måndag 19 november 2012

ปรากฏการณ์ เสธ.อ้าย คือสัญญาณบอกสงครามในราชสำนักเริ่มแล้ว



ปรากฏการณ์ เสธ.อ้าย คือสัญญาณบอกสงครามในราชสำนักเริ่มแล้ว

                             ปัญหาความไม่ลงตัวของการเปลี่ยนผ่านจากรัชกาที่ 9 สู่รัชกาที่ 10 ที่กษัตริย์ภูมิพลและกลุ่มอำมาตย์ลูกสมุนได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขวางไม่ให้สมเด็จพระบรมขึ้นครองราชย์ซึ่งเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล ได้พัฒนามาใกล้สู่จุดแตกหักเต็มทีแล้ว  สัญญาณที่บ่งบอกคือการดิ้นรน ของกลุ่มอำมาตย์เปรมที่ใช้ พลเอกบุญเลิศ  แก้วประสิทธิ์ (เสธ.อ้าย) เป็นตัวจุดชนวนความรุนแรงเพื่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนสองฝ่าย  โดยมีเป้าหมายเพื่อจะสร้างความชอบธรรมให้แก่การรัฐประหารที่คาดหวังไว้  หลังจากที่ได้เคยทำมาแล้วในช่วงปี 2548 – 2549 โดยใช้ข้ออ้างเพื่อไม่ให้เกิดการเสียเลือดเนื้อที่จะมีการชุมนุมใหญ่(อดีตพลเอกเปรม ใช้กลุ่มพันธมิตรขับเคลื่อน) เพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อ 20 กันยายน 2549 และฉวยโอกาสรัฐประหารก่อนหน้าหนึ่งวันคือ 19 กันยายน 2549   แต่วันนี้สังคมไทยได้เกิดภาวะเปราะบางที่สุดในศรัทธาที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นจึงนับได้ว่าการขับเคลื่อนของมหาอำมาตย์เปรมครั้งนี้จึงเป็นความล่อแหลมที่สุดที่จะกลายเป็นประกายไฟจุดปะทุสงครามในราชสำนักอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยดังต่อไปนี้
1.       กษัตริย์ภูมิพลและราชินีสิริกิตย์อยู่ในสภาวะที่สุขภาพเสื่อมทรุดอย่างมากดังจะเห็นได้จากการไม่สามารถจะมีพระราชดำรัสในการถวายสัตย์ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งเป็นครั้งแรกของการเข้าเฝ้าถวายสัตย์ของคณะรัฐมนตรี  ซึ่งก็เป็นที่เฝ้าจับตามองของประชาชนเกี่ยวกับพระพลานามัยอันเนื่องมาจากความสูงวัยและความเจ็บป่วยที่เสื่อมทรุดมาเรื่อยๆ จนเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะมีพระราชดำรัสได้ดังกล่าวข้างต้นจนทำให้ประชาชนเชื่อว่าพระองค์ไม่อยู่ในสภาพที่จะปฏิบัติภาระกิจได้แล้ว  ประกอบกับราชินีสิริกิตย์  เองก็มีข่าวลืออันน่าเชื่อได้มากว่าทรงเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุหกล้มและมีพระพลานามัยทรุดโทรมอย่างหนักและไม่ปรากฏพระองค์ต่อสาธารณะมากว่า 5 เดือนแล้ว  ดังนั้นความวุ่นวายดๆ ที่กลุ่มเสธ.อ้าย จะก่อให้เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การรัฐประหารในรูปแบบดรูปแบบหนึ่ง จะสำเร็จได้ก็จะต้องได้รับการเห็นชอบและการสนับสนุนจากทั้งสองพระองค์ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ก็ยากที่จะเข้าเฝ้าได้ และถึงแม้จะเข้าเฝ้าได้ก็คงจะไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนเพราะประชาชนรู้ดีว่าทั้งสองพระองค์ไม่อยู่ในสภาพที่จะรับรู้เหตุผลต่างๆได้  การรัฐประหารจึงเป็นเรื่องที่ยากจะรวมศูนย์อำนาจความเชื่อถือจากทหารและประชาชนอย่างเช่นในอดีต โดยเฉพาะคนเสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยในวันนี้ก็เกิดภาวะตาสว่างรู้เท่าทันและไม่สนับสนุนการรัฐประหารในรูปแบบดๆ
2.       ภาวะความเจ็บป่วยอย่างหนักของทั้งสองพระองค์ดังกล่าวในข้อ 1 ประกอบกับการออกธนบัตรฉบับละ 100 บาทที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชปรากฏบนธนบัตรนั้นเป็นครั้งแรกได้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลต่อกลุ่มมหาอำมาตย์เปรม ว่าหากสมเด็จพระบรมขึ้นครองราชย์แล้วพวกเขาจะต้องถูกกวาดล้างอย่างแน่นอน  ด้วยเพราะพวกเขาได้แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงในการขัดขวางการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระบรมฯ นับตั้งแต่การแอบแฝงอำนาจในการนำเสนอชื่อรัชทายาทที่แอบเขียนในรัฐธรรมนูญโดยวางอำนาจไว้ที่ตัว พลเอกเปรม  ในฐานะประธานองคมนตรี ทั้งฉบับปี 2540 และ 2550 และรวมทั้งการลงมือทำรัฐประหารเพื่อจะจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดเพื่อให้เสนอรายชื่อบุคคลอื่นที่ไม่ใช่สมเด็จพระบรมฯ ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์  รวมตลอดทั้งการส่งสัญญาณเรื่อง”คนดีคนเลว”อยู่เสมอ  ซึ่งเป็นที่รู้กันชัดแจ้งแล้วว่าเนื้อแท้คือการโจมตีพระบรมฯ โดยกล่าวกระทบกระเทียบโดยอ้อมเสมือนหนึ่งเป็นการตีวัวกระทบคราด  ดังนั้นการปรากฏตัวของม็อบเสธ.อ้าย และมีตัวแสดงตัวประกอบร่วมเช่นนายประสงค์ สุ่นสิริ  และ จำลอง  ศรีเมือง จึงเป็นการบ่งบอกอย่างชัดแจ้งที่คนไทยทั้งประเทศรู้ตรงกันว่าผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงก็คือ พลเอกเปรม  แต่สื่อมวลชนพยายามหลีกเลี่ยงจึงใช้คำแทนเชิงสัญญลักษณ์ว่า “คนดีคนเดิม”  หลังจากที่ได้ใช้ความพยายามมา 5 ปีกว่าแล้วแต่ไม่สำเร็จ  ด้วยเหตุผลนี้มีหรือที่สมเด็จพระบรมฯ จะไม่ทรงทราบ  ดังนั้นการก่อม็อบของเสธ.อ้าย อย่างดันทุรัง จึงยิ่งกลายเป็นฉนวนระเบิดให้เกิดสงครามชิงอำนาจในราชสำนักเร็วยิ่งขึ้น
3.       เป็นที่น่าแปลกใจว่าทั้งกษัตริย์และราชินีต่างก็มาประทับรักษาพระองค์ร่วมกันที่โรงพยาบาลศิริราช  ทั้งๆที่ในอดีตราชินีสิริกิตย์ มักจะรักษาพระองค์ ที่รพ.จุฬา  อีกทั้งไม่เห็นพระเทพเข้าเฝ้าทั้งสองพระองค์ที่ รพ.ศิริราช รวมตลอดทั้งไม่เห็นนางสนองพระโอตย์(ตัวแสบ) และนายทหารระดับสูงเข้าเฝ้าเหมือนกัน  จึงเกิดข่าวลือในประเทศไทยว่าสมเด็จพระบรมฯ ในฐานะผู้บัญชาการ กองบัญชาการถวายความจงรักภักดีได้เข้าควบคุมสถานการณ์เพื่อไม่ให้เกิดการกระทำอันเป็นการฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์จากการเข้าเฝ้าแล้วนำไปกล่าวบิดเบือนขยายผลจนก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง  เมื่อดูจากสภาพแวดล้อมแล้วก็น่าเชื่อได้ว่ามีสถานการณ์เช่นนั้นจริง  จึงเกิดภาวะการณ์ดิ้นรนของกลุ่มอำมาตย์เปรม ในการเร่งเร้าสถานการณ์ด้วยเห็นว่าหากล่าช้าจะไม่ทันกาล  ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นคนแก่เฒ่าใกล้จะเข้าโลงอย่างนายประสงค์ สุ่นสิริ ต้องถ่อสังขารออกมานำม็อบเองร่วมกับเสธ.อ้ายเพราะความเคียดแค้นที่มหาอำมาตย์พวกของตนถูกปิดล้อมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
4.       ยุทธวิธีโลกล้อมไทย  และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางการเมืองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งทำให้ได้รับความเชื่อถือจากนานาประเทศว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเป็นผู้นำการปรองดอง  จึงปรากฏภาพนายกฯ ยิ่งลักษณ์ พบกับผู้นำประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน และ อังกฤษ รวมตลอดถึงภาพการสัมผัสมือกับประธานาธิบดีโอบามา และสมเด็จพระราชินีอลิซาเบท  ยิ่งเป็นการปิดล้อมไม่ให้กลุ่มมหาอำมาตย์เปรม  ปฏิบัติการรัฐประหารได้โดยง่ายเหมือนในอดีต  ดังนั้นหากพลเอกเปรมยังดื้อรั้นผลักดันให้เกิดการรัฐประหารทั้งในรูปแบบเก่าและรูปแบบใหม่โดยใช้ศาลและองค์กรอิสระเป็นเครื่องมือเหมือนกับกรณีล้มรัฐบาลนายสมัคร และรัฐบาลนายสมชาย  แล้วก็จะยิ่งก่อให้เกิดการต่อต้านจากประชาชนหนักหน่วงยิ่งขึ้น
กล่าวโดยสรุปแล้วปรากฏการณ์ม็อบเสธ.อ้าย  รวมตลอดทั้งปรากฏการณ์ความรุนแรงทางการเมืองอื่นๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสังคมไทยที่กำลังไถลลืนไปสู่จุดการพังทลายของระบบกษัตริย์ไทยที่ผุโทรมอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก  ปัญหาสำคัญอยู่ที่ประชาชนไทยจะต้องรู้เท่าทันและมิให้ลูกหลานคนไทยต้องบาดเจ็บล้มตายจากการแย่งชิงราชบัลลังก์   โดยความไม่รับผิดชอบของกษัตริย์ภูมิพลที่ไม่ยอมจัดการปัญหาภายในครอบครัวของตนและปล่อยให้เกิดสถานการณ์วิกฤตอย่างเป็นไปเองดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้
กลุ่มเสียงประชาชนไทย (สปท.)
17 พ.ย. 55

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar