söndag 30 april 2017

แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สมเด็จพระราชินีฯ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ประทับ รพ.จุฬาฯ

แถลงการณ์สำนักพระราชวัง สมเด็จพระราชินีฯ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ประทับ รพ.จุฬาฯ

"กงจักรปีศาจ...เก้าแผ่นดิน".. ตอน ๑-๙

ความเป็นมาของวงค์จักรี ตอนที่ ๑

พระเจ้าตาก : กษัตริย์ผู้กอบกู้บ้านเมือง
หลังกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแก่พม่าในปี พ.ศ.๒๓๑๐ พระเจ้าตากสินได้รวบรวมผู้คนและนักรบต่อสู้ขับไล่พม่าอย่างเด็ดเดี่ยวจนกอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จ จากนั้นก็ใช้เวลาอีก ๑๕ ปี กรำศึกสงครามรวบรวมหัวเมืองต่างๆที่กระจัดกระจาย ขณะเดียวก็ต้องทำศึกใหญ่กับพม่าหลายครั้ง จนสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่บ้านเมือง พร้อมกับทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างขนานใหญ่ พระองค์เป็นพุทธบริษัทที่ดี เมื่อว่างเว้นจากราชการแผ่นดิน พระองค์จะไปทรงศีลบำเพ็ญพระกรรมฐานที่วัดบางยี่เรือเป็นนิจ (๑)
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๒๓ ทางเมืองเขมรเกิดกบฏขึ้นโดยการยุยง แทรกแซงของญวนฝ่ายองเชียงสือ เป็นการหากำลังและเสบียงขององเชียงสือ เพื่อทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่กับญวนฝ่ายราชวงศ์ไต้เชิง(เล้) ขณะเดียวกันในกรุงธนบุรีเอง องเชียงชุน(พระยาราชาเศรษฐี)ซึ่งเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าตาก ได้ก่อกบฏขึ้นในเดือนอ้าย พ.ศ.๒๓๒๔ หลังจากทำการปราบปรามกบฏสำเร็จในเดือนยี่ พระเจ้าตากได้พิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ และทรงตัดสินพระทัยให้กองทัพไทยยกไปตีเมืองเขมรและไปรับมือญวนให้เด็ดขาดลงไป จึงทรงแต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระมหาอุปราช องค์รัชทายาทเป็นแม่ทัพใหญ่ (๒) เจ้าพระยาจักรี(ด้วง) (๓) เจ้าพระยานครสวรรค์ เจ้าพระยาสาศรี(บุญมา น้องชายเจ้าพระยาจักรี)เป็นแม่ทัพรองๆลงมา ในครั้งนั้นแม่ทัพใหญ่พยายามรุดหน้าไปตามพระราชโองการ แต่ติดขัดที่แม่ทัพรองบางนายพยายามยับยั้ง เพื่อคอยฟังเหตุการณ์ทางกรุงธนบุรี ส่วนทางญวนซึ่งไม่ต้องการเผชิญศึก ๒ ด้าน ทั้งไทยและญวนราชวงศ์เล้ ได้แต่งทูตมาเจรจาลับกับแม่ทัพรองฝ่ายไทย ทางแม่ทัพรองตกลงจะช่วยเหลือองเชียงสือในอนาคต หากงานที่เตรียมไว้สำเร็จ ทางญวนได้ทำตามสัญญาด้วยการล้อมกองทัพมหาอุปราชองค์รัชทายาทอย่างหนาแน่น เปิดโอกาสให้แม่ทัพรองฝ่ายไทยยกกำลังกลับกรุงธนบุรี (๔)
เหตุการณ์ในกรุงธนบุรี เกิดมีผู้ยุยงชาวกรุงเก่าให้เกิดความเข้าใจผิดในพระเจ้าตากและชักชวนกบฏย่อยๆขึ้น จากนั้นก็ยกพลมาล้อมยิงพระนคร ขณะเดียวกันภายในกรุงธนบุรีเองก็มีคนก่อจลาจลขึ้นรับกับกบฏ พระเจ้าตากทรงบัญชาการรบจนถึงรุ่งเช้า จึงทราบว่าพวกกบฏเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น ก็สลดสังเวชใจ เพราะพระทัยทรงตั้งอยู่ในธรรมปฏิบัติมุ่งโพธิญาณเป็นสำคัญ และทรงเห็นว่าหากการเปลี่ยนแปลงอำนาจนั้นไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ชาวไทย พระองค์จะทรงหลีกทางให้ พวกกบฏจึงทูลให้ออกบวชสะเดาะเคราะห์สัก ๓ เดือนแล้วค่อยกลับสู่ราชบัลลังก์ ขณะนั้นพระยาสรรคบุรี พระยารามัญวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ยังอยู่ในกรุงและมีความภักดีต่อพระเจ้าตาก เห็นเป็นการคับขัน จำต้องผ่อนคลายไปตามสถานการณ์
หลังจากบวชได้ ๑๒ วัน พระยาสุริยอภัยหลานเจ้าพระยาจักรี ยกทัพมาโดยมิได้รับพระบรมราชานุญาต เกิดการรบพุ่งกับกำลังของกรุงธนบุรีและได้รับชัยชนะ จากนั้นอีก ๓ วันคือเข้าวันที่ ๖ เมษายน เจ้าพระยาจักรี(ด้วง)ซึ่งเลี่ยงทัพจากสงครามเขมรมาถึงกรุงธนบุรี ได้มีการสอบถามความเห็นกัน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ยังจงรักภักดีและเชื่อในปรีชาสามารถของพระเจ้าตาก ต่างยืนยันให้อัญเชิญพระองค์มาครองราชย์ต่อไป แต่ข้าราชการเหล่านี้กลับถูกคุมตัวไปประหารชีวิต เช่น เจ้าพระยานครราชสีมา(บุญคง ต้นตระกูลกาญจนาคม), พระยาสวรรค์ (ต้นตระกูลแพ่งสภา), พระยาพิชัยดาบหัก (ต้นตระกูลพิชัยกุลและวิชัยขัทคะ), พระยารามัญวงศ์ (ต้นตระกูลศรีเพ็ญ) เป็นต้น จำนวนกว่า ๕๐ นาย
พระเจ้าตากก็ถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศพระภิกษุในวันนั้นเอง ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้งและอัญเชิญพระศพไปฝังที่วัดอินทรารามบางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง ส่วนราชวงศ์ที่เป็นชายและเจริญวัยทั้งหมดถูกจับปลงพระชนม์หมด นอกนั้นให้ถอดพระยศ แม้กระทั่งสมเด็จพระราชินีและสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา (๕) เมื่อข่าวนี้ทราบไปถึงเจ้าพระยาอินทวงศา อัครมหาเสนาบดีฝ่ายกลาโหมซึ่งตั้งบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระใกล้เมืองถลาง ก็ได้ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่น
เมื่อข่าวการปลงพระชนม์พระเจ้าตากแพร่ออกไป เมืองตะนาวศรีและเมืองมะริดอันเป็นเมืองสำคัญทางตะวันตก ก็ตกไปเป็นของพม่าในปีนั้นเอง และเนื่องจากพันธะสัญญาที่ทำไว้กับญวนอย่างลับๆ ไทยจึงต้องช่วยญวนฝ่ายองเชียงสือรบกับญวนฝ่ายราชวงศ์เล้ถึง ๒ ครั้ง รวมทั้งการช่วยอาวุธยุทธภัณฑ์อีกนับไม่ถ้วน พอครั้นญวนฝ่ายองเชียงสือมีกำลังกล้าแข็งขึ้น ไทยกลับต้องเสียเมืองพุทไธมาศและผลประโยชน์อีกมากมายแก่ญวนไป (๖)  โอ้อนิจจา .... เรื่องนี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ
ด้วยความเหิมเกริมทะยานอยากได้อำนาจสูงสุด เจ้าพระยาจักรีจึงเป็นกบฏ ทรยศต่อพระเจ้าตาก กษัตริย์ผู้กู้ชาติไทย กระทำการเข่นฆ่าล้างโคตรอย่างโหดเหี้ยม อำมหิตที่สุด ซ้ำยังเสริมแต่งใส่ร้ายพระเจ้าตาก ว่าวิปลาสบ้าง (๗) กระทำการมิบังควรแก่สงฆ์บ้าง วิกลจริตในการบริหารราชการบ้าง จากนั้นก็ตั้งตนเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ และเริ่มสร้างพระราชวังใหม่ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นจุดเริ่มต้นของการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ “ราชวงศ์จักรี”
และด้วยความโหดร้ายบนเลือดเนื้อและชีวิตของกษัตริย์ในเพศพระภิกษุ กษัตริย์องค์ต่อๆมาในราชวงศ์จักรีจึงเต็มไปด้วยความบาดหมาง แก่งแย่งชิงราชสมบัติกันทุกรัชกาล ลูกฆ่าพ่อ พี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่อย่างไม่ว่างเว้นแม้กระทั่งในรัชกาลองค์ปัจจุบัน
๑. กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประชุมพงศาวดารเล่ม ๓ เรื่องไทยรบพม่า
๒. ตามพงศาวดารกล่าวว่า “ให้พระยาจักรีเป็นแม่ทัพใหญ่” (ตามประเพณีสงคราม กษัตริย์จะเป็นจอมทัพและจะแต่งตั้งผู้ที่ไว้วางพระทัยที่สุดเป็นแม่ทัพใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นองค์รัชทายาทมากกว่าพระยาจักรี...ผู้เขียน)
๓. ตามพงศาวดารบางฉบับอ้างว่าได้ยศเป็น “เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก” ชื่อนี้เกิดเป็นปัญหาขัดแย้งกันจนถึงปัจจุบัน
๔. นายตันหยงทหารปืนใหญ่ พงศาวดารญวน เล่ม ๒ หน้า๓๗๘-๓๘๒
๕. กรมศิลปากร หนังสือไทยต้องจำ และลำดับสกุลเก่า ภาค ๔ พิมพ์ครั้งที่ ๒
๖. นายหยงทหารปืนใหญ่ พงศาวดารญวนเล่ม ๒ หน้า ๒๙๔, ๕๑๘ และกรมศิลปากร หนังสือไทยต้องจำ พิมพ์ครั้งที่ ๒ หน้า ๑๑๓
๗. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓ เรื่องไทยรบพม่า
๘. ประเด็นวิกลจริต อาจารย์ขจร สุขพานิช ได้เคยสัมภาษณ์ในวิทยาสารปีที่ ๒๒ ฉบับที่ ๓๒,๒๒ สิงหาคม ๒๕๑๔ กล่าวว่า “มีหลักฐานเป็นเอกสารภาษาฝรั่งเศส ซึ่งบาทหลวงในสมัยนั้นเขียนไว้ว่า ท่านเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น เช่น เมื่อครั้งหนึ่งรับสั่งให้บาทหลวงเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า “นี่แก ฉันจะเหาะแล้วนะ” บาทหลวงทูลว่า “ไม่เชื่อ” ท่านก็ว่า “ฮื้อ ไอ้นี่ ขัดคอซะเรื่อย”(หัวเราะ) แล้วก็ไล่ออกไปไม่ได้เฆี่ยนตีอะไร คือบ้าทั้ง ๒๔ ชม.นั้นไม่ใช่ แค่เป็นบางครั้ง นี่เป็นข้อเท็จจริง แต่ผมไม่เขียน ถ้าเขียนแล้วเป็นผลร้ายต่ออนาคต ผมไม่เขียน”

คลิกอ่านต่อ..( ตอน ๒ - ตอน๙)

-ความเป็นมาของวงค์จักรี ตอนที่ ๒ 

-รัชกาลที่ ๒ กษัตริย์ กวี ผู้อื้อฉาวเรื่องโลกีย์.

-รัชกาลที่ ๓ กษัตริย์ผู้ฆ่าพระราชบิดา

-รัชกาลที่ ๔ กษัตริย์ เฒ่าหัวงูผู้ไม่อิ่มในกามคุณ

-รัชกาลที่ ๕ กษัตริย์แชมป์ลูกดกอันดับที่ ๒ ของประเทศ ในรอบ ๒๐๐ ...

-รัชกาลที่ ๖ กษัตริย์ที่ชอบเพศเดียวกัน

-รัชกาลที่ ๗ กษัตริย์ผู้ไม่อาจรั้งประชาธิปไตย

คำถามที่มีคำตอบ...."นายก ผู้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้ยิ่งใหญ่ได้นั้น จะเป็นคนๆ เดียวกับที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารประเทศแบบเผด็จอมาตย์ ไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย หรือเปล่า???"

ที่มาของคำถาม  จากบทความคุณปูนนก.
คลิกดู : เรื่องความขัดแย้งทางการปกครองระหว่างระบอบอมาตยาธิปไตยกับระบอบประชาธิปไตย.!   
..................................
 

ตอบ :คำถามของคุณปูนนก
โดย   แสงตะวัน
ในยุคปัจจุบัน ชึ่งเป็นยุคไฮเทคโนโลยี่ ยุคโลกไร้พรหมแดน   การต่อสู้เรียกร้องของประเทศต่างๆชึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบันนี้   เกี่ยวกับปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจ    สังคม    การเมือง   ไม่ มีสูตรสำเร็จกำหนดตายตัวที่จะนำมาเป็นแม่แบบเพื่อใช้แก้ปํญหาให้ลุล่วงไป ได้    เพราะปัญหาความต้องการของแต่ละสังคมไม่เหมือนกัน    นอกจากนี้ยังไม่มีทฤษฎีหรือตำราพิชัยสงครามแบบใหม่มาให้ใช้เป็นแนวทางชี้นำ     ก่อน อื่นพวกเราต้องมาทำความเข้าใจเสียใหม่ว่าพ่อค้านักธุรกิจนายทุนก็คือนายทุน ที่ลงทุนค้าขายเพื่อให้ได้กำไร    ต่างกับผู้นำนักปฏิวัติที่ทำงานเพื่ออุดมการณ์เพื่อสังคมส่วนรวม   ต่อสู้เรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง      ดังนั้นความคิดแบบพ่อค้ากับนักปฎิวัติสองสิ่งนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมี อยู่ในตัวคนเดียวกัน  
เริ่ม แรกทักษิณเข้ามาบริหารประเทศโดยผ่านการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตยตาม รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ซึ่งระบอบการปกครองโดยแท้จริงยังคงเป็นระบอบราชาธิปไตยอยู่ไม่ใช่ระบอบ ประชาธิปไตยตามที่พวกนักวิชาการต่างๆเข้าใจและโฆษณาหลอกลวงประชาชน  เมื่อทักษิณเข้ามาเป็นนายกก็บริหารประเทศอยู่ภายใต้ระบอบราชาธิปไตยนี้     แต่รัฐบาลทักษิณมีหลักนโยบายที่สามารถเห็นผลงานจับต้องได้และทำให้ ประชาชนได้รับผลประโยชน์จากการบริหารของรัฐบาลทักษิน    ซึ่งถ้าปล่อยให้ประเทศชาติได้มีโอกาศพัฒนาต่อไปภายใต้รัฐบาลของทักษิณประเทศ ชาติก็จะดำเนินก้าวหน้าและการวิวัฒนาการทางประชาธิปไตยก็จะก้าวหน้าต่อไป     แต่ระบอบราชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ขัดขวางต่อระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด  ซึ่งนายกทักษิณเองเขาไม่ได้มีแนวความคิดที่เปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างระบอบราชา ธิปไตยนั้นลง      แต่พวกอำมาตย์เห็นว่าถ้าปล่อยให้ทักษิณบริหารประเทศต่อไปจะเป็นอันตรายแก่ พวกเขา  เมื่อทักษิณถูกพวกอำมาตย์โค่นล้มลงในวันที่  ๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙   โดยทักษิณเองก็ยังจะพยายามประณีประนอมกับพวกอำมาตย์มาตลอดเวลา  จนถึงทุกวันนี้     ทักษิณก็ยังไม่ยอมที่จะคิดเปลี่ยนแปลงระบอบราชาธิปไตยให้เป็นประชาธิปไตย      ประชาชนส่วนมากของประเทศคิดเอาเองว่าทักษิณจะเป็นผู้ที่จะนำประเทศชาติ และประชาชนไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง 
ซึ่ง เป็นความคิดและความหวังของประชาชนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ  แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของทักษิณคือต้องการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือเพื่อ จะดำเนินไปสู่การรักษาอำนาจและธุระกิจของกลุ่มทุนของพวกเขา   ฉนั้นประชาชนจะมาเรียกร้องให้ทักษิณเปลี่ยนแนวคิดจากนายทุนมาเป็นผู้นำของ การปฎิวัตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่ ทักษิณเป็นผู้นำของการพัฒนาประเทศในด้านเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้ายิ่งใหญ่ ได้อย่างแน่นอน   ฉะนั้นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการราชาธิปไตยไปสู่ระบอบ ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์    จึงเป็นหน้าที่ของ "ประชาชนไทยทุกคน "    ต้องร่วมมือกันต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย  ไม่ใช่ให้ทักษิณเป็นผู้ชี้นำคนเดียว.

บทต่อท้าย:
ประชาชน จงร่วมจับมือกัน  แน่วแน่ มั่นคง  ก้าวเดินอย่างมีสติ 
ไม่ประมาท  ใช้ปัญญาเป็นอาวุธพัฒนาแนวคิดก้าวทันสถานการณ์บ้านเมือง  เพื่อปลดปล่อยตัวเองและประเทศชาติออกจากระบอบอำมาตย์เผด็จการทรราชราชา ธิปไตยให้ได้     โดยศึกษาเหตุการณ์ในอดีตนำมาใช้เป็นบทเรียน  ในการต่อสู้ต้องมีการเตรียมพร้อม รอจังหวะเวลาและโอกาสที่เหมาะสม    มีการรณรงค์จัดตั้งองค์กร ที่มีระเบียบ  มีวินัย มีทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้อง มีขบวนการนำและสร้างแนวร่วมขยายออกไปให้กว้างขวาง   มีระบอบป้องกันที่รัดกุม
 เมื่อ ถึงเวลา ลุกขึ้นพร้อมๆกัน   แล้ววันนั้นฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาธิปไตยจะเป็นของประชาชนไทย   อย่านั่งงอมืองอเท้ารอให้คนอื่นทำอยากได้อะไรก็ต้องทำเอง ประชาธิปไตยไม่ได้มาโดยการร้องขอ แต่ได้มาจากการโค่นล้มระบอบเผด็จการอันเน่าเฟะนั้นลง   แล้วสร้างสังคมระบอบใหม่ขึ้นมาแทน  สังคมที่ปกครองด้วยกฎหมายที่สถิตยุติธรรมมาตรฐานเดียว  สังคมมีมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน  มีความเสมอภาคทางความคิด ไม่ต้องไปนั่งกราบใหว้ใคร ไม่ต้องเป็นฝุ่นใต้ตีนของใครอีกต่อไป .... 
 โดยใช้อำนาจพลังมวลชนต่างร่วมมือร่วมใจกันเรียกร้อง  ...ปฎิเสธไม่ยอมรับระบอบการปกครองของเผด็จการ   ชัยชนะก็จะเป็นของประชาชนเจ้าของประเทศอย่าง แน่นอน.... ประชาชนจงเจริญ.....!!!
 

( หมายเหตุ-อัพเดท ให้พี่น้องประชาชนไทยเพื่อนรวมชาติได้อ่าน  คิด  พิจารณาไตร่ตรอง  ด้วยเหตุและผลบนพื้นฐานของความเป็นจริง   จะได้เข้าใจไม่สับสนรู้ทันกลเกมการเมือง"การแย่งชิงอำนาจของคู่กรณีทุก ฝ่าย"  สถานการณ์บ้านเมืองวันนี้ไม่เหมือนอดีตที่ผ่านมา   ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม  ด้วยความปราถนาดี)

กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติ และ เป็นอาชญากรรมนิรันดร

บทเรียนที่ทักษิณและพวกเสื้อแดงควรจะจดจำเกี่ยวกับ New King 

 

#เผด็จการเพื่อประเทศชาติ คือ #คำพูดภูมิพล

พระราชดำรัส สุดอเมซิ่งของภูมิพล พูดไว้เมื่อ 14 ธันวา 2519 

ขี้ข้าจึงนำมาพูดซ้ำในวันที่ 29 ธันวา 2557

"อีกด้านหนึ่งยากที่จะพูดเหมือนกัน แต่ว่าต้องพูด ว่ามีบทบาททางการเมือง 
มิใช่ว่าทหารจะต้องไปเล่นการเมือง แต่หากว่าการเมืองมาเล่นทหาร 
และเห็นได้ชัด อันนี้ก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับท่านทั้งหลายที่เป็นนายพล
เช่น หนังสือพิมพต่างประเทศเขียนไว้และเจาะจงว่า 
นายพลไทยยึดอำนาจ นายพลไทยเป็นเผด็จการ ซึ่งถ้่าเป็นเช่นนั้นจริง
ก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของท่านนายพลไทยไม่ใช่น้อย เพราะว่าถ้า #เผด็จการก็ต้องเผด็จให้ดี #เพราะว่านายพลไทยและทหารไทยทั้งหลาย ไม่เคยเผด็จการ
เพื่อให้เป็นเผด็จการแบบฝรั่ง #พยายามที่จะทำเพื่อประเทศชาติ"

พระราชดำรัส พระราชทานในพิธีประดับยศนายทหารชั้นนายพล 
ณ พระที่นั่งบรมพิมาน วันอังคารที่ 14 ธันวาคม 2519

http://www.openbase.in.th/files/14122519.pdf

// Nadier

Saint-Just อธิบายว่า กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและโดยตัวของมันเอง เราไม่ต้องพิจารณาเลยว่าการกระทำของกษัตริย์หรือการบริหารราชการแผ่นดินของ กษัตริย์มีความผิดทางอาญาหรือไม่ ....... คัดมาจากบทความตอนหนึ่งของการเสวนาของคณะนิติราษฎร์ เมื่อ ๓๐ กย. ๒๕๕๕ ( จากการอธิบาย ของ Saint - just เราก็สามารถสรูปได้ว่า ภูมิพลก็คือ " ทรราชและ อาชญากรรมนิรันดร " ต่อประชาชนเพราะปล้นอำนาจมาจากปวงชนชาวไทย )

วิจารณ์ลักษณะที่สอง  ในสังคมการเมือง อำนาจเป็นของประชาชนเสมอ เพียงแต่ว่ายุคใดสมัยใด อำนาจนั้นจะถูก “แย่งชิง” ไปหรือไม่ หรือประชาชนจะมอบอำนาจนั้นให้แก่ใคร ดังนั้น หากจะย้อนกลับไปหาความเป็นเจ้าของอำนาจ ในท้ายที่สุดก็จะเจอประชาชนในฐานะเจ้าของอยู่ดี การอ้างว่ากษัตริย์เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นผู้ปกครอง มาตั้งแต่นมนาน ในสังคมการเมืองหนึ่งอาจไม่เคยขาดซึ่งสถาบันกษัตริย์เลย นั่นอาจเป็นการอ้างตามประวัติศาสตร์ของพวกราชาชาตินิยม ประวัติศาสตร์ของเจ้า ไม่จำเป็นต้องเป็นโค้ดของเรา Saint-Just อธิบายว่า กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติและโดยตัวของมันเอง เราไม่ต้องพิจารณาเลยว่าการกระทำของกษัตริย์หรือการบริหารราชการแผ่นดินของ กษัตริย์มีความผิดทางอาญาหรือไม่ ถ้ากษัตริย์เป็นทรราช นั่นไม่ใช่เพราะความผิดจากการบริหารราชการแผ่นดินของเขา แต่เขาเป็นทรราชก็ด้วยลักษณะของความเป็นกษัตริย์นั่นแหละ Saint-Just เสนออย่างชาญฉลาดว่า การที่กษัตริย์ยึดครองอำนาจสูงสุดของประชาชนไปใช้เอง นั่นแสดงให้เห็นว่าลักษณะของความเป็นกษัตริย์เป็นอาชญากรรมนิรันดร (crime éternel) ต่อประชาชน มนุษย์จึงย่อมมีสิทธิสัมบูรณ์ในการลุกขึ้นสู้และติดอาวุธ   Saint-Just อธิบายว่า ไม่มีใครสามารถครองราชย์ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะ กษัตริย์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นกบฏและเป็นผู้แย่งชิง (usurpateur) อำนาจของประชาชนไป
 

หรือในประกาศคณะราษฎร “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่าประเทศของเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศมีอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบ และกวาดรวบทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน? ก็เอามาจากราษฎร เพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง”
หากพิจารณาตามแนวทางนี้ ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนหรือไม่ เพราะ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนเสมอ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตลอดกาล เพียงแต่ว่าบางช่วงบางตอน ถูก “ฉกฉวยแย่งชิงขโมย” ไป และสักวันหนึ่ง ประชาชนก็เอากลับคืนมาจนได้

 

กษัตริย์นั้นเป็นทรราชโดยธรรมชาติ และ เป็นอาชญากรรมนิรันดร

คลิปน่าสนใจ ประจำวันที่ 30 เม.ย. 60



รายการ...เพื่อสหพันธรัฐไท กับลุงสนามหลวง ดำเนินรายการ
โดย...ขุนทอง ไฟเย็น - สหายยังบลัด. ประจำวันอาทิตย์ที่30 - 04 - 2017

ส่อง..การเมืองไทยภายใต้ระบอบเผด็จการ..ข่าวความเคลื่อนไหว...พรรคการเมือง .นักการเมือง(หน้าเดิมๆ) ที่ตั้งหน้าตั้งตา รอๆๆๆ..เลือกตั้ง

09.00 INDEX ชื่อ ชั้น การเมือง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เทียบเท่า ชวน หลีกภัย ผู้นำบารมี

นับวันการดำรงอยู่ในทางการเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะดำเนินไปเหมือนกับ 2 นักการเมือง 1 คือ นายทักษิณ ชินวัตร 1 คือ นายชวน หลีกภัย การนำเอา นายทักษิณ…



คลิกดู-"เรืองไกร" จ่อร้อง กกต. สอบ 9 รัฐมนตรีรัฐบาลประยุทธ์ ถือหุ้น เข้าข่ายขัดรธน.


คลิกดู-'ภูมิธรรม'ชำแหละคสช. บริหารผิดพลาดจนทุกฝ่ายรุมจวก จี้ หยุดสร้างภาระ คืนเสรีภาพปชช.



(หมายเหตุ-พรรคการเมือง-นักการเมืองไทย    โปรดทบทวนสำรวจดูตัวเองด่วน    ควรปฎิรูปปรับปรุงทัศนคติแนวคิดการมองปัญหาบ้านเมือง   ตอบสนองความเรียกร้องต้องการของประชาชน  ก่อนเสนอหน้าออกมาเป็นตัวแทนรับใช้ประชาชน...)

lördag 29 april 2017

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และความขัดแย้งในสังคมไทย

โดย  เด่นพงษ์   รักประชา

ประชาธิปไตย
คำว่า ประชาธิปไตย เป็นศัพท์ใหม่เพิ่งมีผู้ตั้งศัพท์นี้มาเมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เอง  จากรากศัพท์เดิมของคำว่า ประชาธิปไตย แปลมาจากคำในภาษากรีก  “  DEMOKRATIA  “ ซึ่งมาจากมูลศัพท์  “DEMOS”แปลว่า ปวงชน  ผสมกับคำว่า .” KRATOS “  แปล ว่าอำนาจ และ  “ KRATIEN “ แปลว่า การปกครอง  ดังนั้นคำว่า “ DEMOKRATIA “  จึงหมายถึง อำนาจสูงสุดของปวงชน  การปกครองโดยมติของปวงชน

คำ ว่า ประชาธิปไตย จึงหมายถึงรูปแบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่  เพราะอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน  ซึ่งมีสิทธิ์กับหน้าที่ตามธรรมชาติของมนุษยชน

ถึง แม้จะมีผู้ตั้งศัพท์คำว่าประชาธิปไตยขึ้นมาเมื่อ 100 ปีที่แล้วก็ตาม แต่รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยมีมาพร้อมกับการเกิดสังคมของมนุษย์ชาติที่ มนุษย์รู้จักอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มในสังคม  ในยุคสมัยของสังคมบุพกาลทุกคนต้องล่าเนื้อหาอาหารกินเองจะอาศัยแรงงานคนอื่น หาให้กินไม่ได้  ซึ่งหมายความว่าในยุคของสังคมบุพกาลมนุษ์ไม่มีการเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ กัน

ใน ระยะต่อมามนุษย์ได้รู้จักการเลือกตั้งเจ้าโคตรเจ้าตระกูลขึ้นมาเป็นหัวหน้า กลุ่มหรือหัวหน้าของสังคม  เพื่อทำพิธีทางไสยศาสตร์  จึงเกิดมีการรวมกลุ่มเกิดชุมชนขึ้น ต่อมา มีการแย่งชิงเขตแดนที่ทำมาหากิน  จึงมีการรบราฆ่าฟันกันในแต่ละกลุ่ม  หัวหน้ากลุ่มไหนแข็งแรงก็สามารถขยายอาณาเขตของตนให้กว้างขวางออกไป  และจับเอาฝ่ายตรงกันข้ามมาเป็นเชลย  ซึ่งเชลยนี้ครั้งแรกก็ฆ่าทิ้งหรือใช้กินเป็นอาหาร  แต่ต่อมาเชลยที่ถูกจับได้ถูกบังคับให้เป็นทาสเพื่อใช้แรงงานให้แก่เจ้าโคตร เจ้าตระกูลที่เป็นหัวหน้าของสังคม  ระบบทาส ซึ่งเป็นระบบที่โหดร้ายที่สุดของมนุษย์ชาติจึงเกิดขึ้น

เมื่อ ระบบทาสได้เริ่มขึ้นในสังคมของมนุษย์   รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยที่มีมาแต่เดิมนั้นก็หมดไป  พวกนายทาสได้กลายมาเป็นหัวหน้าของสังคม  และได้ใช้วิธีปกครองแบบบังคับอย่างโหดร้ายทารุณที่สุดกับพวกทาส  ทาสจึงเปรียบเสมือนสัตว์ที่พูดได้  นายทาสจะซื้อขายหรือเข่นฆ่าและบังคับใช้แรงงานได้ตามใจชอบเหมือนกับสัตว์

ในกฏหมายเก่าของไทยก็ได้บัญญัติไว้ว่า  ทาสเป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งจำพวกเดียวกับสัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายเรียกว่า “ วิญญาณทรัพย์ “ ระบบทาสจึงเป็นระบบเผด็จการที่ทารุณโหดร้ายและเลวทรามที่สุดของมนุษย์ ที่ดำรงคงอยู่มาเป็นเวลาหลายร้อยปี  ความเจริญรุ่งเรืองในยุคต่างๆของมนุษย์ ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมากมายก็โดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาส  เช่นสถานที่โบราณ วัตถุก่อสร้างต่างๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยโรมัน  สมัยกรีก  และโบสถ์  วัดวาอารามสมัยเก่าของไทยก็ได้ถูกสร้างขึ้นโดยน้ำพักน้ำแรงของพวกทาสทั้ง นั้น  ระบบทาสได้ดำรงคงอยุ่ในสังคมไทยมาจนถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๕

เมื่อ วิวัฒนาการของสังคมได้เจริญก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง  ระบบทาสได้กลายมาเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเจริญทางการผลิตทำให้เกิดความขัด แย้งกันภายในของสังคมระบบทาสขึ้น  พวกลูกทาสได้ลุกขึ้นต่อสู้ อาทิ การต่อสู้ของสปาตาคุสในระบบทาสโรมัน เมื่อ ๗๔ ปีก่อนพระเยซูเกิด เป็นต้น  ต่อมาพวกเจ้าทาสจึงได้ผ่อนผันให้ทาสบางส่วนทำการเพาะปลูกในที่ดินของเจ้าทาส และนำผลผลิตที่ได้ส่งเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่พวกนายทาสหรือที่เรียกว่า  “ส่งส่วย “
สมัย ก่อนมนุษย์เรายังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในจักรภพนี้ได้   จึงเชื่อเอาอย่างงมงายว่าธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมีสิ่งบรรดาลมาจากเบื้องบนเพื่อให้เป็นไปเช่นนั้น  ซึ่ง อำนาจจากเบื้องบนนั้นเชื่อกันว่าเป็นอำนาจของพระเจ้า  หรืออำนาจของพวกเทวาอารักษ์  พวกเจ้าโคตรเจ้าตระกูลทั้งหลาย  ผู้ที่เป็นหัวหน้าสังคมที่ถูกเลือกขึ้นในยุคของสังคมบุพกาลเพื่อให้เป็นตัว แทนในการทำพิธีทางไสยศาสตร์นั้น ต่อมาก็ได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์  หรือจักรพรรดิ์ ปกครองอยู่ตามดินแดนหรือในแค้วนต่างๆ  บุคคล เหล่านี้ได้ตั้งตนเองขี้นเป็นตัวแทนของพระเจ้า  อ้างว่าพระเจ้าส่งตนลงมาจุติในโลกมนุษย์ หรือเป็นตัวแทนมาจากเบื้องบน คือสวรรค์เพื่อลงมาโปรดมนุษย์  โดยได้รับอำนาจมาจากสรวงสวรรค์  เพื่อให้มาปกครองมนุษย์  เช่นในสมัยโบราณของจีนเชื่อกันว่ากษัตริย์หรือ จักรพรรดิ์เป็นโอรสมาจากสวรรค์  ในประเทศญี่ปุ่นสมัยเก่าก็เชื่อกันว่าจักรพรรดิเป็นโอรสของพระอาทิตย์มาเกิด เป็นต้น

นี้ คือต้นเหตุหรือแนวความคิดที่กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ของประเทศต่างๆ คิดไปเองว่า  ที่ดินและสรรพสิ่งทั้งหลายรวมทั้งคนและสัตว์ทั้งหมดภายใต้สวรรค์เป็นสมบัติ ของตน

ใน ประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยายังปรากฏในกฏหมาย  “ ตราสามดวง “ ว่า  “  ที่ดินทั้งหลายในแคว้นศรีอยุธยาเป็นของพระเจ้าอยู่หัวโดยพระบรมเดชานุภาพ “  ระบอบศักดินา จึงเกิดขึ้น  อำนาจการปกครองทุกอย่างอยู่ในมือของผู้เป็นหัวหน้าของสังคมแต่ผู้เดียว  กษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ก็สามารถใช้อำนาจได้โดยไม่จำกัดขอบเขต  อำนาจเผด็จการโดยสมบูรณ์ของกษัตริย์ก็เกิดขึ้น   ต่อมากษัตริย์ หรือจักรพรรดิ์ ยังได้ตราเป็นกฏหมายขึ้นอีกว่า เมื่อตัวเองตายลงก็ให้ลูกหรือญาติที่สนิทของตนรับช่วงเป็นผู้สืบทอดวงค์ ตระกูลปกครองประเทศสืบต่อไป เป็นการสืบทอดราชสันติวงค์ต่อไปอีกเป็นทอดๆ
รูป แบบการปกครองนี้คือรูปแบบการปกครองเผด็จการศักดินา มิได้แตกต่างไปจากการปกครองในระบอบทาสมากนัก  จะต่างกันก็เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากระบอบทาสมาเป็น ระบบ  “ส่วย “

ใน ระบอบสังคมศักดินาพวกทาสนอกจากจะผลิตเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวแล้วยัง ต้องผลิตให้แก่พวกเจ้าศักดินาอีกด้วยตามระบบ  “ ส่วย “  ซึ่งปัจจัยและเครื่องมือสำหรับทำมาหากินอยู่ในมือของพวกเจ้าศักดินา  เช่นที่ดินและเครื่องมือในการผลิตต่างๆ  การปกครองแบบนี้ในเมืองไทยเรียกว่า  การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  เป็นรูปแบบการปกครองที่กษัตริย์มีอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียว

สังคม ศักดินาในยุโรบได้ถูกโค่นล้มลงไปในปลายของศตวรรตที่ ๑๘  ระบอบทุนนิยมได้เข้ามาแทนที่  การวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ชาติจากสังคมหนึ่งเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งเป็น กฏเกณฑ์ตามธรรมชาติของสังคมที่จะต้องเป็นไปเช่นนั้น  มาร์กช์ได้ค้นพบในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ถึงสาเหตุการเปลี่ยนของสังคม  จากสังคมหนึ่งไปสู่อีกสังคมหนึ่งโดยเกิดจากการขัดแย้งภายในของสังคมนั้น เอง   ระหว่างความสัมพันธ์การผลิต คือมีผู้ถือปัจจัยการผลิตและกำลังการผลิตอีกด้านหนึ่ง  เมื่อความสัมพันธ์การผลิตในสังคมใดสอดคล้องกันสังคมนั้นก็เจริญพัฒนา  ถ้าสังคมใดที่ผู้ถือปัจจัยการผลิตขัดขวางกำลังการผลิต ความขัดแย้งภายในสังคมนั้นก็จะเกิดขึ้น เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นถึงขั้นรุณแรงที่สุดก็สามารถเปลี่ยนไปสู่สังคมอีก รูปแบบหนึ่งที่สูงกว่า  เช่นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมระบอบทาสไปสู่สังคมระบอบศักดินา และการเปลี่ยนแปลงสังคมศักดินา เข้าสู่ระบอบทุนนิยม  จากทุนนิยม เข้าสู่สังคมนิยม  จากระบอบสังคมนิยมเข้าสู่ระบอบสังคมคอมมิวนิสต์  นี่คือวิวัฒนาการของสังคมของมนุษย์ชาติที่มาร์กช์ได้ค้นพบและพิสูจน์ให้เห็น ในวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ซึ่งถือว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสตร์ อย่างหนึ่งของมาร์กช์

ดัง นั้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของมนุษย์ จึงเป็นหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษยชนพึงกระทำ  อำนาจสูงสุดของปวงชนย่อมหมายถึงอำนาจของผู้ที่เป็นกำลังการผลิตซึ่งเป็นพลัง ส่วนมากของสังคม  การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็คือการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์การ ผลิต  โดยเปลี่ยนปัจจัยการผลิตจากบุคคลกลุ่มน้อยในสังคมให้มาอยู่ในมือของผู้ที่ เป็นกำลังการผลิตที่เป็นพลังส่วนมากของสังคม  เมื่อเป็นเช่นนี้ระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์จึงจะเกิดขึ้น

เนื่อง จากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นสิทธิและหน้าที่อันชอบธรรมตามธรรมชาติของ มนุษย์  ที่มนุษย์พึงกระทำ  มนุษย์ชาติทั่วโลกจึงได้ลุกขึ้นต่อสู้  เพื่อสิทธิและเสรีภาพของตนอยู่เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้  ในยุโรป  อเมริกา อาฟริกา อาเชีย  ลาตินอเมรืกา  และตะวันออกกลางเป็นต้น  ซึ่งการต่อสู้ได้ดำเนินไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน  ในประเทศยุโรปตะวันตก  ในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย  ประชาชนของประเทศเหล่านั้นได้ต่อสู้มาเป็นขั้นๆและยาวนาน  เริ่มจากการจัดตั้งพรรคการเมืองต่างๆขึ้นโดยไม่มีการจำกัดความคิดทางด้าน อุดมการณ์  ไปจนถึงการเรียกร้องสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งเท่าเทียมกันของหญิงชาย  สิทธิในการจัดตั้งสหพันธ์กรรมกรแรงงานในอาชีพต่างๆ  เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกผู้ใช้แรงงานในด้านต่างๆที่เป็นธรรม  และระบบสวัสดิการต่างๆ  ประชาชนสามารถเลือกตัวแทนของตนเองได้โดยวิถีทางประชาธิปไตย  และสามารถตั้งรัฐบาลที่เป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ให้แก่มวลชนที่เป็นเสียง ส่วนมากของสังคม

แต่ ในประเทศที่ชนชั้นปกครองไม่ยอมให้ประชาชนมีประชาธิปไตยตามธรรมชาติโดยสันติ วิธี  ประชาชนในประเทศเหล่านั้นย่อมทำการต่อสู้โดยวิธีรุนแรง ซึ่งก็เป็นหน้าที่และสิทธิอันชอบธรรมโดยธรรมชาติของมนุษย์ในสังคมนั้น อาทิ การปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสในปี คศ. ๑๗๘๙  และการปฏิวัติใหญ่ในรัสเซียเมื่อปี คศ. ๑๙๑๗ เป็นต้น

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของไทย

ถึง ปี พศ. ๒๔๗๕  ระบอบศักดินาซึ่งเป็นระบอบเก่าแก่และล้าหลังกำลังเสื่อมสลายได้กลายมาเป็น สิ่งที่ขัดขวางกำลังการผลิต  ทำให้เศรษฐกิจของชาติไม่เจริญก้าวหน้า  ราษฎรที่เป็นผู้ผลิตส่วนมากของสังคม ได้รับความเดือดร้อน จึงได้มีการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบศักดินาเป็นระบอบ ประชาธิปไตยที่ดีกว่า  ได้เกิดการขัดแย้งกันขึ้นภายในสังคม  ข้าราชการและปัญญาชนที่มีหัวก้าวหน้าภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชไม่พอใจ กับความเป็นอยู่ของสังคมที่หล้าหลังและความไม่ยุติธรรมในระบอบเผด็จการกษัต ริย์ และ ขณะเดียวกันระบอบศักดินาในประเทศยุโรปตะวันตก ได้ถูกโค่นล้มลงมีการวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดทางด้านอุตสาหกรรม  มีการค้นพบเครื่องมือการผลิตใหม่ๆ  เช่นเครื่องจักรกลและเครื่องจักรไอน้ำแบบใหม่ในปลายศตวรรษที่ ๑๘ ทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายมาเป็นประเทศทุนนิยมได้ขยายขอบเขตอิธิพลทาง เศรษฐกิจข้ามทวีปเข้าสู่ประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศในโลกที่สามเพื่อล่า อาณานิคมเมืองขึ้น เพื่อเป็นแหล่งขูดรีดแรงงาน แสวงหาวัตถุดิบตลอดจนใช้เป็นแหล่งสำหรับระบายสินค้า  ประเทศฝรั่งเศสได้เข้ายึดครองในอินโดจีน ฮอลันดาเข้ายึดครองอินโดนิเชีย  อังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย พม่า มลายู  ปอร์ตุเกสเข้ายึดครองประเทศในอาฟริกาเป็นต้น

ใน ประเทศไทยพวกชาติตะวันตกได้บังคับให้ชนชั้นปกครองศักดินาไทยทำสัญญาไม่เสมอ ภาคต่างๆกับประเทศอังกฤษ  ประเทศฝรั่งเศส ทำให้ไทยต้องเสียเอกราชทางการเมือง ทางศาล และทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งต้องเสียดินแดนเป็นจำนวนมากให้แก่ประเทศเหล่านั้น

เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ ปี พศ. ๒๔๗๐ ปัญญาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่เป็นตัวแทนกองหน้าของราษฎรไทยได้ร่วมกัน จัดตั้ง คณะราษฎร  ขึ้นในประเทศฝรั่งเศส มี ดร. ปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า  เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์เผด็จการ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้กฏหมาย  หรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบราชา ธิปไตยที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ  โดยอำนาจการปกครองสูงสุดเป็นของปวงชน และปวงชนเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นผ่านทางนิติบัญญัติหรือรัฐสภา ทางการบริหาร หรือรัฐบาล และทางตุลาการ  มีหลักนโยบายทางการเมืองดังต่อไปนี้

๑. รักษาความเป็นเอกราชทั้งหลายเช่นเอกราชทางการเมือง  ทางศาล ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง

๒. รักษาความปลอดภัยในประเทศให้การประทุษร้ายต่อกันลดลงให้มาก

๓. บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฏรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำจะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดหยาก

๔. ให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน

๕. ให้ราษฎรมีเสรีภาพที่ไม่ขัดต่อหลักสี่ประการดังกล่าวแล้ว

๖. ให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร

หลัง จาก คณะราษฎร ได้ก่อตั้งขึ้นในปี พศ ๒๔๗๐ อีกห้าปีต่อมาคือในปี พศ. ๒๔๗๕  ก็ได้ทำการยึดอำนาจเปลี่ยนการปกครองทำให้ระบอบเผด็จการกษัตริย์ต้องสิ้นสุด ลง    และนำเอาระบอบการปกครองประชาธิปไตยมาใช้ในเมืองไทยเป็นประเทศแรกในเอเชีย อาคเนย์.  โดยปวงชนชาวไทยมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกตัวแทนของตนเป็นรัฐบาล  ออกกฎหมายและรัฐธรรมนูญเพื่อปกครองตนเอง

ตาม รัฐธรรมนูญฉบับ ๙ พฤษภาคม พศ. ๒๔๘๙  ได้ให้สิทธิประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ที่สุดแก่ปวงชนชาวไทย  ตามข้อความในมาตรา ๑๓  ให้มีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาหรือลัทธินิยมใดๆ  มาตรา ๑๔ ให้เสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย  เคหสถาน  ทรัพย์สิน  การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา  การศึกษาอบรม  การชุมนุมสาธารณะ  การตั้งสมาคม การตั้งพรรคการเมือง  การอาชีพ

การ เปลี่ยนแปลงการปกครอง พศ. ๒๔๗๕  เป็นการโค่นล้มระบอบศักดินาลงพร้อมกันนั้นก็ได้ลบล้างความสัมพันธ์การผลิต  โดยเปลียนปัจจัยการผลิตในการทำมาหากิน เดิมอยู่ในมือของพวกศักดินาให้มาอยู่ในมือของชาวนาและกสิกรที่เป็นกำลังการ ผลิตส่วนใหญ่ของสังคมในเวลานั้นโดยการออกพระราชบัญญัติต่างๆ  เช่น พรบ.ห้ามยึดทรัพย์กสิกร  พรบ.ประมวลรัชฎากรยกเลิกรัชชูปการและอากรค่านาในปี พศ. ๒๔๘๑ ซึ่งประกาศใช้ในเดือนเมษายน พศ. ๒๔๘๒  การออกกฏหมายจำกัดขนาดการยึดครองที่ดินได้ไม่เกินคนละ ๕๐ ไร่ในปี ๒๔๗๙

การ เปลี่ยนแปลงการปกครองปี พศ. ๒๔๗๕ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากสังคมศักดินาที่หล้าหลังเข้าสู่สังคมใหม่ที่ สูงกว่า คือสังคมระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจรัฐอยู่ในมือของปวงชนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ ของสังคมจึงดีกว่าระบอบเผด็จการกษัตริย์ที่เป็นระบอบเก่าหล้าหลัง  เป็นการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชนตามวิถีทางของประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  พร้อมกันนั้นรัฐก็ได้วางโครงการเศรษฐกิจใหม่  เช่นการจัดตั้งธนาคารชาติ  โอนกิจการต่างๆมาเป็นของรัฐ  ปรับปรุงการศึกษาให้คนไทยทุกคนได้รับการศึกษา  จัดตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้การศึกษาแก่ ปัญญาชนทุกคนทุกชนชั้น

การ เปลียนจากสังคมหนึ่งเข้าสู่อีกสังคมหนึ่งที่สูงกว่าเป็นสิ่งที่ยากมากโดย เฉพาะในระยะผ่านการยึดอำนาจแม้จะเป็นเรื่องยากก็ไม่ยากเท่ากับการรักษาไว้  และยิ่งเป็นเรื่องยากลำบากมากที่จะสร้างสังคมของมนุษย์ชาติขึ้นใหม่จากสังคม เก่าที่หล้าหลัง  ดังนั้นในระยะผ่านซึ่งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ ระบบให้การศึกษาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประชาธิปไตยเพื่อให้ประชาชนในสังคม ยอมรับและมีจิตสำนึกเพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยพัฒนาก้าวหน้าต่อไป

เป็น ที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่การเปลี่ยนการปกครอง พศ. ๒๔๗๕ ที่นำโดยกลุ่มบุคคลของคณะราษฎรยังไม่ทันที่จะเปลี่ยนระบบสังคมไทยให้ไปสู่ เป้าหมายตามนโยบายของคณะราษฎร  ก็ได้ถูกพวกซากเดนศักดินาที่เป็นพลังเก่าและหล้าหลังทำการขัดขวางการเปลี่ยน แปลงมาตลอดและ สนับสนุนให้พวกทหารฝ่ายขวายึดอำนาจกลับคืนในวันที่ ๘ พฤษภาคม พศ.๒๔๙๐

จน กระทั่งบัดนี้มีรัฐบาลที่ปกครองประเทศมาแล้วหลายยุคหลายสมัยแต่ประชาชนชาว ไทยก็หาได้มีประชาธิปไตยไม่ เป็นเวลากว่า ๖๐ ปีแห่งความขัดแย้งในทางสังคมไทยระหว่างพลังเก่าซากเดนศักดินาหล้าหลัง ที่เคยสูญเสียอำนาจไปเมื่อ ๖๐ ปีก่อนได้ฟื้นฟูอำนาจกลับคืนมาอีก ผูกขาดอำนาจทางการเมือง การเศรษฐกิจ  วัฒนธรรม ร่วมกับพวกนายทุนต่างชาติครอบครองปัจจัยการผลิตของสังคมไทยไว้ในมือ  กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นกำลังการผลิตส่วนมากของสังคมได้แก่ ชาวไร่  ชาวนา กรรมกร พ่อค้าแม่ค้าผู้ผลิตรายย่อยต่างๆ รวมทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ชั้นผู้น้อย กำลังได้รับการกดขี่ขูดรีดแรงงานอย่างหนักจากกลุ่มพวกนายทุนผูกขาด

ความขัดแย้งของสังคมไทย

ปัญหา เรื่องความขัดแย้งนี้ผู้เขียนจะขอวิจัยตามหลักของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์โดย แยกความขัดแย้งออกเป็นสองประเด็น  ประเด็นแรกคือผู้กุมปัจจัยการผลิตและประเด็นที่สองได้แก่กำลังการผลิต

หลัง จากการรัฐประหาร ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๐เป็นต้นมาความขัดแย้งในสังคมไทยได้ดำรงคงอยู่มาจนถึงเวลาปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ของคณะราษฎร ถึงแม้ว่าจะยึดอำนาจรัฐได้แต่สถาบันอื่นๆที่เป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคม เก่ายังเหลืออยู่โดยมิได้เปลี่ยนแปลง  เช่น สถาบันทหาร  ตำรวจ ศาล ศาสนา โดยเฉพาะสถาบันกษัตริย์ ที่เป็นพลังเก่าของสังคมยังมีทัศนะหลงเหลือมาจากสังคมเก่าในระบบทาส  บุคคลที่เป็นตัวแทนของพลังเก่าจากสถาบันเหล่านี้เคยสูญเสียอำนาจ เมื่อมีโอกาสก็สนับสนุนให้พวกทหารฝ่ายขวายึดอำนาจกลับคืนมา  เพื่อให้คุ้มครองสถาบันและรักษาผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มของพวกตน  จึงเป็นสาเหตุให้พวกชนชั้นศักดินาเก่าฟื้นฟูอำนาจกลับคืนมาอีก และกลายมาเป็นนายทุนผูกขาดร่วมกับพวกนายทุนต่างชาติผูกขาดอำนาจทาง การเมือง การเศรษฐกิจ  สังคม และ วัฒนธรรมไทย อยู่จนถึงปัจจุบัน

สมัย ที่พวกชนชั้นศักดินาเรืองอำนาจ  พวกเจ้าศักดินาได้ปล่อยให้พวกพ่อค้าที่เป็นคนต่างชาติเชื้อสายจีนเข้ามาทำ การค้าขาย เป็นนายหน้าผูกขาดการขนส่งสินค้าต่างๆ โดยส่งให้พวกศักดินาส่วนหนึ่งและส่งไปขายยังต่างประเทศ ในระยะหลังๆพวกพ่อค้าต่างชาติเหล่านี้ได้กลายมาเป็นนายทุนผูกขาดเศรษฐกิจของ ชาติ  เป็นเจ้าของธุรกิจการค้า การธนาคารและการอุตสาหกรรมในสาขาต่างๆของสังคม  ต่อมากลุ่มนายทุนผูกขาดเหล่านี้ก็ได้เข้าไปมีส่วนบริหารกิจการของรัฐและได้ อาศัยอำนาจรัฐคุ้มครองผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มของพวกตน

จาก งานวิจัยของ เกริกเกียรติ  พิพัฒน์เสรีธรรม ในหัวข้อเกี่ยวกับ  “การวิเคราะห์ลักษณะการเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย “ เมื่อปี ๒๕๒๕  หน้า ๓๒๕- ๓๔๖  แสดงให้เห็นถึงกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางที่ครอบครองเศรษฐกิจของชาติมี ประมาณ ๑๐๐ กลุ่มซึ่งมียอดทรัพย์สินรวมกันประมาณ ห้าแสนล้านบาท  กลุ่มธุรกิจที่มีทรัพย์สินมากอันดับหนึ่งคือตั้งแต่หนึ่งหมื่นล้านขึ้นไปมี ประมาณ ๗ กลุ่มในจำนวนนั้นเป็นของพวกนายทุนต่างชาติเชื้อสายจีนมาอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่กลุ่มศักดินานายทุน

การ ที่จะพิจารณาว่าสังคมหนึ่งสังคมใดเป็นสังคมอะไรนั้น  จะต้องดูที่ความสัมพันธ์การผลิตหรือรูปแบบการผลิตของสังคมนั้นว่าปัจจัยการ ผลิตของสังคมนั้นอยุ่ในมือของชนชั้นไหน  ถ้าปัจจัยการผลิตอยู่ในมือของชนชั้นนายทุนที่เป็นชนกลุ่มน้อยของสังคม  สังคมนั้นก็เรียกว่าสังคมทุนนิยม  จากหลักทฤษฎีดังกล่าวตามข้อมูลของเกริกเกียรติจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีกลุ่ม นายทุนผูกขาดประมาณ ๑๐๐ กลุ่มที่กุมปัจจัยการผลิตของสังคม  เป็นเจ้าของธนาคาร  เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจการค้า  ซึ่งพวกนายทุนเหล่านี้สามารถกำหนดความเป็นอยู่ของคนในสังคม

กลุ่ม นายทุนผูกขาดเหล่านี้นอกจากจะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตแล้วยังมีกรรมสิทธิ์ ในการจัดสรรและแบ่งปันแรงงาน เช่น  การบริหารจัดการ  การกำหนดค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น อีกอย่างคือกรรมสิทธิ์ในการแบ่งปันผลกำไรจากผลิตผลสินค้าต่างๆที่กรรมกร ชาวไร่ ชาวนา ผู้ใช้แรงงานเป็นผู้ผลิต

สำหรับ กรรมกรผู้ใช้แรงงานทั้งหลายที่เป็นผู้ผลิตให้แก่พวกนายทุนต่างๆเหล่านั้น ฝ่ายกรรมกรเองจะได้รับเพียงแต่ค่าจ้างในการขายแรงงานที่พอประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น  ในระบอบทุนนิยมนายทุนจะจ้างค่าแรงงานต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะเอาผล กำไรจากมูลค่าส่วนเกินจากแรงงานของกรรมกรให้มากที่สุด  ดังนั้นผลกำไรที่นายทุนทั้งหลายแบ่งปันกันแต่ละปี คือผลกำไรที่สะสมมาจากมูลค่าแรงงานของกรรมกรที่ผลิตเป็นส่วนเกินให้แก่พวก นายทุนแต่ละปี เพราะลำพังเงินเดือนหรือรายได้ของกรรมกรแต่ละเดือนทีได้รับมาจะใช้เวลาผลิต เพียงหนึ่งหรือสองอาทิตย์ก็จะคุ้มและเหลือเฟือ  ส่วนที่เหลือจึงเป็นการผลิตให้แก่นายทุน ดังนั้นความร่ำรวยต่างๆของนายทุนผูกขาดเหล่านั้นคือความร่ำรวยที่สะสมมาจาก การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินของกรรมกร

ฉนั้น ระบอบทุนนิยมจึงเป็นระบอบที่กดขี่ขูดรีดของพวกชนชั้นนายทุนกลุ่มน้อยที่ อาศัยอยู่บนแรงงานของชนส่วนมากของสังคม  นายทุนไม่ได้ทำการผลิตให้แก่สังคม แต่จะคอยสูบกินเลือดจากแรงงานของสังคม  ชนกลุ่มนี้จึงเป็นเสมือนกับพวกกาฝากของสังคม

ตาม หลักทฤษฎีของวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ถือว่ารูปแบบการผลิตคือพื้นฐานชั้นล่าง ของสังคม  ในเมืองไทยรูปแบบการผลิตเป็นรูปแบบทุนนิยมผูกขาด  ฉนั้นพื้นฐานชั้นล่างของสังคมคือทุนนิยมผูกขาด  เมื่อพื้นฐานชั้นล่างเป็นทุนนิยมผูกขาดโครงสร้างส่วนบนของสังคมก็ต้องสร้าง ขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นฐานชั้นล่างตามหลักปรัชญาที่ว่า “ รูปแบบจะต้องให้เหมาะสมกับเนื้อหา“

โครง สร้างส่วนบนของสังคมได้แก่  รัฐ  กฏหมาย ศาสนา ทหาร ตำรวจ  การ เมือง อุดมการณ์  ศิลปและวัฒนธรรม เป็นต้น  ย่อมสร้างขึ้นให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็นพื้นฐานชั้นล่างของสังคมเพื่อปก ป้องพื้นฐานชั้นล่างที่เป็นระบบเศรษฐกิจของพวกนายทุน  ดังนั้นรัฐบาลชุดต่างๆที่ขึ้นมาบริหารประเทศที่เป็นตัวแทนของรัฐก็คือรัฐบาล ของพวกนายทุนผูกขาด เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่พวกนายทุน

อำนาจ รัฐก็คือเครื่องมือของพวกนายทุนเพื่อใช้ในการกดขี่  ข่มเหงรังแกชนชั้นผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทั่วไป ไม่ว่ารัฐบาลเหล่านั้นจะมาในรูปแบบของทหารหรือรูปแบบของพลเรือนก็คือรัฐบาล ที่รักษาผลประโยชน์ให้แก่พวกนายทุน  ในระบอบทุนนิยมทุกอย่างคือสินค้า  พวกนายทุนจะขายได้ทุกอย่างตั้งแต่คุณธรรม อุดมการณ์ ไปจนกระทั่งถึงชาติและประชาชน  การผลิตสินค้าในระบอบทุนนิยมก็เพื่อหากำไร  เมื่อต้องการกำไรมากก็ต้องขูดรีดแรงงานมาก  ยิ่งขุดรีดมากผู้ขายแรงงานก็เดือดร้อนมาก  เมื่อประชาชนเดือดร้อนก็ต้องดิ้นรนหาทางลุกขึ้นต่อสู้เพราะ ที่ไหนมีการกดขี่ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้  เมื่อมีการกดขี่ขูดรีดมากขึ้นการต่อสู้ก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้นความขัดแย้ง ภายในสังคมก็จะรุนแรงมากขึ้น

ความ ขัดแย้งนี้จึงเป็นความขัดแย้งหลัก ของชนชั้นสองฝ่ายในสังคม  คือความขัดแย้งระหว่างนายทุนผูกขาด  กับชนชั้นผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นความขัดแย้งของสองสิ่งที่อยุ่ตรงข้ามกัน  ตราบใดที่ระบอบทุนนิยมผูกขาดยังดำรงคงอยู่  ตราบนั้นความขัดแย้งนี้ก็จะดำเนินต่อไป 

ผู้ ที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนี้ได้ ไม่ใช่พวกรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของพวกนายทุนผูกขาด  แต่เป็นภาระกิจและหน้าที่โดยตรงของชนชั้นผู้ใช้แรงงานทั้งหลายในสังคม เป็นหน้าที่และสิทธิอันชอบธรรมตามธรรมชาติของมนุษย์  เมื่อใดที่พลังของผู้ใช้แรงงานและพลังของ ปัญญาชน นักศึกษา ข้าราชการ  ทหาร ตำรวจ ที่มีหัวก้าวหน้า และผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทั้งหลายซึ่งเป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคมรวมกันได้  ก็จะกลายเป็นพลังทางวัตถุที่แข็งแกร่ง  เมื่อนั้นก็จะสามารถโค่นล้มระบอบเผด็จการเก่าทุนนิยมผูกขาดที่หล้าหลังลง ได้  แล้วมวลชนที่เป็นพลังส่วนใหญ่ของสังคมก็จะสามารถมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  มีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค ความยุติธรรมในสังคมก็จะเกิดขึ้น ประชาชนจะสามารถเลือกรัฐบาลของตนเองขึ้นมาปกครองประเทศ ตามระบอบประชาธิปไตย สังคมใหม่ที่สูงกว่าก็จะเกิดขึ้นคือสังคมระบอบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ของปวง ชน.

(หมายเหตุ :- บทความนี้ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเมื่อประมาณเกือบ๔๐ปี มาแล้ว ซึ่งผู้เขียนคิดว่าบทความนี้ก็ยังเหมาะสมกับสภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน  เพื่อให้ท่านผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายได้อ่านเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบจากอดีดจนถึงปัจจุบันสภาพการก็ยังเหมือนเดิม.)

 

สิ่งที่ควรรู้เมื่อจะสู้กับระบอบภูมิพล ฟังคลิปน่าสนใจจะให้คำตอบ..ประจำวันที่ 29 เม.ย. 60



รายการ ... เพื่อสหพันธรัฐไท กับลุงสนามหลวง.
ดำเนินรายการโดย...ขุนทอง ไฟเย็น - สหายยังบลัด.

คลิกฟัง-มันมากับหอย. - FAIYEN CHANNEL


คลิกฟัง-ตรงไปตรงมา sanamluang20082008 15,035 views

(หมายเหตุ-ผู้ฟังควรใช้"วิจารณญาณ"ในการรับฟัง  คิดพิจารณาแยกแยะไตร่ตรองด้วยเหตุและผล แล้วจะเข้าใจเกิดปัญญา  เป็นแสงสว่างส่องนำทางในการปลดปล่อยตนเองและประเทศชาติออกเป็นไท..
บนเส้นทางการต่อสู้เรียกร้องที่มีมาทุกยุคทุกสมัยรุ่นแล้วรุ่นเล่าจากอดีตจนถึงปัจจุบัน(ไม่ใช่เพิ่งเกิด)นับเป็นเวลาได้หลายชั่วอายุคน  (นักเดินทางทุกคนต้องทำงานหนักด้วยจิตสำนึกเสียสละมีความจริงใจเพื่อจะทำงานช่วยเหลือสังคมมนุษยชาติโดยไม่คิดหวังในตำแหน่งลาภยศสิ่งตอบแทนใดๆ) 
เมื่อปลดปล่อยประเทศชาติออกเป็นไท  จากอำนาจระบอบเผด็จการทรราชราชาธิปไตยได้สำเร็จ...  
คืนอำนาจรัฐทั้งหมดให้กับประชาชนไทยทุกคนเป็นผู้ร่วมกันกำหนดเขียนตัวบทกฎหมายในการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมโดยเอื้อผลประโยชน์ให้ทุกคนทุกชนชั้นในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน....  
แต่...ถนนการเดินทางยังอีกยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด (ไม่ง่ายอย่างที่คาดหวังแน่นอน) อย่าได้ประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป...
การเปลี่ยนแปลงสังคมใดสังคมหนึ่งจะสำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยการตื่นตัวร่วมมือร่วมใจจากคนไทยทั้งประเทศเท่านั้น
 ยุคไฮเทคโลกไร้พรหมแดน ในการต่อสู้ อาวุธที่ทรงพลังมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างได้สูงสุด...
คือการให้ " ความรู้   ความจริงใจ  ความเข้าใจ" แก่ประชาชนนั่นเอง
การปลุกจิตสำนึกคนในสังคมให้ตื่นตัวได้รู้ได้เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนเอง เพื่อพัฒนายกระดับปรับเปลี่ยนแนวคิดก้าวทันการเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหง  การผูกขาดอำนาจชี้นำของพวกชนชั้นปกครองไทย(อำมาตย์ศักดินา  นายทุน  ขุนศึก นักการเมือง)
บนถนนการเดินทาง"ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร โปรดถนอมตัวเอง ฉะนั้นทุกคนต้องมีสติ มีระเบียบวินัย มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย  มีความต้องการปลดปล่อยช่วยเหลือตัวเองและช่วยเหลือชี้นำปลดปล่อยสังคมออกเป็นไท   )
 

เดือนเมษาหน้าร้อนผ่านไป....ย่างเข้าสู่เดือนพฤษภาหน้าฝนกำลังจะมาเยือน ธรรมชาติแปรปรวนโปรดตั้งอยู่ในควาอย่าประมาท...มระมัดระวัง

  
(ขบวนการมาเฟียผู้มีอิทธิพล..ทำลายชาติ)