måndag 26 november 2012

......เฉลยเรื่อง "ม็อบ ๙๐๑ ม้วนเดียวจอด" ......


...มีเหตุผลใด ? ที่”ม็อบม้วนเดียวจอด”จะต้องเข้าร่วมชุมนุมทางสะพานมัฆวานให้ได้...
ศอ.รส. ได้ประกาศไว้แล้วแต่ต้น ให้ผู้ที่จะเข้าร่วมชุมนุมม็อบเสธ.อ้ายเข้าไปร่วมชุมนุมยังลานพระบรมรูปฯทางด้านวัดเ​บญจฯ และแยกพล1 เท่านั้น เหตุผลหลัก ..เพื่อตรวจสอบอาวุธ

ตำรวจได้ “บล็อก”สถานที่สำคัญๆทางราชการไว้ทั้งหมด โดยเฉพาะทำเนียบรัฐบาล จากประสบการณ์ตรงที่ได้รับจากพวกพันธมิตร ที่เคยเอาทำเนียบเป็นที่แปลงนาปลูกข้าวและแหล่งรวมถุงยาง..สมัยรัฐบาลสมชาย

มีทางเข้าหลัก 2 เส้นทางอย่างนี้ จึงไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่กลุ่มม็อบม้วนเดียวจอด จะเข้าชุมนุมทางสะพานมัฆวาน โดยเฉพาะข้ออ้างที่จะขยายพื้นที่การชุมนุม ยิ่งฟังไม่ขึ้น..เพราะม็อบแค่หลักพัน

ยิ่งข้ออ้างว่า “มันต้องอ้อมไปไกล”ยิ่งฟังไม่ได้ ก็เดินทางจากมาภาคใต้ไกลตั้งหลายร้อยกิโลยังมาได้ กับเพียงเดิมอ้อมไปอีกนิดหน่อยเท่านั้น ..จะเป็นไรไป

ยังไม่ทันถึงเวลา 901 ที่เสธ.อ้ายจะทำพิธีบวงสรวงเทพยดาฟ้าดิน ม็อบกลุ่มนี้ ก็พุ่งดิ่งตรงไปยังสะพานมัฆวานทันที จัดการตัดลวดหนาม เคลื่อนย้ายแบริเออร์ออก ประทะกับตำรวจ ด่าทอ ยั่วยุ ขับรถพุ่งชน ..สุดท้ายใช้แก๊สน้ำตาก่อนเสียอีก

คนมองสถานการณ์อยู่ อย่างตำรวจหรือฝ่ายอื่นที่ไม่ใช่ม็อบ จะคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากสาเหตุเพียง 2 ประการ ที่พยายามจะฝ่าด่านสะพานมัฆวานไปให้ได้ ถึงขนาดขับรถ 6 ล้อพุ่งชนตำรวจ..ก่อความวุ่นวาย


ประการแรก “จุดกระแส ต้องการเรียกแขกมาร่วมงานเพิ่ม ..เพราะแขกน้อยเกิน”

โดยสร้างสถานการณ์ให้ประชาชนที่ดูการถ่ายทอดทีวี อินเตอร์เน็ต ฟังข่าววิทยุอยู่เห็นว่าเจ้าหน้าที่ใช้กำลังทำร้ายผู้ชุมนุม “มือเปล่า”ก่อน จะได้หลั่งไหลมาดุจสายน้ำ ร่วมชุมนุมกับม็อบให้เป็นเรือนแสน ..เรือนล้าน

เห็นได้ทันทีว่า เมื่อตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสกัดกั้นผู้ชุมนุม บรรดาสื่อต่างๆที่เกลียดรัฐบาล รวมทั้งพรรคฝ่ายค้านพรรคหนึ่ง ต่างรีบช่วยกันกระพือเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว เพื่อจุดไฟให้กลายเป็นสถานการณ์ที่รุนแรง ..เรียกมวลชน


ประการที่สอง “ต้องการจะไปยึดทำเนียบรัฐบาล เพื่อไม่ให้นายกฯเข้าทำเนียบ ..เหมือนที่เคยทำสำเร็จ”

เส้นทางนี้ เป็นเส้นทางที่ผ่านทำเนียบรัฐบาล จากราชดำเนินนอก ไปตัดกับแยกถนนพิษณุโลก อันเป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาล ถ้าผ่านเส้นทางนี้ได้ โอกาสเข้าถึงทำเนียบก็ง่ายกว่าด่านอื่นๆ..จึงต้องเปิดให้ได้

จะด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งก็ตาม จึงทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่ประกอบไปด้วยกลุ่มพันธมิตร สันติอโศก และกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์ ต่างร่วมแรงร่วมใจกันจะตีฝ่าด่านสะพานมัฆวานไปให้ได้ เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ..เพื่อเข้าฮอส

แต่อาจด้วยพระสยามเทวาธิราชและพระไทยเทวาธิราช ประสานมือกัน ทำให้กลุ่มม็อบม้วนเดียวจอด ไม่บรรลุเป้าหมาย แม้จะพยายามกระพือโหมข่าวตำรวจทำร้ายประชาชนด้วยแก๊สน้ำตาไปทั่วโลกโซเชียลเน็ตเวิร์​ค..คนก็ไม่มา !

สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาฝันไว้สูงสุด คือ ขอให้ทหารออกมายุติสถานการณ์ และยึดอำนาจ ล้มรัฐบาล แม้แกนนำบนเวทีจะพยายามเรียกร้องชนิดเสียงแหบเสียงแห้งก็แล้ว ให้ทหารออกมา แต่ทหารก็ใจดำ ..ยืนเกาะรั้วดูเฉยๆ


ตำรวจปฏิบัติการอย่างเข็มแข็ง และเป็นไปโดยละมุนละม่อม ตามขั้นตอน ไม่ลุแก่โทสะ พร้อมทั้งบันทึกภาพ เสียง เหตุการณ์ต่างๆไว้อย่างละเอียด เพื่อป้องกันตัวเองไว้แล้ว..เพราะรู้เล่ห์กลของคนเหล่านี้

สุดท้าย การแช่แข็งประเทศของ “ม็อบม้วนเดียวจอด” ก็ถึงคราเอวัง เมื่อไม่มีคนเข้ามาเพิ่ม แถมยังมีคนทยอยออกจากที่ชุมนุมเรื่อยๆ จนเหลือบางตา เพราะรังเกียจคำด่าทอที่หยาบคาย ไร้สาระ ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีจุดยืน ซ้ำฝนกระหน่ำเหมือนฟ้ารั่ว..เสธ.ประกาศปิดม่าน

ตอนจบของม็อบ ค่อนข้างเศร้า เมื่อกลุ่มฮาร์ดคอร์กว่า 130 คน ถูกตำรวจจับกุมไปดำเนินคดี ส่วนแกนนำต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ทิ้งผู้ชุมนุมให้นั่งมองตากันปริบๆ ไม่รู้จะทำอะไรต่อ จนต้องเป็นภาระของรัฐบาล ..จัดรถพาไปส่งถึงบ้าน

นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า เกลียดรัฐบาลได้ ด่ารัฐบาลได้ แต่อย่ามาร่วมกันล้มรัฐบาลแบบผิดกฎหมาย นอกจากไม่มีอะไรที่ดีขึ้นแล้ว ท่านจะยังได้ข้อหาเป็นกบฎติดตัวไปด้วยอีก ..เชื่อผมเถอะ !!!

................................................................................................................................................................


แม้ทุกอย่างจะหยุด ลงตามคำประกาศยุติชุมนุมโดยเสธ.อ้าย แต่ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งมวลชนและองค์กรภาคีเครือข่ายพากันสับสนและถามหา เหตุผลกันให้วุ่น


"อยากจะกล่าวว่าเสียใจ และพล.อ.บุญเลิศ มันได้ตายไปแล้ว" คือคำกล่าวสั้นๆ ของ "เสธ.อ้าย" พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ที่ขึ้นกล่าวบนเวทีเมื่อเย็นวานนี้ (24 พ.ย.) หลังประกาศยุติการชุมนุม ท่ามกลางความไม่พอใจของมวลชน

แม้ทุกอย่างจะต้องสะดุดหยุดลงอย่างฉับพลันทันทีตามคำประกาศของแกนนำผู้ ชุมนุมอย่าง เสธ.อ้าย แต่ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งมวลชน และองค์กรภาคีเครือข่ายล้วนพากันสับสนต่อท่าทีของเขา และถามหาเหตุผลกันให้วุ่น
เบื้องหลังที่ต้องว่ากันตรงไปตรงมาก็คือ ความล้มเหลวในการชุมนุมครั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจาก "เหตุภายใน" มากกว่าเหตุปัจจัยภายนอก

ก่อนอื่นต้องส่องกล้องเข้าไปดูภายในขบวนการ "วันพิพากษา ขับไล่รัฐบาลนอมินีทักษิณ" เสียก่อน จะพบว่ามีองค์ประกอบ 2 ส่วนคือ "ทหารแก่" กับ "นักเคลื่อนไหวภาคประชาชน"
จุดเริ่มต้นขององค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) มีแกนนำหลัก 4 คน คือ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธาน อพส. สมพจน์ ปิยะอุย อดีตเจ้าของหนังสือพิมพ์ชาวไทย และเป็นนายทุน "ขบวนการ 26 มีนาคม 2520" โดยการนำของ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ


เมื่อ 35 ปีที่แล้ว "เสธ.อ้าย" เป็นนายทหารยศพันตรี นำกำลังทหารจากกองพลทหารราบที่ 9 เข้ามายึดอำนาจแต่ไม่สำเร็จ และทั้งคู่โคจรมาพบกันอีกครั้งในนามองค์การพิทักษ์สยาม

แกนนำหลักอีก 2 คนเป็นนายทหาร คือ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ อดีตรอง ผบ.ทหารสูงสุด เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 1 รุ่นเดียวกับ "เสธ.อ้าย" และ "เสธ.ต๋อย" พล.อ.ณัฐชัย เพิ่มทรัพย์ อดีตหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำ ผบ.สส. เป็นเตรียมทหารรุ่น 6 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ผู้ที่จุดประกายให้ "เสธ.อ้าย" จัดตั้งองค์การพิทักษ์สยาม ได้แก่ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงษ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี และ บวร ยสินทร แกนนำเครือข่ายพลเมืองปกป้องสถาบัน

ต่อมา พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา และ "ติ๊งต่าง" กาญจนี วัลยเสวี แกนนำกลุ่มสยามสามัคคี ได้ประสานให้ "เสธ.อ้าย" เป็นผู้นำจัดการชุมนุมมวลชนในนามองค์การพิทักษ์สยาม จึงเกิดการชุมนุม "รวมพลคนทนไม่ไหว" ที่สนามม้านางเลิ้ง เมื่อ 28 ต.ค.2555

แต่การชุมนุมครั้งแรก ก็มีร่องรอยของความขัดแย้ง เมื่อแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ประกาศไม่เข้าร่วมด้วย เพราะมองว่ากลุ่มที่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมคือพรรคประชาธิปัตย์
บังเอิญว่าการ "รวมพลคนทนไม่ไหว" มีผู้เข้าร่วมหลายหมื่นคน จึงทำให้แกนนำองค์การพิทักษ์สยามและเครือข่ายที่เข้าร่วมเกิดความคึกคัก อย่างมาก

ถนนทุกสายมุ่งสู่สนามม้านางเลิ้ง สาเหตุที่ต้องพูดอย่างนี้ เพราะบรรดา "นักเคลื่อนไหว" ที่มีชื่อเสียงจากเวทีพันธมิตรโค่นล้มระบอบทักษิณ ปี 2549 ต่างตบเท้าเข้าไปรายงานตัวกับ "เสธ.อ้าย" กันเป็นทิวแถว

ในที่สุด องค์การพิทักษ์สยามจึงขยาย "ภาคีเครือข่าย" ออกไปจนทำให้เกิด "วอร์รูม 30 อรหันต์" ที่มีตัวแทนมาจากหลายองค์กร อาทิ สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย นำโดย สมบูรณ์ ทองบุราณ และไทกร พลสุวรรณ
เครือข่ายช่องทีนิวส์ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เจ้าของสำนักนำทีมนักกิจกรรมมวลชน อาสาประสานงานมวลชนต่างจังหวัด และกลุ่มรากหญ้าในเมือง

อีกส่วนหนึ่งมาจากปีกแนวร่วมพันธมิตรเก่า ที่เปิดหน้าให้เห็นคือ พิเชษฐ์ พัฒนโชติ อดีต ส.ว.นครราชสีมา กิมอัง พงษ์นารายณ์ แกนนำชาวนาภาคกลาง และสุนทร รักษ์รงค์ อดีตแกนนำพันธมิตร 16 จังหวัดภาคใต้
อันที่จริงมี "แนวร่วมเสื้อเหลือง" คนดังอีกนับสิบที่แอบเข้าไปนั่งอยู่ใน "วอร์รูม 30 อรหันต์" แต่พวกเขาไม่ยอมเปิดเผยตัว ยกเว้น น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ และ ธัญญา ชุนชฎาธาร อดีตกบฏ 14 ตุลาฯ

การออกแบบการชุมนุม 24 พ.ย.นั้น มีผู้เสนอความเห็นมากมาย แต่สุดท้ายก็ขึ้นกับการตัดสินใจของ "เสธ.อ้าย" คนเดียว เพราะเป็น "ผู้กุมยุทธปัจจัย" ในการขับเคลื่อนครั้งนี้

ด้วยเหตุนี้บรรดา "จอมยุทธ์งานมวลชน" ทั้งหลายจึงพุ่งตรงเข้าหา "เสธ.อ้าย" เพื่ออาสาทำงานใหญ่ แต่บ่อยครั้งที่ไม่ประสานกัน และแย่งชิงการนำ จึงทำให้ "คำขวัญ" และ "ยุทธวิธี" ในการต่อสู้ไม่เป็นเอกภาพ

ในที่สุดการชุมนุมวันพิพากษาก็มาถึง อำนาจการนำทุกอย่างก็รวมศูนย์อยู่ฝ่ายทหาร ที่มี พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์, พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์, พล.อ.ณัฐชัย เพิ่มทรัพย์, พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ, พล.ท.บุญยัง บูชา และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ แต่ภายหลัง น.ต.ประสงค์ หายตัวไปจากรถบัสเล็กที่ดัดแปลงเป็นกองบัญชาการม็อบเสธ.อ้าย

ปัญหาการปะทะกันที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ในตอนเช้า สะท้อนปัญหาการจัดหน่วยรักษาความปลอดภัย หรือ "การ์ด" ที่ได้แบ่งความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายทหารแก่ กับฝ่ายนักเคลื่อนไหวมวลชน โดยระบุไว้ต้องใช้การ์ด 2 พันคน แบ่งเป็นฝ่ายทหาร 1,500 คน และฝ่ายนักเคลื่อนไหว 500 คน ไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้น เมื่อเกิดเหตุเผชิญหน้า กลับไม่มีการ์ด โดยเฉพาะ "การ์ดบุก" และมีแต่ "การ์ดรับ" จึงทำให้การขยายพื้นที่การชุมนุมกระทำการไม่สำเร็จ

"การ์ดบุก" หายไปไหน? ทั้งที่มีการพูดคุยกันแล้วเรื่องจะมีการจัดหาคน เพื่อจัดวางกำลังไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาจริง กลับไม่มีการ์ดมาดูแลมวลชนมากเท่าที่วางแผนกันไว้

จุดเปลี่ยนของม็อบเสธ.อ้ายอยู่ในช่วงบ่าย เมื่อ "สมณะโพธิรักษ์" ได้เข้าไปดูแลและคอยเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมด้วย ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ และ "เสธ.จ๊อด" กิตติชัย ใสสะอาด อดีตการ์ดพันธมิตรฯ แต่มีการปะทะและตำรวจโยนแก๊สน้ำตาใส่ จนทำให้ สมณะโพธิรักษ์ ก็ได้รับผลกระทบจากแก๊สน้ำตาเช่นกัน
ในที่สุด "พ่อท่าน" สมณะโพธิรักษ์ เป็นศูนย์กลางที่ให้ความคิดชี้นำทุกอย่าง และสมาชิกกองทัพธรรม จึงเปิดใจคุยกับ "เสธ.อ้าย" อันเป็นที่มาของการยุติการชุมนุมครั้งนี้

เรียกว่าปราชัยหมดรูปทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี!

เครดิต http://www.bangkokbi...2%E0%B8%A2.html

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar