่ม "ไทยภักดี" ไม่โกรธถูกเรียก"สลิ่ม" ประกาศป้องสถาบันฯ ด้วยการ "กำจัดไวรัสข่าวปลอม"
เขาอธิบายว่า พื้นที่การเจรจาไม่จำเป็นจะต้องเป็นเวทีที่ "เป็นทางการสูง" แต่รัฐต้องทำหน้าที่ส่งเสริมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนสร้างช่องทางในการสนทนานี้ขึ้นมา ซึ่งที่ผ่านมารัฐเองก็มีเครือข่ายที่ทำงานกับเยาวชนอยู่ไม่น้อยอย่าง กองทุนสนับสนุนและสร้างเสริมสุขภาพ โรงเรียน มหาวิทยาลัย เป็นต้น
"ถ้าเขาเพียงจัดให้เกิดขึ้น ไม่ได้จัดเพื่อให้เกิดการรับฟังจริงจัง เด็กก็จะรับรู้ถึงความไม่ไว้เนื้อเชื้อใจ ซึ่งจะไม่ทำให้รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเวที"
นักวิชาการรายนี้บอกว่า รัฐบาลต้องยอมรับความจริงว่าที่ผ่านมาได้ทำการในลักษณะนี้ตลอดมา ซึ่งไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ทำให้บรรดาเยาวชนต้องใช้เวทีอื่น ๆ เช่น สื่อออนไลน์ในการเสนอความคิดเห็นแทน
ผศ.อรรถพลให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว ภายหลังการเสวนาเรื่อง "เข้าใจคนรุ่นใหม่ ท่ามกลางโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง" จัดโดยคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันนี้ (25 ส.ค.) ซึ่งมีการเปิดโอกาสให้เยาวชนในหลายพื้นที่มาแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์การแฟลชม็อบที่กำลังเกิดขึ้นทั่วประเทศ และมีนักวิชาการร่วมเสวนาด้วย
ผศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในผู้เสวนา อธิบายด้วยการยกผลงานวิจัยที่ได้ลงพื้นที่ไปสำรวจและสัมภาษณ์นักเรียนนักศึกษาในต่างจังหวัดราว 60-70 คน ได้สรุปเบื้องต้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง 3 ประการที่เป็นผลผลิตที่คนรุ่นก่อนต่อคนรุ่นใหม่ ประกอบด้วย
1. การกล่อมเกลาที่เปลี่ยนมาเป็นแบบเสรีนิยมผ่านครอบครัวเสรีนิยมสมัยใหม่ ในขณะที่การศึกษาและค่านิยมของสังคมที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง ให้เด็กคิดนอกกรอบ
2.โลกที่ผันแปรอย่างรุนแรงและรวดเร็ว อันเป็นผลเนื่องมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ โรคระบาด ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวย รวมทั้งปัญหาต่าง ๆ
3. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ในการเรียกร้องสิทธิ ระดมความคิดระหว่างเพื่อน ๆ ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารระหว่างกลุ่มเพื่อน และแสดงความคิดเห็นโดยเสรีไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศสภาพ และความคิดวิเคราะห์เชิงโครงสร้างในสังคม
เพราะ 6 ปีหลังรัฐประหารไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง
ผศ.ดร.กนกรัตน์กล่าวว่า การปะทะกันระหว่างครูที่มีแนวความคิดแบบอนุรักษนิยมและครูรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า ทำให้คนรุ่นใหม่เติบโตและได้รับแรงบันดาลใจจากอาจารย์รุ่นใหม่
"เพดานของเขาไปได้ไกลกว่าและมีเสรีภาพกว่า โลกอนุรักษนิยมอย่างที่เกิดขึ้นในโรงเรียน" เธออธิบาย
นอกจากนี้เธอยังพบอีกว่า เด็กรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยมองว่า 6 ปีหลังรัฐประหาร ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ตามที่รัฐบาลเคยให้สัญญาเอาไว้
"เขาเชื่อว่า พวกเขาคือตัวแทนแห่งความเปลี่ยนแปลง และเขาไม่เชื่อมั่นในระบบราชการ ครูบาอาจารย์อย่างที่เคยเป็นมา" ผศ.ดร.กนกรัตน์อธิบายและแนะนำว่า ผู้ปกครองควรออกมาสนับสนุนในการสร้างอนาคตของเขา และเปิดพื้นที่ให้พวกเขาแสดงออกได้อย่างปลอดภัย
การเคลื่อนไหวของเยาวชนยุคนี้ไปไกลกว่าช่วง 14 ตุลาฯ
ผศ.ดร. ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายถึงการเคลื่อนไหวของเยาวชนว่า "การเคลื่อนไหวของนักศึกษาเป็นการปลุกมโนธรรมสำนึกให้สังคม เนื่องจากพวกเขาเห็นว่า 6 ปีผ่านไป (หลังการรัฐประหาร) ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก จึงเป็นแรงผลักดันให้สังคมเกิดความตื่นตัว ในขณะที่เยาวชนมองว่าผู้ใหญ่มองไม่เห็นพลังของตัวเองและไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้
"นี่ถือเป็นการเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่ชัดเจนที่สุด ทั้งในเชิงความหลากหลายและอุดมการณ์ และไปไกลกว่า ในช่วง 14 ตุลาคม 2516 โดยมีความหลากหลาย ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด รวมทั้งระดับมัธยม" นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์กล่าว
อยากเห็นกลุ่มอนุรักษนิยมออกมาร่วมเคลื่อนไหว
ผศ.ดร.ประจักษ์มองว่าข้อเรียกร้องของกลุ่มเยาวชนในเรื่อง "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" (constitutional monarchy) เป็นเรื่องที่ผูกโยงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต อย่างไรก็ตามเขามองว่ากลุ่มผู้ที่จงรักภักดีและอยากเห็นสถาบันกษัตริย์อยู่อย่างไรในสังคมควรออกมาร่วมผลักดันในประเด็นนี้ รวมทั้งประเด็นการปฏิรูปกองทัพ และศาล ซึ่งที่ผ่านมาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปิดกั้นการสนทนา หรือการใช้กำลังล้อมปราบ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้ว
"ฝ่ายอนุรักษนิยมที่มีวุฒิทางปัญญาและมีวิสัยทัศน์ไกล (enlightened royalist) ควรออกมาร่วมกันปฏิรูปสถาบันฯ"
หากพิจารณาข้อเรียกร้องทั้ง 10 ข้อของกลุ่มนักศึกษาในการปฏิรูปสถาบันนั้น ก็ยังอยู่ในกรอบของกฎหมายและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ผศ.ดร. ประจักษ์ทิ้งท้ายว่า "เมื่อคนรุ่นใหม่เปิดห้องเรียนประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ ผู้ใหญ่ควรร่วมกันเรียนรู้ไปกับเด็ก"
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar