โดย สายลมรัก
เมื่อ จันทร์, 18/11/2013 - 15:36
เมื่อ จันทร์, 18/11/2013 - 15:36
พี่น้องที่รักทั้งหลาย....
นับแต่วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑ ที่เราทุกคนต่างขนานนามกันว่า "วันตาสว่างแห่งชาติ" เมื่อ ๗ ปีก่อน
มวลมหาประชาชน ได้ตัดสินใจก้าวข้าม "ความกลัว" "ความน้อยเนื้อต่ำใจ" ร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว แสดงเจตจำนงค์ ณ สนามรัชมังคลา
ไพร่สยาม ได้ร่วมกันชูสองมือร้องขอ สิทธิพื้นฐานอันชอบธรรมแก่ผู้ปกครองด้วยเจตจำนงค์แน่วแน่ร่วมกันว่า เราต้องการแต่งตั้ง
"รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน" ด้วยตัวของเราเอง
และนั่น แทบจะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ และไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองพรรคใด สู้เพื่อใคร หรือสู้เพื่อตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เท่านั้น
แต่เป็นการก้าวข้าม ตัวบุคคลไปสู่หลักการที่สำคัญจนเป็นนัยทางการเมือง ที่ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วแผ่นดิน
คนเสื้อแดงได้แสดงให้สยามประเทศ ได้เห็นแล้วว่า สงครามอุดมการณ์ ที่นักวิชาการหลาย ๆ คนเคยตั้งข้อสังเกตุและสงสัย ว่าอุดมการณ์ยังคงมีอยู่จริง ด้วยแววตาที่มุ่งมั่น ความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม พร้อมจะสละเลือดเนื้อและชีวิต
พี่น้องที่รักทั้งหลาย
กว่า ๘๐ ปี ที่สยามประเทศ พยายามปกปิด โป้ปด อารยประเทศว่าเป็นประเทศที่มอบสิทธิในการปกครองให้กับประชาชน ด้วยมีสัญลักษณ์พานใส่รัฐธรรมนูญ กลางถนนราชดำเนิน เท่านั้น
แต่ในทางปฏิบัติ เราชาวสยาม ไม่เคยได้ลิ้มลอง ลิ้มรส การปกครองด้วยตนเองอย่างแท้จริงเลย
ถึงขนาดมีคำพูดเปรียบเปรยมาต่าง ๆ นานาว่า ประชาชนยังไม่พร้อมที่จะปกครองตนเอง และควรอยู่ภายใต้ ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ไปก่อน
จนในที่สุด หลังการสละเลือดเนื้อ ของวีรชน กลางทุ่งสังหาร ราชประสงค์
พวกเขาก็จำต้องถอย กลับไปรักษาความเจ็บจาก กบฏประชาชน และเก็บความครียดแค้นพยายาท รอโอกาสเอาคืน
วันนี้ ภายใต้ สถานการณ์ อันเปราะบางทางการเมือง ล่อแหลมและสุ่มเสี่ยง กับระบอบประชาธิปไตยที่อ่อนแอ ด้วยเล่ห์เหลี่ยม และความกระสันต์ในอำนาจ และความรู้สึกของชนชั้นปกครองที่เจ็บแค้น กับไพร่ในสยามประเทศ กระด้างกระเดื่อง และไม่เชื่อง กับโซ่ตรวน ที่เคยใช้กับคนสังคมนี้มายาวนาน
อำนาจอธิปไตยของประช่าชน ยังคงโดนล้อมกรอบไปด้วย เหล่าขุนนางผู้กระหายในอำนาจอย่างไม่รู้อิ่ม
แม้นการต่อสู้ของประชาชนในระยะสั้น จะทำให้เขาได้สำนึกไปชั่วขณะว่า ประชาชนไม่ได้เชื่องเหมือน ๔๐ ปีก่อน แต่พวกเขาก็ไม่เคยละความพยายาม ที่จะตระกายเข้าสู่ศูนย์กลางแห่งอำนาจ เพียงเพราะพวกเขาเหล่านั้นจะระลึกอยู่ในใจเสมอว่า
พวกเขาเกิดมาเพื่อปกครอง ประชาชนคนต่ำต้อยกว่าเท่านั้น
ในอดีตการกดหัวประชาชนนั้นสามารถทำได้ง่าย ผ่านอาวุธ ยุทธโธปกรณ์ ที่ใช้เงินภาษีของราษฏร์ จัดซื้อจัดหามา
แต่ปัจจุบัน การกระทำเหล่านั้นได้แปลงกาย แปลงร่าง กลายเป็น การยึดอำนาจ และทำลายความชอบธรรม อำนาจจากมือประชาชน ผ่านกระบวนการยึดอำนาจแบบใหม่
หรือที่ประดิด ประดอยคำให้ดูโก้หรู ฟังดูมีคลาส คือกระบวนการ ตุลาการภิวัติ
ผลที่ได้ก็ไม่ต่างอะไร กับวิธีการป่าเถื่อนในอดีต ที่แปลงโฉมจาก ใช้คนในเครื่องแบบ ถืออาวุธ มายืนตามสี่แยกเป็น ใส่เครื่องแบบ นั่งบังลังค์ อ่านคำตัดสิน โดยไม่สนหลักนิติธรรม หรือหลักนิติรัฐ
พี่น้องที่รักทั้งหลาย
วันพรุ่งนี้ หากเรานิ่งเฉย เพิกเฉย จะด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ น้อยเนื่อต่ำใจหรือผิดหวัง กับบางสิ่งบางอย่างที่ รัฐบาลอ่อนหัด ได้กระทำผิดพลั้งพลาด จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ผลเสียเหล่านั้น จะไม่ได้เกิดแค่กับ รัฐบาลพรรคการเมืองใด หรือคนในตระกูลไหน เท่านั้น
แต่มันจะทำให้แก่นแท้ หรือจุดม่งหมายในการต่อสู้อย่างยาวนานของพวกเรา เสียหายไปอย่างไม่น่าให้อภัย
หากพลังของประชาชนพ่ายแพ้ เราก็จะกลับไปที่จุดเดิม จุดเริ่มต้นที่เราได้เคยต่อสู้ เสียสละ เลือด เนื้อ และ ชีวิตของวีรชน อย่างยาวนานเป็นเวลาหลายสิบปี
พรุ่งนี้ ประชาชน จะลุกขึ้นต่อต้าน จะลุกขึ้นทวงถามความยุติธรรม จะบอกให้สังคมสยามประเทศนี้ได้รู้ว่า เราจะไม่ยอมให้พวกท่านฉุดประเทศนี้ลงเหว ดำดิ่งกลับไปอยู่ในยุคมืด เช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว
วันพรุ่งนี้
ณ สนามรัชมังคลา
สถานที่ ที่ประชาชนอย่างพวกเราถือว่า เป็นสถานที่แสดงวัน "เสียงปืนในใจของประชาชนแตก" เมื่อ ๗ ปีก่อน
จะเป็นการรวมพลังแสดงออก ชูสองมือขึ้นร้องขอ ด้วยจิตวิณญาณการต่อสู้อันแรงกล้าครั้งสำคัญ และยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตอีกครั้ง
พี่น้องที่เคารพ
ในฐานะ สามัญชน และเป็นเพื่อนร่วมรบกับท่านมาแทบทุกสนาม ผมใคร่ให้พวกท่านทุกคนพิจารณา และตรึกตรองความหมายในวันพรุ่งนี้
ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จะอยู่หรือจะไป ขึ้นอยู่กับจำนวนประชาชนที่จะร่วมกอดคอกันเดินทางไปแสดงออก ร่วมกันในวันพรุ่งนี้
ภารกิจใด ๆ คงไม่สำคัญไปกว่า การต่อสู้ให้สิทธิอันชอบธรรม ของคนในประเทศนี้ ดำรงค์อยู่กับตนเองและลูกหลาน ตราบใดที่เราทุกคนยังห่วงและหวงแหนในคำว่า ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
พบกันที่ สนามรัชมังคลาในวันพรุ่งนี้ครับ
ด้วยจิตคารวะ
สายลมรัก
๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
มวลมหาประชาชน ได้ตัดสินใจก้าวข้าม "ความกลัว" "ความน้อยเนื้อต่ำใจ" ร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว แสดงเจตจำนงค์ ณ สนามรัชมังคลา
ไพร่สยาม ได้ร่วมกันชูสองมือร้องขอ สิทธิพื้นฐานอันชอบธรรมแก่ผู้ปกครองด้วยเจตจำนงค์แน่วแน่ร่วมกันว่า เราต้องการแต่งตั้ง
"รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน" ด้วยตัวของเราเอง
และนั่น แทบจะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ และไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรคการเมืองพรรคใด สู้เพื่อใคร หรือสู้เพื่อตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เท่านั้น
แต่เป็นการก้าวข้าม ตัวบุคคลไปสู่หลักการที่สำคัญจนเป็นนัยทางการเมือง ที่ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วแผ่นดิน
คนเสื้อแดงได้แสดงให้สยามประเทศ ได้เห็นแล้วว่า สงครามอุดมการณ์ ที่นักวิชาการหลาย ๆ คนเคยตั้งข้อสังเกตุและสงสัย ว่าอุดมการณ์ยังคงมีอยู่จริง ด้วยแววตาที่มุ่งมั่น ความตั้งใจที่เต็มเปี่ยม พร้อมจะสละเลือดเนื้อและชีวิต
พี่น้องที่รักทั้งหลาย
กว่า ๘๐ ปี ที่สยามประเทศ พยายามปกปิด โป้ปด อารยประเทศว่าเป็นประเทศที่มอบสิทธิในการปกครองให้กับประชาชน ด้วยมีสัญลักษณ์พานใส่รัฐธรรมนูญ กลางถนนราชดำเนิน เท่านั้น
แต่ในทางปฏิบัติ เราชาวสยาม ไม่เคยได้ลิ้มลอง ลิ้มรส การปกครองด้วยตนเองอย่างแท้จริงเลย
ถึงขนาดมีคำพูดเปรียบเปรยมาต่าง ๆ นานาว่า ประชาชนยังไม่พร้อมที่จะปกครองตนเอง และควรอยู่ภายใต้ ระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ไปก่อน
จนในที่สุด หลังการสละเลือดเนื้อ ของวีรชน กลางทุ่งสังหาร ราชประสงค์
พวกเขาก็จำต้องถอย กลับไปรักษาความเจ็บจาก กบฏประชาชน และเก็บความครียดแค้นพยายาท รอโอกาสเอาคืน
วันนี้ ภายใต้ สถานการณ์ อันเปราะบางทางการเมือง ล่อแหลมและสุ่มเสี่ยง กับระบอบประชาธิปไตยที่อ่อนแอ ด้วยเล่ห์เหลี่ยม และความกระสันต์ในอำนาจ และความรู้สึกของชนชั้นปกครองที่เจ็บแค้น กับไพร่ในสยามประเทศ กระด้างกระเดื่อง และไม่เชื่อง กับโซ่ตรวน ที่เคยใช้กับคนสังคมนี้มายาวนาน
อำนาจอธิปไตยของประช่าชน ยังคงโดนล้อมกรอบไปด้วย เหล่าขุนนางผู้กระหายในอำนาจอย่างไม่รู้อิ่ม
แม้นการต่อสู้ของประชาชนในระยะสั้น จะทำให้เขาได้สำนึกไปชั่วขณะว่า ประชาชนไม่ได้เชื่องเหมือน ๔๐ ปีก่อน แต่พวกเขาก็ไม่เคยละความพยายาม ที่จะตระกายเข้าสู่ศูนย์กลางแห่งอำนาจ เพียงเพราะพวกเขาเหล่านั้นจะระลึกอยู่ในใจเสมอว่า
พวกเขาเกิดมาเพื่อปกครอง ประชาชนคนต่ำต้อยกว่าเท่านั้น
ในอดีตการกดหัวประชาชนนั้นสามารถทำได้ง่าย ผ่านอาวุธ ยุทธโธปกรณ์ ที่ใช้เงินภาษีของราษฏร์ จัดซื้อจัดหามา
แต่ปัจจุบัน การกระทำเหล่านั้นได้แปลงกาย แปลงร่าง กลายเป็น การยึดอำนาจ และทำลายความชอบธรรม อำนาจจากมือประชาชน ผ่านกระบวนการยึดอำนาจแบบใหม่
หรือที่ประดิด ประดอยคำให้ดูโก้หรู ฟังดูมีคลาส คือกระบวนการ ตุลาการภิวัติ
ผลที่ได้ก็ไม่ต่างอะไร กับวิธีการป่าเถื่อนในอดีต ที่แปลงโฉมจาก ใช้คนในเครื่องแบบ ถืออาวุธ มายืนตามสี่แยกเป็น ใส่เครื่องแบบ นั่งบังลังค์ อ่านคำตัดสิน โดยไม่สนหลักนิติธรรม หรือหลักนิติรัฐ
พี่น้องที่รักทั้งหลาย
วันพรุ่งนี้ หากเรานิ่งเฉย เพิกเฉย จะด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ น้อยเนื่อต่ำใจหรือผิดหวัง กับบางสิ่งบางอย่างที่ รัฐบาลอ่อนหัด ได้กระทำผิดพลั้งพลาด จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ผลเสียเหล่านั้น จะไม่ได้เกิดแค่กับ รัฐบาลพรรคการเมืองใด หรือคนในตระกูลไหน เท่านั้น
แต่มันจะทำให้แก่นแท้ หรือจุดม่งหมายในการต่อสู้อย่างยาวนานของพวกเรา เสียหายไปอย่างไม่น่าให้อภัย
หากพลังของประชาชนพ่ายแพ้ เราก็จะกลับไปที่จุดเดิม จุดเริ่มต้นที่เราได้เคยต่อสู้ เสียสละ เลือด เนื้อ และ ชีวิตของวีรชน อย่างยาวนานเป็นเวลาหลายสิบปี
พรุ่งนี้ ประชาชน จะลุกขึ้นต่อต้าน จะลุกขึ้นทวงถามความยุติธรรม จะบอกให้สังคมสยามประเทศนี้ได้รู้ว่า เราจะไม่ยอมให้พวกท่านฉุดประเทศนี้ลงเหว ดำดิ่งกลับไปอยู่ในยุคมืด เช่นในอดีตอีกต่อไปแล้ว
วันพรุ่งนี้
ณ สนามรัชมังคลา
สถานที่ ที่ประชาชนอย่างพวกเราถือว่า เป็นสถานที่แสดงวัน "เสียงปืนในใจของประชาชนแตก" เมื่อ ๗ ปีก่อน
จะเป็นการรวมพลังแสดงออก ชูสองมือขึ้นร้องขอ ด้วยจิตวิณญาณการต่อสู้อันแรงกล้าครั้งสำคัญ และยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตอีกครั้ง
พี่น้องที่เคารพ
ในฐานะ สามัญชน และเป็นเพื่อนร่วมรบกับท่านมาแทบทุกสนาม ผมใคร่ให้พวกท่านทุกคนพิจารณา และตรึกตรองความหมายในวันพรุ่งนี้
ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จะอยู่หรือจะไป ขึ้นอยู่กับจำนวนประชาชนที่จะร่วมกอดคอกันเดินทางไปแสดงออก ร่วมกันในวันพรุ่งนี้
ภารกิจใด ๆ คงไม่สำคัญไปกว่า การต่อสู้ให้สิทธิอันชอบธรรม ของคนในประเทศนี้ ดำรงค์อยู่กับตนเองและลูกหลาน ตราบใดที่เราทุกคนยังห่วงและหวงแหนในคำว่า ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
พบกันที่ สนามรัชมังคลาในวันพรุ่งนี้ครับ
ด้วยจิตคารวะ
สายลมรัก
๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar