3 วัน ที่ผมถ่างตา ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ผลสรุปก็คือ
ไม่มีอะไรระคายผิว
ไม่มีอะไรที่เห็นว่ารัฐบาล โกง จะ ๆ
นอกจากคำว่า ส่อไปในทางทุจริต ตามจินตนาการ
จริง ๆ ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า รัฐบาลนี้ต้องขาว สะอาด บริสุทธิมั้ย ตอบได้เลยว่ายาก และก็ไม่เคยเห็นว่ามีรัฐบาลไหนในสยามประเทศนี้ที่สามารถ ลงไปล้วงลึกหน่วยงานทุกระดับ ไม่ให้ทุจริตได้
ลองย้อนหลังไปถึงสมัยอยุธยาก็ได้ พ่อตา(เอาลูกสาวยกให้เป็นเมียกษัตริย์) คุมปากน้ำ ฝรั่งเอาเรือ มาเทียบก็รีดไถ โกงกิน จนโดนฆ่า เมื่อโดนยึดอำนาจ ก็มีให้เห็น มาตั้งแต่สมัยโบราณ
มันก็เป็นเพียง เกม ใครพูดเก่งกว่ากัน ให้คนไทยตัดสินใจ เลือกเอาว่า จะเอาคนพูดเก่ง แต่ทำงานหมาไม่แดก กับคนพูดไม่เก่ง พูดติด พูดขัด แต่ทำงานได้ยอดเยี่ยม
หรือ แม่ยกปากนิยม จริง ๆ หลัง ๆ ประชาธิปัตย์ จะนิยมพวก ปากตลาด กราดเกรี้ยว เถื่อนด้วย ออกมาเป็นดาวชูโรง
เช่น บุญยอด จิตป่วน
หรือ อีเถื่อน รังสิมา ที่ไม่รู้ว่า กำลังอภิปราย นโยบายบริหารบ้านเมือง หรือ ระบายอารมณ์ จากการทะเลาะกับผัวมาหมาด ๆ
ถึงได้ ตระโกนโว้ก เว้ก หลุดคำ ..หยาบ ออกมาได้ตลอดเวลา
------------------------------------------------------------------
ผมชอบคุณเฉลิม อยู่คำหนึ่ง ที่แกบอกว่า รัฐบาลไม่ได้กลัว แต่รู้ทัน ว่า
"ฝ่ายแค้นต้องการทำอะไร"
เพราะญัตติเบาหวิว ..แต่ต้องการให้ นายกฯ ที่พูด "ติด ๆ ขัด ๆ ลำดับ ซีเค้วนท์ ไม่เก่ง" (ซึ่งเป็นจุดบอดถาวรตลอดกาล)
เป็นคนตอบ แทนรัฐมนตรีทั้งหมด
แต่ก็ไม่น่าจะออกอาการ กลัวเฉลิม หรือกลัวนัฐวุฒิ จนออกอาการขนาดนั้น
ประชาธิปัตย์ ก็ยังคงเป็นประชาธิปัตย์ วันยังค่ำ
เรื่องงาน ไม่ต้องถาม
แต่ถ้าเรื่องพูด ไม่เคยเป็นรองใคร
ยังคงย่ำเท้า วนเวียน พันแข้งพันขา หายใจเข้าทักษิณ หายใจออกทักษิณ
โดยไม่เคย เฉลียวใจถามตัวเองเลยว่า ทำไมถึงแพ้เลือกตั้ง "ซ้ำแล้วซ้ำเล่า" "ซ้ำแล้วซ้ำเล่า"
นอกจากนี้ ยังถลำลึกไปอย่าง กู่ไม่กลับว่า
ประชาชนจำนวนมากในประเทศนี้ เกลียดชัง และไม่เลือกพรรคของพวกเขา เพราะเงิน
สมมติฐานพื้นฐานของพรรคการเมืองนี้คิดว่า ประชาชนทุกคน คู่กับการซื้อเสียง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ และต้องอยู่กับการซื้อขายเสียงตลอดไป
แต่ก็ยังมีบางตัว ชักเอะใจ แต่ดันไปโทษว่า เพราะเอเชีย อัพเดท ล้างสมอง เลยทำ บูลสกายมาแข่งขันบ้าง
เมื่อสมมติฐาน และความเข้าใจพื้นฐาน ของพรรคการเมืองนี้ต่อประชาชนของประเทศนี้ในเบื้องต้น คือ "โง่" "ซื้อได้" "ไร้สมอง" "ชอบละครน้ำเน่า"
มันก็จบ
ยุทธวิธี ใส่ร้ายป้ายสีลอย ๆ ที่ใช้มาแต่ยุค ปรีดี จนถึงนายกปู นั้นมันก็แค่จูงใจ แม่ยกกลุ่มเล็ก ๆ รวมทั้งชาวเมือง (ที่ก็ไม่ได้ฉลาดหรือดีไปกว่าใคร ๆ) ก็แค่คิดว่า ถ้าเลือก ประชาธิปัตย์ ก็จะเอาไปคุยอวดกับ เพื่อนร่วมงานได้ว่า
อิฉันคือชนชั้นกลาง มีการศึกษา มีชาติตระกูล มี ฯลฯ เดิ้ลน๊ะฮ้า
จะไปเลือกพรรค คนจนได้อย่างไร น่ารังเกียจชิ้ว ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ผมวิเคราะห์แล้ว ผลกรรมในอดีต ที่ได้ดีด้วยการใส่ร้ายป้ายสี แต่ทำงานไม่เป็น (60-70 ปี ไม่มีผลงานอะไรเป็นที่ประจักษ์ หรือจดจำได้แก่สังคมไทย) สถาบันการเมือง ที่ ชื่นชมหนักหนา คงถึงกาลล่มสลายไม่นาน
ไม่มีควรค่าอะไรให้น่าจดจำ ที่เป็นพรรคเก่าแก่ ก็เพราะดันตั้งมานาน
แต่ไร้จุดยืนน่ารังเกียจ สามารถทรยศต่อวิชาชีพ ทรยศต่ออำนาจของประชาชน แอบอิงอำนาจนอกระบบ ได้อย่างไม่เคอะเขิน หรือเหนียมอาย ประชาชนแม้แต่น้อย......
ประชาธิปัตย์ ....มันก็แค่เหลือบ หรือ มิจฉาชีพ ที่หากินกับอุดมการณ์ของประชาชนในประเทศนี้มาอย่างยาวนานนั่นเอง
ไม่มีอะไรที่เห็นว่ารัฐบาล โกง จะ ๆ
นอกจากคำว่า ส่อไปในทางทุจริต ตามจินตนาการ
จริง ๆ ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า รัฐบาลนี้ต้องขาว สะอาด บริสุทธิมั้ย ตอบได้เลยว่ายาก และก็ไม่เคยเห็นว่ามีรัฐบาลไหนในสยามประเทศนี้ที่สามารถ ลงไปล้วงลึกหน่วยงานทุกระดับ ไม่ให้ทุจริตได้
ลองย้อนหลังไปถึงสมัยอยุธยาก็ได้ พ่อตา(เอาลูกสาวยกให้เป็นเมียกษัตริย์) คุมปากน้ำ ฝรั่งเอาเรือ มาเทียบก็รีดไถ โกงกิน จนโดนฆ่า เมื่อโดนยึดอำนาจ ก็มีให้เห็น มาตั้งแต่สมัยโบราณ
มันก็เป็นเพียง เกม ใครพูดเก่งกว่ากัน ให้คนไทยตัดสินใจ เลือกเอาว่า จะเอาคนพูดเก่ง แต่ทำงานหมาไม่แดก กับคนพูดไม่เก่ง พูดติด พูดขัด แต่ทำงานได้ยอดเยี่ยม
หรือ แม่ยกปากนิยม จริง ๆ หลัง ๆ ประชาธิปัตย์ จะนิยมพวก ปากตลาด กราดเกรี้ยว เถื่อนด้วย ออกมาเป็นดาวชูโรง
เช่น บุญยอด จิตป่วน
หรือ อีเถื่อน รังสิมา ที่ไม่รู้ว่า กำลังอภิปราย นโยบายบริหารบ้านเมือง หรือ ระบายอารมณ์ จากการทะเลาะกับผัวมาหมาด ๆ
ถึงได้ ตระโกนโว้ก เว้ก หลุดคำ ..หยาบ ออกมาได้ตลอดเวลา
------------------------------------------------------------------
ผมชอบคุณเฉลิม อยู่คำหนึ่ง ที่แกบอกว่า รัฐบาลไม่ได้กลัว แต่รู้ทัน ว่า
"ฝ่ายแค้นต้องการทำอะไร"
เพราะญัตติเบาหวิว ..แต่ต้องการให้ นายกฯ ที่พูด "ติด ๆ ขัด ๆ ลำดับ ซีเค้วนท์ ไม่เก่ง" (ซึ่งเป็นจุดบอดถาวรตลอดกาล)
เป็นคนตอบ แทนรัฐมนตรีทั้งหมด
แต่ก็ไม่น่าจะออกอาการ กลัวเฉลิม หรือกลัวนัฐวุฒิ จนออกอาการขนาดนั้น
ประชาธิปัตย์ ก็ยังคงเป็นประชาธิปัตย์ วันยังค่ำ
เรื่องงาน ไม่ต้องถาม
แต่ถ้าเรื่องพูด ไม่เคยเป็นรองใคร
ยังคงย่ำเท้า วนเวียน พันแข้งพันขา หายใจเข้าทักษิณ หายใจออกทักษิณ
โดยไม่เคย เฉลียวใจถามตัวเองเลยว่า ทำไมถึงแพ้เลือกตั้ง "ซ้ำแล้วซ้ำเล่า" "ซ้ำแล้วซ้ำเล่า"
นอกจากนี้ ยังถลำลึกไปอย่าง กู่ไม่กลับว่า
ประชาชนจำนวนมากในประเทศนี้ เกลียดชัง และไม่เลือกพรรคของพวกเขา เพราะเงิน
สมมติฐานพื้นฐานของพรรคการเมืองนี้คิดว่า ประชาชนทุกคน คู่กับการซื้อเสียง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ และต้องอยู่กับการซื้อขายเสียงตลอดไป
แต่ก็ยังมีบางตัว ชักเอะใจ แต่ดันไปโทษว่า เพราะเอเชีย อัพเดท ล้างสมอง เลยทำ บูลสกายมาแข่งขันบ้าง
เมื่อสมมติฐาน และความเข้าใจพื้นฐาน ของพรรคการเมืองนี้ต่อประชาชนของประเทศนี้ในเบื้องต้น คือ "โง่" "ซื้อได้" "ไร้สมอง" "ชอบละครน้ำเน่า"
มันก็จบ
ยุทธวิธี ใส่ร้ายป้ายสีลอย ๆ ที่ใช้มาแต่ยุค ปรีดี จนถึงนายกปู นั้นมันก็แค่จูงใจ แม่ยกกลุ่มเล็ก ๆ รวมทั้งชาวเมือง (ที่ก็ไม่ได้ฉลาดหรือดีไปกว่าใคร ๆ) ก็แค่คิดว่า ถ้าเลือก ประชาธิปัตย์ ก็จะเอาไปคุยอวดกับ เพื่อนร่วมงานได้ว่า
อิฉันคือชนชั้นกลาง มีการศึกษา มีชาติตระกูล มี ฯลฯ เดิ้ลน๊ะฮ้า
จะไปเลือกพรรค คนจนได้อย่างไร น่ารังเกียจชิ้ว ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ผมวิเคราะห์แล้ว ผลกรรมในอดีต ที่ได้ดีด้วยการใส่ร้ายป้ายสี แต่ทำงานไม่เป็น (60-70 ปี ไม่มีผลงานอะไรเป็นที่ประจักษ์ หรือจดจำได้แก่สังคมไทย) สถาบันการเมือง ที่ ชื่นชมหนักหนา คงถึงกาลล่มสลายไม่นาน
ไม่มีควรค่าอะไรให้น่าจดจำ ที่เป็นพรรคเก่าแก่ ก็เพราะดันตั้งมานาน
แต่ไร้จุดยืนน่ารังเกียจ สามารถทรยศต่อวิชาชีพ ทรยศต่ออำนาจของประชาชน แอบอิงอำนาจนอกระบบ ได้อย่างไม่เคอะเขิน หรือเหนียมอาย ประชาชนแม้แต่น้อย......
ประชาธิปัตย์ ....มันก็แค่เหลือบ หรือ มิจฉาชีพ ที่หากินกับอุดมการณ์ของประชาชนในประเทศนี้มาอย่างยาวนานนั่นเอง
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar