ตีพิมพ์ครั้งแรกในโลกวันนี้ วันสุข 9 พฤษภาคม 2557
รูปแบบการต่อสู้กันระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตยของไทยตั้งแต่ปี 2549 คือ การปะทะใหญ่สามครั้ง ซึ่งประกอบด้วยการรุกโดยฝ่ายเผด็จการ
“ล้อมตีเพื่อทำลาย” ฝ่ายประชาธิปไตย ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยก็ทำการรับด้วยการ
“ต่อต้านการล้อมตี” เพื่ออยู่รอด รักษากำลังและขยายตัวเข้มแข็งขึ้น
การปะทะใหญ่ครั้งแรกปี 2549 ฝ่ายเผด็จการใช้กลไกศาล
ตุลาการ มวลชนเสื้อเหลือง “ล้อมตี” รัฐบาลพรรคไทยรักไทยและ “ชนะชั่วคราว”
ด้วยรัฐประหาร 19 กันยายน แม้พลังประชาธิปไตย
“แพ้ชั่วคราว” แต่ก็สามารถก่อตัวขึ้นเป็นฐานมวลชนที่เป็นรูปธรรมแล้วขยายใหญ่ขึ้น จนกลับมาชนะการเลือกตั้ง
จัดตั้งรัฐบาลพรรคพลังประชาชนได้สำเร็จในต้นปี 2551
การล้อมตีครั้งแรกของฝ่ายเผด็จการจึงประสบความพ่ายแพ้และ “การต้านการล้อมตี” โดยฝ่ายประชาธิปไตยประสบชัยชนะ
มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและสร้างฐานมวลชนจัดตั้งเริ่มแรกได้
การปะทะใหญ่ครั้งที่สองประกอบด้วยการโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนปี
2551 และการสังหารหมู่ประชาชนเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 ในครั้งนี้ ฝ่ายเผด็จการใช้มวลชนเสื้อเหลือง ศาล ตุลาการ และทหาร
เข้า “ล้อมตี” และโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชน สถาปนารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้น ฝ่ายเผด็จการจึง
“ชนะชั่วคราว” เป็นครั้งที่สอง แต่เนื่องจากพวกเขาได้สูญเสียความชอบธรรมจากรัฐประหาร
2549
ไปมากแล้ว จึงไม่สามารถก่อรัฐประหารอย่างเปิดเผยโดยทหารซ้ำได้อีก
ทำได้เพียง “รัฐประหารเงียบ จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร”
โดยที่จำต้องรักษาระบบการเมืองแบบเลือกตั้งและเปลือกนอกที่เป็นระบอบรัฐสภา
เอาไว้
เปิดช่องให้ฝ่ายประชาธิปไตยทำการถอย รักษากำลัง ฟื้นตัว
แล้วพัฒนาขยายตัวกลายเป็น
ขบวนประชาธิปไตยเสื้อแดง ที่มีขนาดใหญ่โต
แต่
เมื่อฝ่ายประชาธิปไตยขยายกำลังเข้มแข็ง
กระทั่งสามารถกลับมาเผชิญหน้าโดยตรงกับเผด็จการได้เป็นครั้งแรกด้วยการก่อ
การชุมนุมใหญ่เรียกร้องให้ยุบสภาในต้นปี
2553 ฝ่ายเผด็จการซึ่งมีรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นหุ่นเชิด
จึงใช้โอกาสนี้ยกระดับ “ชัยชนะจากการล้อมตีทางการเมือง”
(โค่นรัฐบาลพรรคพลังประชาชน) ไปสู่ “การล้อมปราบทางทหาร” ใช้กำลังอาวุธสงครามเข้าบดขยี้การชุมนุมและสังหารประชาชนโดยตรง
ตามมาด้วยการจับกุมคุมขังแกนนำและประชาชนทั่วประเทศอีกจำนวนหลายร้อยคน
ในช่วงกลางปี 2553 ฝ่ายเผด็จการจึง
“ชนะชั่วคราวทั้งทางการเมืองและทางทหาร” ถึงกระนั้น แม้ฝ่ายประชาธิปไตยจะถูกปราบปรามอย่างหนักและ
“แพ้ชั่วคราว” ประสบความเสียหายในระดับหนึ่ง แต่ก็สามารถฟื้นคืนกลับมาเข้มแข็ง
ขยายฐานมวลชนและการจัดตั้งให้เติบใหญ่ได้รวดเร็วและกว้างขวางยิ่งกว่าก่อนการชุมนุมใหญ่ปี
2553 เสียอีก สามารถผลักดันให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง
3 กรกฎาคม 2554 จัดตั้งรัฐบาลอย่างชอบธรรมได้อีกครั้ง
การ
ปะทะใหญ่ครั้งที่สองจึงยุติลง
ฝ่ายเผด็จการประสบความพ่ายแพ้เมื่อการล้อมตีทั้งทางการเมืองและทางการทหาร
เพื่อทำลายขบวนประชาธิปไตยล้มเหลว
ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยสามารถเปลี่ยนความพ่ายแพ้ทางการทหารให้เป็นชัยชนะทาง
การเมือง
ชนะเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาล
พร้อมด้วยฐานมวลชนสนับสนุนที่เข้มแข็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
การปะทะใหญ่ครั้งที่สามเริ่มขึ้นเมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกระทำความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ด้วยการผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง
เปิดโอกาสให้ฝ่ายเผด็จการก่อการรุก “ล้อมตี” ด้วยมวลชน ศาล ตุลาการ และทหาร
อีกครั้ง แต่การปะทะใหญ่ครั้งนี้มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากการปะทะใหญ่ในสองครั้งแรกหลายประการ
ประการแรก
การปะทะกันระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตยครั้งนี้
ได้มีความเกี่ยวพันไปถึงความขัดแย้งและปัญหาการ
“ถ่ายโอนสถานะและอำนาจระดับสูง”
ภายในหมู่ผู้ปกครองไทยอย่างชัดเจน จริงอยู่ว่า
ความเกี่ยวพันระหว่างปัญหาประชาธิปไตยกับปัญหาขัดแย้งในหมู่ผู้ปกครองดัง
กล่าวก็ได้ดำรงอยู่ในการปะทะใหญ่สองครั้งแรกด้วย
แต่ในครั้งนั้น ความขัดแย้งภายในผู้ปกครองยังมีอิทธิพลเป็นเพียง
“พื้นภูมิหลัง”
ที่ยังไม่ปะทุออกมาอย่างเปิดเผย แต่ในการปะทะกันครั้งนี้
ปัญหาดังว่าได้ปรากฏเด่นชัดขึ้น
จนกลายเป็นกระแสความขัดแย้งที่สำคัญควบคู่ไปกับความขัดแย้งระหว่างเผด็จการ
กับประชาธิปไตย
ยิ่งกว่านั้นคือ
การแบ่งฝ่ายภายในหมู่ผู้ปกครองและกองทัพในปัญหาดังกล่าวยังแสดงออกอย่าง
ชัดเจนว่า
มีการ “เรียงตัว”
ที่สอดคล้องกับการแยกเป็นค่ายเผด็จการกับค่ายประชาธิปไตยพอดีอีกด้วย
ความขัดแย้งในหมู่ผู้ปกครองดังกล่าวมีนัยสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อผลลัพธ์ของการต่อสู้ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตยในขั้นตอนปัจจุบัน
ประการที่สอง ในการปะทะใหญ่ครั้งนี้ ฝ่ายเผด็จการได้สรุปบทเรียนแล้วว่า
การที่พวกเขาประสบความพ่ายแพ้ในการปะทะใหญ่สองครั้งแรกก็เพราะพวกเขายังใช้เปลือกนอกของระบบรัฐสภาและการเมืองแบบเลือกตั้ง
ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นสนามรบที่ฝ่ายประชาธิปไตยเข้มแข็ง
แต่พวกเขาอ่อนแอและไม่สามารถเอาชนะได้
ในครั้งนี้ จุดมุ่งหมายของพวกเขาจึงเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” มิเพียงแต่ทำลายพรรคเพื่อไทยและขบวนประชาธิปไตยเท่านั้น
แต่มุ่งที่จะยกเลิกการเมืองแบบเลือกตั้งและระบบรัฐสภา สถาปนาระบอบเผด็จการอย่างเปิดเผยขึ้นมา
พวกเขาใช้ทุ่มกำลังสุดตัว ระดมกลไกและเครือข่ายเท่าที่มีอยู่ทั้งหมดของตน ทั้งตุลาการ
ศาลรัฐธรรมนูญ กลุ่มมวลชนและทหาร แม้แต่องค์กรและเครือข่ายที่มิได้แสดงบทบาทในอดีต
เช่น ปปช. ศาลยุติธรรม เครือข่ายผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐ ผู้บริหารโรงเรียนและโรงพยาบาล
ตลอดจนเครือข่ายข้าราชการระดับสูง รัฐวิสาหกิจ สื่อมวลชน และวงการบันเทิง ประกอบขึ้นเป็นการล้อมตีที่มีขนาดใหญ่โต
น่าประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ประการที่สาม
แม้ฝ่ายเผด็จการจะระดมกำลังใหญ่ที่สุด ดูเข้มแข็งน่ากลัวที่สุด ก็เป็นเพียงปรากฏการณ์ภายนอกเท่านั้น
แต่เนื้อในนั้น ฝ่ายเผด็จการได้อ่อนกำลังลงอย่างมาก จากที่เคยเข้มแข็งที่สุดในการปะทะครั้งแรกปี
2549 ที่สามารถทำรัฐประหารได้สำเร็จโดยง่าย
มาสู่การปะทะครั้งที่สองปี 2551-53
ที่พวกเขาไม่สามารถทำรัฐประหารแบบเปิดเผยโดยทหารได้ แต่ยังสามารถบัญชากำลังอาวุธให้สังหารประชาชนได้
จนถึงในการปะทะใหญ่ครั้งนี้ ซึ่งพวกเขาก็ยังไม่สามารถทำได้ทั้งรัฐประหารที่เปิดเผยหรือรัฐประหารเงียบ
แม้แต่รัฐประหารด้วยตุลาการ คือการใช้ศาลรัฐธรรมนูญและปปช.ก็ประสบอุปสรรคและแรงต่อต้านอย่างหนักทั้งจากประชาชนและจากประชาคมนานาชาติ
ขณะที่ฐานมวลชนของพวกเขาที่ช่วงแรกดูเหมือนยิ่งใหญ่อลังการ ก็พิสูจน์แล้วว่า ผิวเผินและชั่วคราวเท่านั้น
บัดนี้ ดุลกำลังทางการเมืองระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตยจึงได้เข้าสู่สภาวะ
“หมากตายทางยุทธศาสตร์” ที่ทั้งสองฝ่ายยันกันและไม่สามารถเอาชนะกันได้โดยทันที การปะทะกันครั้งนี้จะมีผลลัพธ์ในท้ายสุดเป็น
“การแพ้หรือชนะชั่วคราว” ของแต่ละฝ่ายอีกครั้ง
หรือจะเป็น “ชัยชนะถาวร” ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ย่อมขึ้นอยู่กับว่า ขบวนประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ พรรคเพื่อไทย
จะดำเนินการต่อสู้ทางยุทธวิธีอย่างถูกต้องเพื่อต้านการล้อมตี
แล้วกลับมาเป็นฝ่ายรุกทางยุทธศาสตร์ได้หรือไม่
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar