torsdag 27 april 2017

คอลัมน์ ใบตองแห้ง


ดำน้ำสุดซอย
ใบตองแห้ง

ประเทศที่สมานฉันท์ รักกันฉันมิตร ต้องมีเรือดำน้ำ คณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำจีน 13,000 ล้านเป็นชั้นความลับ “มุมแดง” เมื่ออนุมัติแล้ว กลาโหมก็เก็บเอกสารกลับ โฆษกรัฐบาลจึงไม่ได้นำมาแถลงข่าว ไม่ใช่ต้องการปกปิด ปิดบัง ซ่อนเร้น หมกเม็ด แต่อย่างใด มติ ครม.มี 40-70 เรื่องคงแถลงทุกเรื่องไม่ได้ จึงหยิบเรื่องน่าสนใจมาแถลงเท่านั้น แถมบังเอิ๊ญ วันนั้นก็ไม่มีสื่อซักถามซักราย
แหม ฟังคำชี้แจงของโฆษกไก่อูแล้ว มันน่าโทษสื่อ ทำไมไม่ถามๆๆ ทีเรื่องไม่เกี่ยวกับปากท้องอย่างหมุดคณะราษฎรดันเอาไปถาม สื่อไม่ทำหน้าที่เองนี่หว่า เดี๋ยวประชาชนก็ เห็นด้วยกับ สปท.เสียหรอก ว่าสื่อต้องมีใบอนุญาต ใครไม่มี ต้องโทษจำคุก 2 ปีเหมือนหมอนวดแผนโบราณ
เอ๊ะ แล้วซื้อเรือดำน้ำเกี่ยวกับปากท้องหรือเปล่า เกี่ยวสิ นายกฯ ก็บอกว่าความมั่นคงเป็นปัจจัยทำให้เศรษฐกิจดี รมช.พาณิชย์ยังบอกว่าการมีเรือดำน้ำจะเป็นปัจจัยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต
เรือดำน้ำสมานฉันท์ รักกันฉันมิตร รัฐบาลไม่ได้ปกปิด แค่เห็นเป็นเรื่องไม่น่าสนใจ ถ้าปกปิดจะเอามาเปิดเผยเองทำไม “พี่ป้อม” ลาพักร้อนไปราชการลับ เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ สื่อก็ไปถามเรื่องหมุดคณะราษฎร ดันไม่ถามเรื่องเรือดำน้ำ เท่านั้นเอง
ก็ไม่ทราบชี้แจงอย่างนี้สังคมจะพอใจไหม ดูเหมือนผู้คน ยังติดใจว่าทำไมอนุมัติลับๆล่อๆ โถ ทำยังกับอนุมัติเปิดเผยโจ่งแจ้งแถลงไข ใครไม่เห็นด้วยยกมือขึ้น! แล้วยังจะคัดค้านได้ รัฐบาลท่านยืนยันว่าถูกและดีทุกอย่าง ยังจะมีใครเป่านกหวีดเหรอ
คอลัมนิสต์ใหญ่ยังเห็นด้วยเลยว่าต้องซื้อเรือดำน้ำไว้อวดชาติอาเซียน สร้างภูมิคุ้มกัน อย่ามัวเป็นคุณหนูลอยคอ ยิ่งช้ายิ่งเสียโอกาส ใครที่โวยว่าเศรษฐกิจไม่ดี ก็ให้ไปถามลุงกำนัน เพราะลุงกำนันยังอยากให้เพิ่มค่าสมาชิกพรรคการเมืองจาก 100 เป็น 365 บาทเลย
อย่าไปกลัวรัฐบาลถลุงงบ เพราะกว่าจะจ่ายตังค์ครบ เราก็จะเข้าสู่โลกอนาคต ไทยแลนด์ 4.0 ศูนย์กลางการค้าการลงทุน สตาร์ทอัพ นวัตกรรม EEC ตามที่ท่านสมคิดวาดฝันไว้ เอาเฉพาะค่าเช่าที่ดิน 99 ปี เผลอๆ ซื้อได้ถึงยานอวกาศ ไม่ใช่แค่เรือดำน้ำ
ดังนั้น คนชั้นกลางในเมือง ที่เป่านกหวีดสนับสนุนรัฐบาลก็ไม่ควรโวย การโค่นล้มนักการเมืองชั่วต้องมีต้นทุน ไม่เห็นหรือ หลังรัฐประหาร 49 โค่นรัฐบาลทุนสามานย์ ใช้งบประมาณหาเสียงกับชาวบ้าน “ประชานิยม” เราก็เปลี่ยนมาเพิ่มงบประมาณกลาโหมจนสูงขึ้นเกิน 2 เท่า (ของฟรีไม่มีในโลก จำไว้)
อย่างน้อยรัฐบาลนี้ก็จะไล่เก็บภาษีทักษิณ 1.76 หมื่นล้าน เรียกค่าเสียหายยิ่งลักษณ์ 3.5 หมื่นล้าน ถ้าได้ครบ นอกจากซื้อเรือดำน้ำ 3.6 หมื่นล้าน ก็ยังเหลืองบดูงานยุโรปได้อีกหลายปี
ในด้านกลับกัน ก็ไม่ต้องห่วงกังวลเสถียรภาพรัฐบาล โถ ใครนะ ปล่อยข่าวปรับ ครม. มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อยังไงๆ ประชาชนผู้มีปากเสียงอย่างคนชั้นกลางในเมือง สังคมโซเชี่ยล ลูกขุนออนไลน์ ก็ยังต้องสนับสนุนรัฐบาลต่อไป แค่มีบางคนรู้สึกกระอักกระอ่วน เมื่อไปสะกิดสิ่งที่เรียกว่าต่อมจริยธรรม แต่ สปท.ก็ลงมติท่วมท้นแล้วไง ว่าป๋าไม่ฝ่าฝืนจริยธรรม แค่ว่ากล่าวตักเตือน เอาต่อมจริยธรรมไปไล่ล่าข้าราชการที่ถูกกล่าวหาว่าซื้อประเวณีเด็ก หรือไล่ล่าอาจารย์จุฬาฯ ตุ๋นสหกรณ์ดีกว่า
ใครว่ารัฐบาลขาลง? อ้าว ถ้าไม่เอาขาลง จะให้เอาหัวลงหรือไร ดุสิตโพลก็บ่นไป กี่ปีๆ ก็ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง แต่ยังไงๆ ต้องชื่นชมยกย่องนายกฯ ปราบโกงโปร่งใส ยังไงๆ ประเทศไทยก็ต้องเดินหน้าไปสู่เลือกตั้ง “ขอเวลาอีกไม่นาน” ภายใต้กฎหมายพันธนาการพรรคการเมือง ภายใต้กฎหมายควบคุมยุทธศาสตร์ชาติ ที่มี ผบ.เหล่าทัพเป็นซูเปอร์บอร์ด พร้อมๆ กับเป็น ส.ว.แต่งตั้ง เพื่อความมั่นคงชั่วกัลปาวสาน
เสียงนินทากาเลเรือดำน้ำ ต้นซอยสุดซอยอย่างไร ก็จะเป็นแค่คลื่นกระทบฝั่ง ไม่กระเทือนเสถียรภาพรัฐบาล ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน ตรงกันข้าม ถ้าพวก “ขาประจำ” นักเคลื่อนไหวประชาธิปไตย เสื้อแดง เพื่อไทย ออกมาโวยมากไป ก็จะโดนหมั่นไส้ หรือถ้ามีใครเคลื่อนไหวเช่าเรือ ออกอ่าวไทยไปวัดความลึกของน้ำ ก็อาจถูกจับกลางทาง ถูกคนอีกข้างรุมด่า ฯลฯ
เรื่องเก่าเล่าใหม่ ไม่น่าแปลกใจ เพราะนี่คือสังคมไทยในยุคอับจน ไม่เห็นทางออก ก็ต้อง “อยู่เป็น” แบบตัวใครตัวมัน ไม่ว่ากัน ขออย่างเดียว อย่าอ้างต่อมจริยธรรม แต่พลิกเลียเท้าจนสะอิดสะเอียน (หน้า 6)
..........................................................

สื่อไม่ได้สูงส่งกว่าหมอนวด จริงๆ นะ
ใบตองแห้ง

“ใบตองแห้ง” ชี้ สื่อเป็นอาชีพที่ต้องตรวจสอบจากผู้บริโภค แต่ไม่ใช่ด้วยการขึ้นทะเบียน และสื่อไม่ได้มีลักษณะวิชาชีพที่ต้องขึ้นทะเบียน เหมือนหมอนวด หมอ หรือทนายความ
นายอธึกกิต แสวงสุข หรือใบตองแห้ง นักวิเคราะห์ประจำรายการใบตองแห้งออนแอร์กล่าวถึงแนวคิดบังคับขึ้นทะเบียนสื่อ และมีภาคบังคับต้องโทษจำคุกหากทำหน้าที่สื่อโดยไม่จดทะเบียน และขณะนี้อยู่ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติว่า แม้จะมีการเปรียบเทียบว่าหมดนวดก็ต้องจดทะเบียน แต่เป็นการเปรียบเทียบแบบผิดฝาผิดตัวเพราะหมดนวดต้องมีพื้นฐานความรู้ ขณะที่สื่อนั้นคือคนทำหน้าที่สื่อสารที่มีพื้นฐานความรู้ที่หลากหลาย เช่น
“ถ้ามีการทำข่าวการเมือง ข่าวการอภิปราย นายกฯ พูด 30 นาที ต้องฟังให้ออกว่ามีกี่ประเด็น ส่งกลับมาให้รีไรเตอร์และหัวหน้าข่าวตรวจสอบ พาดหัว นี่คือวิชาชีพที่ต้องใช้ภาษาไทย วิชาเขียนข่าว รู้จักย่อความ จับใจความ แล้วจำเป็นต้องจบการศึกษาด้านสื่อหรือไม่ บางคนก็ไม่จบ เวลาฟังคำแถลงของศาล คนจบนิติศาสตร์ ฟังได้ดีกว่าคนจบนิเทศ คนจบเศรษฐศาสต์ก็ฟังเรื่องเศรษฐกิจได้ดดีกว่าคนจบนิเทศ คำถามคือ อะไรคือพื้นฐานวิชาชีพสื่อที่ต้องเอาไปจดทะเบียนแบบหมอนวด คำตอบคือไม่มี ไม่มีอะไรที่จะต้องความฉพาะพิเศษไม่เหมือนหมอนวด ไม่เหมือนหมอ ไม่เหมือนทนายความ”
ทั้งนี้ นายอธึกกิตกล่าวว่า สื่อเป็นอาชีพสาธารณะ ถูกตรวจสอบโดยสาธารณะ หากถูกสาธารณะตรวจสอบประจานก็ย่อมอยู่ไม่ได้ แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ วิชาชีพสื่อ เวลาที่ไปละเมิดคนอื่น สื่อมีอิทธิพล และเรากำลังพูดถึงสื่อกระแสหลัก บางทีสื่ออาจจะมีเส้นสายทางการเมือง ทางราชการ ทหาร ตำรวจ ดังนั้นจึงน่ากลัวที่ชาวบ้านจะไปร้องเรียนสื่อ จึงควรมีองค์กรที่คุ้มครองผู้บริโภคสื่อในการช่วยประชาชนทั่วไปในการฟ้องร้องตรวจสอบสื่อ แต่องค์กรที่ว่านี้ไม่ควรจะมีลักษระของการลงโทษได้ หากแต่ต้องใช้กฎหมายปกติ
กรณีต่อมาคือหากเป็นเว็บไซต์แล้วมีการโฆษณาหารายได้ เช่น sanook, kapook, หรือแม้แต่เฟซบุ๊กเพจอย่าง drama-addict ก็ยังอาจจะต้องเข้าสู่ระบบตรวจสอบควบคุม ทั้งๆ ที่เพจหรือเว็บเหล่านี้เป็นเรื่องของความนิยมและนำมาสู่รายได้จากการโฆษณา ซึ่งหากเขาผิดกฎหมายตรงไหนก็ควรไปใช้ช่องทางนั้น แต่จะเรียกร้องให้เขาต้องขอใบอนุญาตในฐานะสื่อ นั้นไม่เรื่องที่จำเป็น  และไม่จำเป็นต้องไปถึงขึ้นที่ต้องมีการขึ้นทะเบียน และกำหนดว่าไม่มีใบอนุญาตแล้วคิดคุก

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar