onsdag 20 november 2013

พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน

ศาลรัฐธรรมนูญ, ปปช., ล้วนเป็นองค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้นโดยอำนาจของการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จุดมุ่งหมายก็คือเพื่อธำรงค์รักษารัฐธรรมนูญฉบับ 2550 นี้ให้คงทนถาวรไม่ให้ใครหรืออะไรมาเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ อีกทั้งยังใช้เป็นอำนาจสุดท้ายที่จะเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐสภาที่มาจากประชาชน ไทยทั้งมวล

จากอดีตที่ผ่านมาหลายครั้งหลายหนที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจที่ตนเองมีอยู่ พิจารณาคดีโดยไม่ได้ยึดตามหลักนิติธรรม แต่ใช้คำเห็นส่วนตัวและการตีความแบบเอียงข้างอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลและมีคำ ตัดสินที่ทำลายอำนาจอธิปไตยที่มาจากประชาชนชาวไทยอย่างเห็นได้ชัดเช่น การตัดสินถอดถอนนายกสมัคร สุนทรเวช ด้วยข้อหาทำกับข้าวออกทีวี, การตัดสินยุบพรรคการเมืองพร้อมๆ กัน 4 พรรคการเมือง, การตัดสินตัดสิทธิ์ทางการเมืองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, แต่กลับยกคำร้องหรือแถลงคำตัดสินที่เข้าข้างฝ่ายประชาธิปัตย์อย่างเห็นได้ ชัด ทันทีที่มีโอกาสศาลรัฐธรรมนูญจะไม่ปล่อยให้ศัตรูคู่อาฆาตคือฝ่ายประชาธิปไตย หลุดรอดไปได้อย่างแน่นอน

เมื่อพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาในเชิง “แทงกั๊ก” ไม่ทำลายให้สิ้นซาก แต่ก็ไม่ได้ยอมแพ้จนสิ้นสุด น่าจะวิเคราะห์ได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังดำเนินการเป็น 2 แนวทางคือ

1. ศาลรัฐธรรมนูญกำลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเผือกร้อนนี้ให้พ้นไปจากตัว เอง โดยโยนเผือกร้อนนี้ไปที่พระราชวินิจฉัยว่าจะลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าลงมา หรือไม่? เพราะถ้าเผอิญพระราชวินิจฉัยนั้นลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าลงมาตามปกติ ก็เท่ากับศาลรัฐธรรมนูญก็จะกลายเป็นผู้ละเมิดพระราชวินิจฉัยเสียเอง (ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนั้นมาจากได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้ง)

2. ถ้าพระราชวินิจฉัยไม่โปรดเกล้าลงมาภายในเวลา 90 วันตามรัฐธรรมนูญกำหนด ก็เท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังดึงเอาพระราชวินิจฉัยการลงพระปรมาภิไธย ลงมาเป็นคู่ปะทะกับอำนาจของประชาชน (รัฐสภา) เพราะขณะนี้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ในขั้นตอนพระราชวินิจฉัยซึ่งจะไม่มีใคร สามารถก้าวล่วงพระราชอำนาจได้

ดังนั้นโดยสรุปก็คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านานี้ก็ยังคงใช้วิธี โหนเจ้า เพื่อดึงให้มาเป็นแนวกันชนกับอำนาจประชาชนอีกเช่นเคยเพียงแต่ใช้กระบวนการ แยกส่วนออกเป็นสองลักษณะเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่วินิจฉัยให้ยุบพรรคหรือตัด สิทธิ์ ส.ว. หรือ ส.ส. ทั้ง 312 คนก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พฤติกรรมการจองเวรและอาฆาตมาดร้ายของฝ่ายเผด็จการที่มีต่อฝ่ายประชาธิปไตยจะ หมดสิ้นไป คำวินิจฉัยอย่าง “แทงกั๊ก” ของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้เป็นสัญญาณที่เห็นได้ชัดว่า “มีใบสั่งตรงลงมาจากอำนาจเบื้องสูงที่จะให้เกิดการปะทะกับอำนาจของประชาชน โดยตรง” หรือ “มีความพยายามที่จะดึงให้อำนาจเบื้องสูงลงมาปะทะกับอำนาจประชาชนโดยอ้อม”

แนวทางที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยสามารถกระทำได้ในเวลานี้น่าจะมีได้หลายช่องทางเช่น

1. เมื่อ ส.ส. และ ส.ว. ประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินในกรณีร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ของ ส.ว. มาตั้งแต่แรกนั้น ควรที่พรรคเพื่อไทยรวมถึง ส.ส. และ ส.ว. เหล่านั้นจะประกาศท่าที่อย่างชัดเจนต่อความเห็นในคำวินิจฉัยของศาลรัฐ ธรรมนูญในกรณีนี้ และยืนยันว่าจะกระทำตามรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้องชัดเจนต่อไป โดยไม่หวั่นไหวต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

2. ขณะนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้วางเดิมพันท้าทายอำนาจประชาชนเอาไว้ตรงหน้าแล้ว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลจะต้องนำข้อมูลแห่งความจริงในรัฐธรรมนูญมาสำแดงให้ประชาชนทั้ง ประเทศได้รับรู้และเข้าใจ รวมถึงทำประชาพิจารณ์เพื่อสอบถามความเห็นในกรณีของศาลรัฐธรรมนูญว่าจำเป็นจะ ต้องแก้ไขที่มาของศาลรัฐธรรมนูญต่อประชาชนทั้งประเทศ

3. เพื่อให้กระแสร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. ที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ผ่อนคลายลง อาจจะจำเป็นที่รัฐบาลควรจะนำเอาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ที่ค้างอยู่ในสภา มาโหวตลงมติวาระ 3 เสียโดยทันที ในขณะที่ไหนๆ ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักนิติธรรมหรือหลักกฏหมายแล้ว ก็นำเอาอำนาจประชาชนออกปะทะซึ่งหน้ากับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญเสียเลย ดีกว่าจะปล่อยให้ปัญหาค้างคาอยู่เช่นนี้

เวลานี้เป็นการเปิดหน้าออกมาปะทะกันซึ่งหน้าระหว่างหัวหน้าของอำนาจเผด็จการ และอำนาจของประชาชน เมื่อสุดท้ายหลักกฏหมายไม่สามารถนำมาใช้ได้ในประเทศนี้ก็คงจะเป็นอย่างที่ ดร. วรเจตน์ ภาครัตน์ กล่าวว่า “ในที่สุดแล้วกำปั้นใครใหญ่กว่าคนนั้นก็ได้อำนาจไป” ก็ในเมื่อฝ่ายประชาธิปไตยยอมถอยจนสุดซอย ทะลุซอย ให้กับฝ่ายเผด็จการในทุกๆ ทางแล้วแต่ก็ยังรุกไล่กันไม่เลิกเช่นนี้ คงจะถึงเวลาที่จะกล่าวเช่นเดียวกับที่สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสว่า

“พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด”

ว่าแต่ว่า พรรคเพื่อไทยพร้อมหรือยังที่จะก้าวออกหน้าข้างหน้าประชาชนเพื่อนำประชาธิปไตยมาสู่ประเทศนี้เสียที

ปูนนก

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar