söndag 11 november 2012

ปิดฝาโลงรัฐประหาร เดินหน้าประชาธิปไตย



โดย สมสุริยะ  ทองสุกใส
อดีตทหารผู้เคยกระทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 26 มีนาคม   2520   หรือ 35 ปีก่อน แต่ไม่สำเร็จกลายเป็นกบฏ   นามว่า เสธอ้าย หรือ พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์  เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารของอดีตนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์   ที่มาจากการรัฐประหาร
ปัจจุบันเสธอ้ายเป็นประธานองค์กร พิทักษ์สยาม   ได้ประกาศธงการเคลื่อนไหวของ องค์กรพิทักษ์สยาม ว่า ต้องการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แบบม้วนเดียวจบ  โดยมีบุคคลสำคัญ นาวาอากาศตรี ประสงค์ สุ่นสิริ  อดีตเลขานุการนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พลเอก เปรม ติณสูรานนท์ ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบที่นายกรัฐมนตรีต้องมาจากทหารเท่านั้น
และอีกหลายๆคน  ร่วม คณะ   เช่น    หมอตุลย์   นายพิเชษฐ์ พัฒนโชติ   ชัยวัฒน์  สุรวิชัย   เสรี  วงษ์มณฑา  สำราญ รอดเพชร    ตลอดทั้งองค์กรอย่างสันติอโศก 
และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ให้การสนับสนุนทั้งที่แจ้งและที่ลับเป็นแน่
พร้อมๆกับการเคลื่อนไหวอย่างสอดรับของกลุ่ม  40 สว.  และนักวิชาการรับใช้อำมาตย์ เช่น ณรงค์ เพรชประเสริฐ  เป็นต้น  และคงมีตัวละครอีกหลายส่วนคงทยอยออกมาเคลื่อนไหวเพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก่อนวันดีเดย์ของพวกเขาเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม   แต่ละองค์กรแต่ละคนล้วนเป็นคนหน้าเดิมๆ ที่เคยขับเคลื่อนร่วมกับองค์กรพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำทางสู่การสร้างเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549   และนำพาสังคมไทยถอยหลังเข้าคลองและแช่แข็งประเทศไทยมาแล้ว   
เพียงแต่เปลี่ยนการนำจาก พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาเป็นองค์กรพิทักษ์สยาม   เปลี่ยนจากผู้นำสูงสุดจากนายสนธิ ลิ่มทองกุล เป็นเสธอ้ายเท่านั้นเอง
แน่นอนว่า  ธงขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ของพวกเขา  เป็นอื่นไปไม่ได้  นอกจากเพื่อสร้างเงื่อนไขนำสู่การรัฐประหาร เฉกเช่น องค์กรพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในอดีตเหมือนเดิมเท่านั้นเอง
นับเป็นการขับเคลื่อนที่อัปลักษณ์น่าอัปยศอดสู   ซึ่งควรถูกประณามจากสังคมไทยกัน
กล่าวได้ว่า   ประวัติศาสตร์ของการรัฐประหารทั่วโลก ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่สามารแก้ไขปัญหาของประเทศชาติใดๆได้ และไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประชามติของส่วนรวม 
ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน แต่เป็นการต้องการขึ้นสู่อำนาจของคณะบุคคลที่มีอาวุธอยู่ในมือเท่านั้นเอง เพื่อสร้างอำนาจของตนเอง และเพื่อเป็นช่องทางหาผลประโยชน์ให้ตนเอง โดยขาดการเชื่อมโยงกับประชาชน และไม่เปิดให้สาธารณ คนในสังคมตรวจสอบถ่วงดุลได้  ตลอดทั้งไม่มีวาระที่แน่นอนในการครอบครองอำนาจ
กระนั้นก็ตาม   ประวัติศาสตร์ การรัฐประหารในประเทศต่างๆทั่วโลก ได้จารึกถึงการฉ้อฉลทุจริตคอรัปชั่น ความร่ำรวยมหาศาลของพวกรัฐประหารและเครือข่ายของพวกเขา  นอกจากนี้แล้วยังพบว่า ผู้มีอำนาจมักการกดขี่สิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต
สำหรับ เสธอ้าย แล้ว เขายังบอกกล่าวเป้าหมายว่า  ต้องการแช่แข็งประเทศไทย นั้นก็เท่ากับว่าเสนอให้ประเทศไทยปิดประเทศ ทั้งๆที่ประเทศทั่วโลกยุคโลกาภิวัฒน์ล้วนสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และอื่นๆมิอาจขาดจากกันได้ ตอนนี้ก็มีการขับเคลื่อนประชากรอาเซียนกันแล้ว
มิทราบว่าคณะเพื่อก่อการรัฐประหารของเสธอ้าย  เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปีอยู่หนใดกัน
โลกปัจจุบันมุ่งหน้าไปสู่ประชาธิปไตย ประเทศแถบเอเซียที่อำนาจนอกระบบครอบงำมานมนาน ไม่ว่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปิน เกาหลีใต้ ก็ล้วนแต่หันหน้าเดินทางไปไกลแล้ว
อำนาจกองทัพไม่สามารถแทรกแซงการเมืองได้เหมือนอดีต กองทัพต้องถูกควบคุมโดยรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง  ประชาชนตื่นตัวเรื่องประชาธิปไตยกัน   เพื่อนเราประเทศพม่า ก็ดอกไม้ประชาธิปไตยกำลังผลิดอกอกผล  ทหารพม่าก็ปรับตัวไม่อาจใช้อำนาจบาตรใหญ่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เนื่องเพราะระบอบประชาธิปไตย นั้นอำนาจอธิปไตยมาจากประชาชน  ประชาชนเป็นเจ้าของชาติ เจ้าของประเทศมิใช่ของใครทั้งนั้น
การโหยหาอำนาจนอกระบบประชาธิปไตย  ต้องการให้มีรัฐประหาร เป็นเส้นทางล้าหลัง ป่าเถื่อน  และเชื่อได้ว่า ประชาชนคนส่วนใหญ่เขาไม่ยอมอีกแล้ว 
ประเทศไทยไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ในทางตรงกันข้าม  หนทางข้างหน้าของสังคมไทยที่ควรจะเป็นเพื่อสร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ขึ้น นั้นคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50  โดยมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างโดยประชาชน มีกระบวนการมีส่วนร่วมเหมือนการสร้างรัฐธรรมนูญ 40   มิใช่การข่มขู่ให้ประชาชนยอมรับรัฐธรรมนูญ 50 โดยกลไกของคณะรัฐประหาร 2549  อย่างที่ผ่านมา
แน่ นอนว่า จุดยืนประชาธิปไตยนั้น ต้องขจัดอำนาจนอกระบอบ สร้างหลักการนิติรัฐคู่นิติธรรม ปฏิรูปในหลายด้านๆ เพื่อสร้างประชาธิปไตย  เช่น  กระบวนการยุติธรรม  กองทัพ  องคมนตรี องค์กรอิสระที่ไม่เชื่อมโยงกับประชาชนทั้งหลาย
จบรัฐประหาร  เดินหน้าประชาธิปไตย   เสียที

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar