ปรากฏการณ์
เสธ.อ้าย คือสัญญาณบอกสงครามในราชสำนักเริ่มแล้ว
ปัญหาความไม่ลงตัวของการเปลี่ยนผ่านจากรัชกาลที่
9 สู่รัชกาลที่ 10 ที่กษัตริย์ภูมิพลและกลุ่มอำมาตย์ลูกสมุนได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขวางไม่ให้สมเด็จพระบรมขึ้นครองราชย์ซึ่งเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล
ได้พัฒนามาใกล้สู่จุดแตกหักเต็มทีแล้ว
สัญญาณที่บ่งบอกคือการดิ้นรน ของกลุ่มอำมาตย์เปรมที่ใช้ พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ (เสธ.อ้าย)
เป็นตัวจุดชนวนความรุนแรงเพื่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนสองฝ่าย โดยมีเป้าหมายเพื่อจะสร้างความชอบธรรมให้แก่การรัฐประหารที่คาดหวังไว้ หลังจากที่ได้เคยทำมาแล้วในช่วงปี 2548 – 2549 โดยใช้ข้ออ้างเพื่อไม่ให้เกิดการเสียเลือดเนื้อที่จะมีการชุมนุมใหญ่(อดีตพลเอกเปรม
ใช้กลุ่มพันธมิตรขับเคลื่อน) เพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อ 20 กันยายน 2549 และฉวยโอกาสรัฐประหารก่อนหน้าหนึ่งวันคือ
19 กันยายน 2549 แต่วันนี้สังคมไทยได้เกิดภาวะเปราะบางที่สุดในศรัทธาที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ดังนั้นจึงนับได้ว่าการขับเคลื่อนของมหาอำมาตย์เปรมครั้งนี้จึงเป็นความล่อแหลมที่สุดที่จะกลายเป็นประกายไฟจุดปะทุสงครามในราชสำนักอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยดังต่อไปนี้
1.
กษัตริย์ภูมิพลและราชินีสิริกิตย์อยู่ในสภาวะที่สุขภาพเสื่อมทรุดอย่างมากดังจะเห็นได้จากการไม่สามารถจะมีพระราชดำรัสในการถวายสัตย์ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
1 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งเป็นครั้งแรกของการเข้าเฝ้าถวายสัตย์ของคณะรัฐมนตรี
ซึ่งก็เป็นที่เฝ้าจับตามองของประชาชนเกี่ยวกับพระพลานามัยอันเนื่องมาจากความสูงวัยและความเจ็บป่วยที่เสื่อมทรุดมาเรื่อยๆ
จนเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะมีพระราชดำรัสได้ดังกล่าวข้างต้นจนทำให้ประชาชนเชื่อว่าพระองค์ไม่อยู่ในสภาพที่จะปฏิบัติภาระกิจได้แล้ว ประกอบกับราชินีสิริกิตย์
เองก็มีข่าวลืออันน่าเชื่อได้มากว่าทรงเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุหกล้มและมีพระพลานามัยทรุดโทรมอย่างหนักและไม่ปรากฏพระองค์ต่อสาธารณะมากว่า
5 เดือนแล้ว
ดังนั้นความวุ่นวายใดๆ ที่กลุ่มเสธ.อ้าย จะก่อให้เกิดขึ้น
เพื่อนำไปสู่การรัฐประหารในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
จะสำเร็จได้ก็จะต้องได้รับการเห็นชอบและการสนับสนุนจากทั้งสองพระองค์ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยากที่จะเข้าเฝ้าได้
และถึงแม้จะเข้าเฝ้าได้ก็คงจะไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนเพราะประชาชนรู้ดีว่าทั้งสองพระองค์ไม่อยู่ในสภาพที่จะรับรู้เหตุผลต่างๆได้ การรัฐประหารจึงเป็นเรื่องที่ยากจะรวมศูนย์อำนาจความเชื่อถือจากทหารและประชาชนอย่างเช่นในอดีต
โดยเฉพาะคนเสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยในวันนี้ก็เกิดภาวะตาสว่างรู้เท่าทันและไม่สนับสนุนการรัฐประหารในรูปแบบใดๆ
2.
ภาวะความเจ็บป่วยอย่างหนักของทั้งสองพระองค์ดังกล่าวในข้อ
1 ประกอบกับการออกธนบัตรฉบับละ 100 บาทที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชปรากฏบนธนบัตรนั้นเป็นครั้งแรกได้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลต่อกลุ่มมหาอำมาตย์เปรม
ว่าหากสมเด็จพระบรมขึ้นครองราชย์แล้วพวกเขาจะต้องถูกกวาดล้างอย่างแน่นอน
ด้วยเพราะพวกเขาได้แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงในการขัดขวางการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระบรมฯ
นับตั้งแต่การแอบแฝงอำนาจในการนำเสนอชื่อรัชทายาทที่แอบเขียนในรัฐธรรมนูญโดยวางอำนาจไว้ที่ตัว
พลเอกเปรม ในฐานะประธานองคมนตรี
ทั้งฉบับปี 2540 และ 2550 และรวมทั้งการลงมือทำรัฐประหารเพื่อจะจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดเพื่อให้เสนอรายชื่อบุคคลอื่นที่ไม่ใช่สมเด็จพระบรมฯ
ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ รวมตลอดทั้งการส่งสัญญาณเรื่อง”คนดีคนเลว”อยู่เสมอ
ซึ่งเป็นที่รู้กันชัดแจ้งแล้วว่าเนื้อแท้คือการโจมตีพระบรมฯ โดยกล่าวกระทบกระเทียบโดยอ้อมเสมือนหนึ่งเป็นการตีวัวกระทบคราด ดังนั้นการปรากฏตัวของม็อบเสธ.อ้าย
และมีตัวแสดงตัวประกอบร่วมเช่นนายประสงค์ สุ่นสิริ
และ จำลอง ศรีเมือง
จึงเป็นการบ่งบอกอย่างชัดแจ้งที่คนไทยทั้งประเทศรู้ตรงกันว่าผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงก็คือ
พลเอกเปรม แต่สื่อมวลชนพยายามหลีกเลี่ยงจึงใช้คำแทนเชิงสัญญลักษณ์ว่า
“คนดีคนเดิม” หลังจากที่ได้ใช้ความพยายามมา
5 ปีกว่าแล้วแต่ไม่สำเร็จ ด้วยเหตุผลนี้มีหรือที่สมเด็จพระบรมฯ
จะไม่ทรงทราบ
ดังนั้นการก่อม็อบของเสธ.อ้าย อย่างดันทุรัง
จึงยิ่งกลายเป็นฉนวนระเบิดให้เกิดสงครามชิงอำนาจในราชสำนักเร็วยิ่งขึ้น
3.
เป็นที่น่าแปลกใจว่าทั้งกษัตริย์และราชินีต่างก็มาประทับรักษาพระองค์ร่วมกันที่โรงพยาบาลศิริราช ทั้งๆที่ในอดีตราชินีสิริกิตย์ มักจะรักษาพระองค์
ที่รพ.จุฬา
อีกทั้งไม่เห็นพระเทพเข้าเฝ้าทั้งสองพระองค์ที่ รพ.ศิริราช รวมตลอดทั้งไม่เห็นนางสนองพระโอตย์(ตัวแสบ)
และนายทหารระดับสูงเข้าเฝ้าเหมือนกัน
จึงเกิดข่าวลือในประเทศไทยว่าสมเด็จพระบรมฯ ในฐานะผู้บัญชาการ
กองบัญชาการถวายความจงรักภักดีได้เข้าควบคุมสถานการณ์เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำอันเป็นการฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์จากการเข้าเฝ้าแล้วนำไปกล่าวบิดเบือนขยายผลจนก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง
เมื่อดูจากสภาพแวดล้อมแล้วก็น่าเชื่อได้ว่ามีสถานการณ์เช่นนั้นจริง จึงเกิดภาวะการณ์ดิ้นรนของกลุ่มอำมาตย์เปรม ในการเร่งเร้าสถานการณ์ด้วยเห็นว่าหากล่าช้าจะไม่ทันกาล
ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นคนแก่เฒ่าใกล้จะเข้าโลงอย่างนายประสงค์ สุ่นสิริ
ต้องถ่อสังขารออกมานำม็อบเองร่วมกับเสธ.อ้ายเพราะความเคียดแค้นที่มหาอำมาตย์พวกของตนถูกปิดล้อมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
4.
ยุทธวิธีโลกล้อมไทย และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางการเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งทำให้ได้รับความเชื่อถือจากนานาประเทศว่า
น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเป็นผู้นำการปรองดอง จึงปรากฏภาพนายกฯ ยิ่งลักษณ์
พบกับผู้นำประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และ อังกฤษ รวมตลอดถึงภาพการสัมผัสมือกับประธานาธิบดีโอบามา
และสมเด็จพระราชินีอลิซาเบท
ยิ่งเป็นการปิดล้อมไม่ให้กลุ่มมหาอำมาตย์เปรม
ปฏิบัติการรัฐประหารได้โดยง่ายเหมือนในอดีต
ดังนั้นหากพลเอกเปรมยังดื้อรั้นผลักดันให้เกิดการรัฐประหารทั้งในรูปแบบเก่าและรูปแบบใหม่โดยใช้ศาลและองค์กรอิสระเป็นเครื่องมือเหมือนกับกรณีล้มรัฐบาลนายสมัคร
และรัฐบาลนายสมชาย แล้วก็จะยิ่งก่อให้เกิดการต่อต้านจากประชาชนหนักหน่วงยิ่งขึ้น
กล่าวโดยสรุปแล้วปรากฏการณ์ม็อบเสธ.อ้าย
รวมตลอดทั้งปรากฏการณ์ความรุนแรงทางการเมืองอื่นๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสังคมไทยที่กำลังไถลลื่นไปสู่จุดการพังทลายของระบบกษัตริย์ไทยที่ผุโทรมอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
ปัญหาสำคัญอยู่ที่ประชาชนไทยจะต้องรู้เท่าทันและมิให้ลูกหลานคนไทยต้องบาดเจ็บล้มตายจากการแย่งชิงราชบัลลังก์ โดยความไม่รับผิดชอบของกษัตริย์ภูมิพลที่ไม่ยอมจัดการปัญหาภายในครอบครัวของตนและปล่อยให้เกิดสถานการณ์วิกฤตอย่างเป็นไปเองดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้
กลุ่มเสียงประชาชนไทย
(สปท.)
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar