lördag 15 april 2017

บทเรียนจากประวัติศาสตร์ของอียิปต์และ เอธิโอเปีย......

โดย  แสงตะวัน  

บทเรียนจากประวัติศาสตร์ของอียิปต์และ เอธิโอเปีย.......

ถ้า จะเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศอียิปต์ก็ต้องมองย้อนหลังไปเมื่อสมัย กษัตริย์ฟารุกยังมีอำนาจปกครองประเทศอียิปต์อยู่  คือก่อนปี พ.ศ ๒๔๙๕ หรือ ปี ค.ศ. 1952  ซึ่งสภาพการณ์การปกครองของไทยในเวลานี้ก็เหมือนกับประเทศอียิปต์ในเวลานั้น  ที่กษัตริย์เป็นผู้ผูกขาดอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ  หรือเรียกว่าประเทศปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการกษัตริย์  โดยใช้อำนาจ กดขี่ข่มเหง ขูดรีดประชาชน ทรยศคตโกงประเทศชาติ ทำตัวเหลวแหลก ทำตัวเป็นเพล์บอย มีเมีย มากมาย จนประชาชนทนไม่ได้ในที่สุด  ก็ถูกคณะทหารนำโดย พันเอก Gamal Abdel  Nasser   และ Muhammad Naquip  โค่นลง เมื่อวันที่ ๒๖ เดือน กรกฎาคม พศ. ๒๔๙๕  แล้วกษัตริย์ฟารุค ก็ถูกเนรเทศออกจากประเทศไป  ระบอบกษัตริย์ของอียิปต์ก็สิ้นสุดลง อียิปต์ได้เปลี่ยนมาเป็นระบอบสาธารณรัฐจนถึงเวลาปัจจุบัน โดย พันเอก นัสเซอร์ได้เป็นประธานาธิบดีปกครองประเทศอียิปต์มาจนตายและมีการปกครองโดย ระบอบสาธารณรัฐมาจนถึงปัจจุบัน

อีกหนึ่งตัวอย่างให้ย้อนมองไปดูการเปลี่ยนแปลงในประเทศ เอธิโอเปีย  สมัยที่กษัตริย์ Haile Selassie  ถูกโค่นล้มลงในวันที่ ๒๗ สค. ๒๕๑๘ โดย พันเอก  Mengistu Haile Mariam     จักรพรรดิ์  ไฮลีเซลาสซี่ ปกครองประเทศเอธิโอเปียโดยระบอบเผด็จการโดยปล่อยให้ ประชาชนอดอยากทุกข์ยาก เดือดร้อนกันทั้งประเทศ แต่หมาของจักรพรรดิ์ได้กินอาหารจากพานทองคำ    ในขณะเดียวกันจักรพรรดิ์มีชีวิตอยู่อย่างฟุ่มเฟือยหรูหรา คดโกงประเทศชาติ ลักลอบเอาเงินของชาติไปฝากไว้ที่ธนาคารต่างประเทศเป็นจำนวนมหาศาล
ในเมื่อประชาชนเอธิโอเปียยากจนอดอยากไม่มีจะกิน   ได้รับความเดือดร้อนหนักทนความอดอยากแร้นแค้นไม่ไหว   พันเอก Mengistu Haile Mariam  ก็ได้โค่นล้มจักรพรรดิ์ ไฮลี เซลาสซี่ลง  แล้วเปลี่ยนการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยมาเป็นระบอบ สาธารณรัฐ  ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน


ท้ายนี้ฝากถึงพี่น้องทหารหาญเพื่อนร่วมชาติทุกท่านผู้มีจิตสำนึกรักชาติรักความถูกต้องยุติธรรม มีแนวคิดเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย  ที่ต้องการปลดปล่อยตัวเองและประเทศชาติออกเป็นไทยร่วมกับประชาชนไทย   ถ้าท่านต้องการให้ประเทศไทย มีการเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตย เหมือนกับสองประเทศที่ยกตัวอย่างมา       
ควรศึกษาหรือค้นคว้าดู จากประวัติศาสตร์ของทั้งประเทศอียิปต์และประเทศเอธิโอเปีย   
เพราะสถานการณ์ประเทศไทยเวลานี้ไม่ต่างไปจากประวัติศาสตร์อิยิปต์สมัยกษัตริย์ฟารุคในอดีต..และประวัติศาสตร์เอธิโอเปียสมัยจักรพรรดิ์ ไฮลี เซลาสซี่..... 




Dr. ปรีดี พนมยงค์  บิดาแห่งการปฏิวัติ ๒๔๗๕
เมื่อ อายุได้ ๑๘ ปี  นายปรีดีพนมยงค์  สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมายและเป็นสมาชิกของเนติบัณฑิตยสภา  ต่อมาได้รับทุนจากกระทรวงยุติธรรมไปศึกษาวิชากฎหมาย  ณ ประเทศฝรั่งเศส ระหว่าง ๒๔๖๓- ๒๔๗๐
นาย ปรีดี พนมยงค์  ถือกำเนิดและเติบโตมาในท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง  ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๔๔๓ อันเป็นช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ ๕  ในครอบครัวชาวนาจังหวัดพระนครศรีอยุทธยา  ชีวิตในวัยเด็กทำให้นายปรีดีได้สัมผัสกับสภาพปัญหาของชาวนา  ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศในยุคนั้น

“ ผมได้กล่าวแล้วถึงสภาพสังคมไทยที่ผมประสบพบเห็นแก่ตนเองว่าราษฎรได้มีความ อัตคัดขัดสนในทางเศรษฐกิจ  เพราะไม่มีสิทธิเสรีภาพกับความเสมอภาคในทางการเมือง  อีกทั้งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและอำนาจของหลายประเทศทุนนิยม  ผมได้มีความคิดก่อนที่ได้มาศึกษาในฝรั่งเศสแล้วว่าจะต้องค้นคว้าศึกษาเพิ่ม เติม ว่าวิธีใดที่จะทำให้ความเป็นอยู่ของราษฎรดีขึ้น “
ภาย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕  นายปรีดีเป็นผู้นำคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน  ผู้มีบทบาทมากที่สุดในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่  เนื่องจากเป็นคนไทยคนแรกที่สำเร็จดุษฎีบัณฑิตกฎหมายจากมหาวิทยาลัยปารีส  นายปรีดีจึงให้ความสำคัญกับงานด้านนิติบัญญัติ  กับการปกครองเป็นพิเศษ  นอกจากจะเป็นผู้ร่างประกาศคณะราษฎรแล้ว  ท่านยังเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของสยามประเทศ  ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย  และยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่ง ราชอาณาจักรสยาม พ.. ๒๔๗๖  ซึ่งมีเนื้อหาจัดรูปแบบการปกครองออกเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น

นาย ปรีดีมิได้มุ่งหมายเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบ ประชาธิปไตยทางการเมืองเท่านั้น  หากแสดงเจตนารมณ์และแสดงบทบาทอย่างแจ่มชัดที่จะก้าวไปสู่ประชาธิปไตยทาง เศรษฐกิจ  สังคมและการศึกษา  เหนือสิ่งอื่นใด  ท่านปรารถนาที่จะให้ระบอบประชาธิปไตยเป็นบรรทัดฐานในการพัฒนาประชาชาติเล็กๆ อย่างสยาม  ให้ยืนหยัดอยู่อย่างมีเอกราชและศักดิ์ศรีในทุกด้าน  ท่ามกลางนานาอารยประเทศในประชาคมโลกยุคใหม่  เจตนารมณ์ประชาธิปไตยของท่านปรากฎอย่างชัดเจนในหลัก ๖ ประการของ  “ ประกาศคณะราษฎร “  ที่ท่านเป็นผู้ร่างขึ้นเพื่อใช้เป็นคำแถลงการณ์ในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
หลัก ๖ ประการของ  “ ประกาศคณะราษฎร “
๑. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย  เช่นเอกราชในทางการเมือง  ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง  
๒. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ  ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
. จะ ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ  โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้     ราษฎรทุกคนทำ  จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ  ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
. จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ  มีความเป็นอิสระ
. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร


นาย ปรีดี พนมยงค์  เป็นนักการเมืองคนแรกที่ริเริ่มแนวความคิดที่จะให้ราษฎรทุกคนได้รับการ ประกันสังคมจากรัฐบาล โดยระบุไว้อย่างชัดเจนในหมวดที่ ๓  แห่งเค้าโครงการเศรษฐกิจฯ  แต่น่าเสียดายที่ร่างของแนวความคิดดังกล่าวถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์  กว่าประเทศไทยจะยอมรับให้มีนโยบายประกันสังคมให้แก่ประชาชนก็เป็นเวลา ๖๐ ปีหลังจากนั้น
นาย ปรีดีเป็นตัวตั้งตัวตีให้รัฐบาลยกฐานะกรมร่างกฎหมายเป็น  “ คณะกรมการกฤษฎีกา “  ทำหน้าที่ร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน  ทั้งยังพยายามพลักดันให้  “ คณะกรรมการกฤษฎีกา “ ทำหน้าที่ “ ศาลปกครอง “ อีกด้วย  แนวความคิดในเรื่อง “ ศาลปกครอง “  ของท่านแสดงให้เห็นว่า  ท่านต้องการให้ราษฎรสามารถตรวจสอบฝ่ายปกครองได้  และมีสิทธิในทางการเมืองเท่าเทียมกับข้าราชการอย่างแท้จริง  นายปรีดีสนับสนุนแนวคิดศาลปกครองมาตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.. ๒๔๗๕

“ ระหว่างที่ข้าพเจ้าศึกษาวิชากฎหมายนั้น  ข้าพเจ้าเห็นว่า  มหาอำนาจต่างชาติถือสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือประเทศสยาม  ไม่ว่าจะเป็นทางทฤษฎีหรือทางปฏิบัติ  คนในสังคมมหาอำนาจเหล่านี้ไม่ต้องขึ้นศาลไทย  เพราะคดีที่มีคู่ความเป็นคนสังกัดต่างชาติเหล่านั้น จะต้องให้ศาลกงสุล  หรือศาลคดีระหว่างประเทศตัดสิน  ทั้งนี้เป็นไปตามสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคระหว่างชาติมหาอำนาจกับประเทศสยาม  ในศาลคดีระหว่างประเทศ  คำวินิจฉัยของผูพิพากษาชาติยุโรปจะมีน้ำหนักมากกว่าคำวินิจฉัยของผู้พิพากษา ชาวสยาม  ข้าพเจ้าไม่พอใจการใช้อำนาจอธิปไตยเช่นนี้เลย   ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของชาติอัน สมบูรณ์  โดยมีอำนาจอธิปไตยของตนอย่างเต็มเปี่ยม “
เมื่อ ภารกิจด้านการปกครองกระทรวงมหาดไทยเข้ารูปเข้ารอยแล้ว  นายปรีดีเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  เพื่อเป็นผู้นำในการแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคที่รัฐบาลสยามสมัยสมบูรณาญา สิทธิราชย์ได้ทำไว้กับประเทศต่างๆ  ในนามของสนธิสัญญาทางไมตรี  พานิชย์ และการเดินเรือ  เป็นจำนวน ๑๒ ประเทศ  ซึ่งเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของคณะราษฎรในหลัก ๖ ประการที่จะต้อง  “ รักษาความเป็นเอกราชของประเทศไว้ให้มั่นคง “  หลักการใหญ่ๆ  ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์  สามารถแก้ไขในสนธิสัญญาไม่เสมอภาคได้สำเร็จ  คือสิทธิสภาพนอกอาณาเขต   แต่เดิมคนในบังคับของต่างประเทศไม่ต้องขึ้นศาลสยาม  ทำให้สยามสูญเสียเอกราชในทางศาล  นอกจากนี้ต่างประเทศยังบังคับให้รัฐบาลสยามเรียกเก็บภาษีขาเข้าได้เพียงไม่ เกินร้อยละ ๓ เท่านั้น  ทำให้เก็บรายได้ไม่เต็มที่  นับเป็นการเสียเอกราชทางเศรษฐกิจที่จำต้องแก้ไข

นาย ปรีดีได้ใช้ยุทธวิธีบอกเลิกสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับประเทศคู่สัญญา  และได้ยื่นร่างสนธิสัญญาฉบับใหม่ที่สยามได้เอกราชและอธิปไตยสมบูรณ์ให้ ประเทศเหล่านั้นพิจารณา  นายปรีดีได้ใช้ความอุตสาหะพยายามเจรจา  โดยอาศัยหลัก  “ ดุลยภาคแห่งอำนาจ “  จนประเทศนั้นๆ ยอมทำสนธิสัญญาใหม่ที่สยามได้เอกราชอธิปไตยสมบูรณ์ทั้งในทางการเมือง  ในทางศาล  และในทางเศรษฐกิจ
เมื่อนายปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการครัง  (.. ๒๔๘๑- ๒๔๘๔  )  ได้ปฏิบัติภารกิจเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคมคือ
. ยกเลิกเงินภาษีรัชชูปการ  อันเป็นเงินส่วยที่ราษฎรไพร่ต้องเสียให้แก่เจ้าศักดินา ๒. ยกเลิกอากรค่านาซึ่งชาวนาต้องเสียแก่เจ้าศักดินาสูงสุดที่ถือว่าที่ดินทั้งหลายทั่วราชอาณาจักรเป็นของประมุขของสังคม
๓. จัด ระบบเก็บภาษีอากรที่เป็นธรรมในระบอบประชาธิปไตยโดยสถาปนา  “ ประมวลรัชฎากร “  เป็นแบบฉบับครั้งแรกในประเทศไทย  ซึ่งรวมบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีอากรทางตรง  ผูใดมีรายได้มากก็เสียภาษีมาก  และถ้าผู้ใดบริโภคเครื่องบริโภคที่ไม่จำเป็นแก่การดำรงชีพ  ก็ต้องเสียภาษีอากรมากตามลำดับ
. การ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ  เพื่อให้มีการใช้งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีอากรของราษฎรอย่างรัดกุม  และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ


ใน ช่วงเวลาที่นายปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  แม้จะเป็นช่วงที่ใกล้เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วก็ตาม  แต่เสถียรภาพทางการเงินและการคลังของสยามนับว่ามั่นคงที่สุดยุคหนึ่ง  ด้วยการเล็งการณ์ ไกลของท่าน  ได้ทำให้เสถียรภาพของเงินบาทมั่นคง  กล่าวคือเมื่อก้าวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒  นาย ปรีดีคาดคะเนว่าเงินปอนด์ที่เป็นเงินทุนสำรองเงินตราอาจจะไม่มีเสถียรภาพจึง ได้นำเงินปอนด์จำนวนหนึ่งไปซื้อทองคำเป็นจำนวนน้ำหนักประมาณ ๑ ล้านออนซ์  ในราคาออนซ์ละ  ๓๕ เหรียญสหรัฐฯ  และได้นำทองคำนั้นมาเก็บไว้ในห้องนิรภัยกระทรวงการครัง  ซึ่งยังคงรักษาไว้เป็นทุนสำรองเงินบาทอยู่จนปัจจุบัน
ทัน ที่ที่กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าประเทศไทย  เมื่อวันที่ ๘  ธันวาคม ๒๔๘๔  ผู้นำเผด็จการทหารของไทยเวลานั้นเข้าร่วมกับญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสัมพันธ มิตรสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ  นายปรีดีได้อาศัยฐานะของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทำการประสานความสามัคคีของคนไทยทุกฝ่ายทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ  นับตั้งแต่พระบรมวงศานุวงค์  ทหาร ตำรวจ  ข้าราชการพลเรือน  นิสิตนักศึกษา  ปัญญาชน กรรมกร ชาวไร่ชาวนา  ทำงานกู้ชาติบ้านเมืองในนามของขบวนการเสรีไทย  โดยมีท่านเป็นหัวหน้า  มีชื่อจัดตั้งว่า รูธ  ภารกิจของขบวนการเสรีไทยคือร่วมมือกับคนไทยและสัมพันธมิตรต่อสู้ญี่ปุ่นผู้ รุกราน  และปฏิบัติการให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรองว่าเจตนารมณ์ที่แท้จริงของราษฎรไทย ไม่เป็นศัตรูต่อฝ่ายสัมพันธมิตร  เพื่อหวังผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรองว่าไทยเป็นรัฐเอกราชไม่ตกเป็นประเทศแพ้ สงคราม
ภาย หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒  นายปรีดีได้ใช้ความรู้ความสามารถเจรจาต่อรองกับฝ่ายสัมพันธมิตร  ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องถูกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตร  ทำให้ประเทศไทยเป็นเอกราชมาจนถึงทุกวันนี้  และท่านมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ ๕๕ ของสหประชาชาติ  ซึ่งเป็นองค์การของผู้ชนะสงครามโลกในเวลานั้น  ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ ธันวา ๒๔๘๘ มีพระบรมราชองการ  ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์  ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส  และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้าวิเศษและนพรัตน์ราช วราภรณ์  อันเป็นชั้นสูงสุดที่สามัญชนพึงได้รับ
๙  มิถุนายน ๒๔๘๙  รัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคต  นายปรีดี พนมยงค์   นายกรัฐมนตรีได้ขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาให้อันเชิญพระเจ้าน้องยาเธอ  เจ้าฟ้าภูมิพล อดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบสันติวงค์ต่อไป  และรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์  เสร็จการประชุมรัฐสภา  นายปรีดีได้ขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  โดยเหตุผลว่า  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว
( นายสุภา  ศิริมานนท์  นักหนังสือพิมพ์อาวุโส ได้กล่าวใน  สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์  ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๖)
“ ผมเห็นว่าชีวิตของท่านมีสองอย่าง  คือถ้าไม่มีท่าน  ไทยจะไม่มีประชาธิปไตยและไม่มีเอกราช  เพราะท่านตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นมา  เพื่อไม่ให้ไทยชื่อว่าเป็นประเทศแพ้สงคราม  ส่วนกรณีสวรรคตนั้น  ยังเป็นเรื่องที่ต้องสะสางกันต่อไป  เป็นการใส่ร้ายป้ายสี  ใครที่บังอาจกล่าวเรื่องนี้ต้องแพ้คดีในศาลหมด “   พฤศจิกายน ๒๔๙๐  พลโท ผิน ชุณหะวัณ  และทหารบางกลุ่มได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพลเรือน  ซึ่งมีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี  และใช้กำลังทหารประกอบด้วยรถถังและอาวุธทันสมัยระดมยิงเข้าไปในทำเนียบท่า ช้างเพื่อจับตัวนายปรีดีซึ่งเป็นเพียงรัฐบุรุษอาวุโส  เป็นผลให้นายปรีดีต้องหนีตายไปสิงคโปร์  และแม้ว่านายปรีดีได้รวบรวมกลุ่มผู้รักชาติในนามของขบวนการประชาธิปไตย  ๒๖  กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ เข้าต่อสู้กับคณะรัฐประหาร แต่ก็ประสบความพ่ายแพ้  ทำให้นายปรีดีต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศจีน  เหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นการปิดฉากการปกครองระบอบประชาธิปไตย  และส่งผลให้อำนาจมืดครอบงำการเมืองไทยไปอีกยาวนาน. ( ที่มาจาก สารคดี ฉบับพิเศษ คือวิญญาณเสรี  ปรีดี พนมยงค์  พฤษภาคม ๒๕๔๓ )

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar