måndag 31 mars 2014
ขอบคุณเรื่องอะไร???? มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งที่ดูจะไม่ค่อยมีใครสนใจนัก แต่ผมกลับเห็นว่าข่าวเล็กๆ นี้ สะท้อนมิติที่ลึกซึ้งของสังคมไทยในขณะนี้อย่างชัดเจนยิ่ง และยังเป็นคำอธิบายส่วนหนึ่งว่าทำไมชนชั้นอำมาตย์ศักดินาไทยจึงคิดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปวงชนชาวไทยที่ไม่สยบแทบเท้าของเขาถึงขนาดนี้:
ขอบคุณเรื่องอะไร
จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair
มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งที่ดูจะไม่ค่อยมีใครสนใจนัก แต่ผมกลับเห็นว่าข่าวเล็กๆ นี้ สะท้อนมิติที่ลึกซึ้งของสังคมไทยในขณะนี้อย่างชัดเจนยิ่ง และยังเป็นคำอธิบายส่วนหนึ่งว่าทำไมชนชั้นอำมาตย์ศักดินาไทยจึงคิดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปวงชนชาวไทยที่ไม่สยบแทบเท้าของเขาถึงขนาดนี้:
“...เมื่อวันที่ ๒๘ มี.ค. นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่านายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส. ได้ทำหนังสือขออนุญาตเข้าสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๗ ในบริเวณรัฐสภา ในวันที่ ๒๙ มี.ค. มายังตนแล้ว ทั้งนี้ ตนได้อนุญาตให้เข้ามาทำกิจกรรมได้ตามที่แจ้งมาคือส่งตัวแทนของมวลมหาประชาชน จำนวน ๕๐ คน เข้าสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๗ ในบริเวณรัฐสภา ช่วงเวลาประมาณ ๑๒.๐๐-๑๔.๐๐ น. สำหรับการดูแลความปลอดภัยได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาดูแลอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นได้ประสานไปยังทหาร และตำรวจในพื้นที่ให้เข้ามาช่วยดูแลด้วย ดังนั้นจึงมั่นใจว่าการทำกิจกรรมทางการเมืองในพื้นที่รัฐสภาจะไม่มีปัญหาใดๆ อย่างที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้...”
ถ้านำข้อความสั้นๆ มาวิเคราะห์ถอดรหัสกันเหมือนวิชาการใช้ภาษาไทย เราคงแบ่งเป็นข้อๆ ได้ว่า:
๑. กปปส. ประสานขอส่งคน ๕๐ คนเคารพรูปรัชกาลที่ ๗
๒. เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรอนุญาต
๓. เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรสั่งดูแลความปลอดภัยโดยใช้กำลังทั้งตำรวจและทหาร
เมื่อแบ่งเป็นท่อนๆ และคิดแยกส่วนให้ดี ก่อนจะนำมาประมวลเป็นองค์รวมอีกครั้ง เราจะพบว่าเรื่องนี้มีความแปลกประหลาดอยู่ในตัวเองหลายแง่ ตั้งแต่แง่เล็กไปถึงแง่ใหญ่
แง่เล็กๆ ประการแรกคือ ทำไมการเข้าไปเคารพรูปปั้นในสถานที่ราชการจึงเป็นเรื่องใหญ่โตที่ต้องเกร็งกันถึงขนาดนั้น คน ๕๐ คนที่เดินเข้าไปวางพวงมาลาหรือพานพุ่มอะไรก็ตามทีนั้น จะทำอะไรเลวร้ายถึงขนาดที่ต้องระดมกำลังตำรวจและทหารเข้ามาดูแลได้ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรู้อะไรมากกว่าที่เรารู้กันภายนอกหรือไม่ สภาผู้แทนราษฎรขณะนี้ก็ถูกยุบไปแล้ว ไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเหลือแม้แต่คนเดียวในรัฐสภา สมาชิกวุฒิสภาสายคณะรัฐประหาร (พ.ศ.๒๕๔๙) ที่เข้าทำงานตามคราว ก็มีท่าทีในทางการเมืองที่ไม่ต่างอะไรเลยกับ กปปส. เพราะรับงานมาจากเจ้านายเดียวกัน แล้วการอารักขาขนาดนั้นมีความจำเป็นอย่างไร เรื่องนี้ผมไม่ได้ตั้งคำถามต่อวิจารณญาณของท่านเลขาธิการสภาฯ แต่ตั้งข้อสังเกตต่อสถานการณ์จริงที่มวลชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับรู้ เว้นแต่ข่าวลือที่ฉวัดเฉวียนอยู่ในโลกไซเบอร์
ประการที่สองคือจังหวะเวลา นี่ก็มิใช่วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ (ฉบับเจ้าและขุนนางเก่า) คือวันที่ ๑๐ ธันวาคม ซึ่งมีธรรมเนียมให้คนทั้งหลายมาวางพานพุ่มขอบคุณกัน การแสดงความคารวะต่อรัชกาลที่ ๗ ในเวลาเช่นนี้ สื่อความหมายว่า ระบอบอำมาตย์ศักดินาไทยต้องการบอกว่า ประชาธิปไตยไม่ได้มาจากประชาชน แต่มาจากตนเองใช่หรือไม่ ใครก็ตามที่เขียนบทให้ กปปส. เดินเกมหริือสั่งการลงมาให้ปฏิบัติ เขาต้องการสื่อสารเช่นนี้ใช่หรือไม่
ส่วนแง่คิดที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งพูดเพียงประเด็นเดียวก็คงพอ นั่นคือคุณค่าด้านการพัฒนาประชาธิปไตยของรัชกาลนั้น ปัญญาชนอย่าง ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เป็นต้น พยายามที่จะอธิบายครอบความคิดของสังคมไทยมาตลอดว่า ระบอบประชาธิปไตยนี้เกิดขึ้นจากฝีมือและความเมตตากรุณาของอำมาตย์ศักดินา ไม่ใช่ขบวนการมวลชนที่ลุกขึ้นมาทวงส่วนแบ่งความเป็นเจ้าของรัฐอย่างที่เกิดขึ้นมาตั้ง ร.ศ.๑๓๐ มาจนถึงในนาทีนี้ และพระเจ้าอยู่หัวประชาธิปกหรือรัชกาลที่ ๗ ถือเป็นกลจักรสำคัญที่คิดเรื่องการให้ประชาธิปไตยกับชาวสยาม จนต้องมาสร้างอนุสาวรีย์ไว้หน้ารัฐสภา ให้ตราติดไว้บนหน้าผากและเตือนให้กราบขอบคุณกันอยู่อย่างไม่รู้จักจบสิ้น ข้อสรุปนี้เป็นเท็จ เราได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญที่พระเจ้าอยู่หัวประชาธิปกเตรียมไว้และอ้างว่าเตรียมจะพระราชทานให้ เราจึงรู้ว่าฉบับนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นราชาธิปไตยที่เขียนซ่อนเอาไว้อย่างแยบยล ไม่ต่างอะไรจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ในปัจจุบัน พูดให้ง่ายก็คือเป็นวิธีเอาตัวรอดของอำมาตย์ศักดินาในขณะนั้น ซึ่งฉลาดพอที่รู้ว่าตนต้องแสดงละครฉากใหญ่ระดับชาติฉากหนึ่ง เพื่อกลบเกลื่อนมิให้สังคมได้พฤติกรรมที่มีลักษณะขัดขวางประชาธิปไตยของตน และยังเกณฑ์เนติบริกรโหนราชสำนักมาโฆษณาว่าฝ่ายตนเองนี่ล่ะที่ต้องการให้เกิดประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยสยาม ไม่มีวันจะเกิดได้ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ เป็นอันขาด
จึงสงสัยว่า กปปส. ไปแสดงความสักการะเรื่องอะไร นี่ถ้าบอกกันตรงๆ ว่าไปรับงานเพิ่มเติมเพื่อหาทางฟื้นฟูระบอบการปกครอง ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ โดยอาสากำจัดกวาดล้างฝ่ายประชาธิปไคยให้ราบคาบ ยังจะเข้าใจได้ง่ายกว่า.
*******************************************
ที่มา: http://bit.ly/1lx3tTe
Prenumerera på:
Kommentarer till inlägget (Atom)
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar