lördag 30 november 2013

‘ปู’ลั่นแม้เป็นหญิงแต่กล้าเผชิญทุกปัญหา-ยันไม่หนีออกนอกปท. ยอมถูกเย้ยดีกว่าทำปชช.เจ็บ

 เมื่อเวลา 15.15 น. วันที่ 30 พ.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ตอบข้อซักถามของสื่อ หลังร่วมประชุมกับวอร์รูมของ ศอ.รส. ถึงกรณีที่กลุ่มกปปส.จะไปปิดล้อมสถานที่ราชการต่างๆ และประกาศไปทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ว่า ทำเนียบรัฐบาลเป็นพื้นที่หัวใจหลักที่เราต้องรักษาไว้ ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับส่วนราชการอื่นๆไม่น้อยกว่ากันด้วย โดยเราเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมพร้อมไว้ดูแลปกป้องทรัพย์สินและสถาน ที่ราชการ รวมถึงรักษาความปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากัน  อย่างไรก็ตามตนขอร้องต่อผู้ชุมนุมว่าอย่าบุกสถานที่ราชการ เพราะการบุกรุกสถานที่ราชการหรือเขตหวงห้ามที่มีประกาศใช้พ.ร.การรักษาความ มั่นคงภายในราชอาณาจักรนั้นเป็นการทำผิดกฎหมายซึ่งเราไม่อยากให้มีความ วุ่นวายหรือมีการดำเนินคดี นอกจากนี้ตนขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางรอบบริเวณสถานที่ราชการที่คาดว่า จะมีผู้ชุมนุมมาปิดล้อม และระมัดระวังเรื่องของมือที่สาม ขณะเดียวกันเราได้วางมาตรการต่างๆในการดูแลความปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว

 เมื่อถามว่ามีแนวคิดที่จะใช้กฎหมายพิเศษขณะนี้หรือไม่เพราะหลายพื้นที่ในกทม.ซึ่งประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แต่ยังมีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่เราประกาศขยายพื้นที่พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดสรรบุคลากรไปดูแลป้องกันสถานที่ราชการต่างๆ เพราะเราไม่อยากบังคับใช้กฎหมายเพื่อกระทำการรุนแรงของประชาชน และขอยืนยันว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำด้วยความละมุนละม่อม รวมถึงเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและหลักสากล ส่วนการป้องกันมวลชนกลุ่มต่างๆไม่ให้เผชิญหน้ากันนั้น เป็นหน้าที่ของตำรวจที่พยายามขอร้องมวลชนแต่ละกลุ่มว่าอย่าไปเผชิญหน้ากันเลย เพราะแม้แต่ละกลุ่มมาชุมนุมเรียกร้องโดยมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าการชุมนุมเรียกร้องนี้จะนำไปสู่ความรุนแรง จึงต้องขอความร่วมมือจากประชาชน เพราะเราไม่อยากเห็นเหตุการณ์ที่มีการชุมนุมแล้วเกิดความวุ่นวายหรือความเดือดร้อนต่างๆ ซึ่งการดูแลของศอ.รส.ในช่วงที่ผ่านมาเป็นไปอย่างเต็มที่และยังไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆ

 ต่อ ข้อถามว่ามีรัฐมนตรีและคนในรัฐบาลขึ้นปราศรัยบนเวทีของกลุ่มเสื้อแดงที่สนับ สนุนรัฐบาลจะถูกมองว่าเป็นการยั่วยุผู้ชุมนุมอีกฝ่ายหรือไม่ และถือว่าเป็นการกระทำที่เหมาะสมหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้ง 2 เวที กลุ่มที่สนับสนุนและกลุ่มที่คัดค้านรัฐบาลก็มีนักการเมืองขึ้นปราศรัยทั้ง 2 เวที แต่เชื่อว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมมืองต้องรู้ตัวว่าข้อจำกัดของตัวเองว่ามี อยู่แค่ไหน และจะพูดให้ประชาชนเข้าใจไปในลักษณะใด ซึ่งเป็นดุลยพินิจของผู้ที่ขึ้นเวทีต้องพิจารณา

 เมื่อถามว่าสำนักข่าวอัลจาซีรา ระบุว่ารัฐบาลไม่เข้มงวดกับผู้ชุมนุมจนเกินไป เพราะรัฐบาลเกรงว่าจะซ้ำรอยรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 99 ศพ นายกฯ กล่าวว่า เราเลือกที่จะถูกบอกว่ารัฐบาลอ่อนแอ ไม่ใช้กำลังจนถูกผู้ชุมนุมรุกนั้น ดีกว่าที่เราจะบอกว่ากำหนดเส้นตายเพื่อขอคืนพื้นที่แล้วสุดท้ายผลออกมาคือประชาชนเจ็บปวด เชื่อว่าภาพฝันร้ายของความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นเหตุการณ์ที่หลอนประชาชนคนไทยไปอีกนาน ซึ่งเราไม่อยากเห็นเหตุการณ์นั้น จึงตัดสินใจให้ตำรวจดูแลความปลอดภัยโดยปราศจากอาวุธ และทำตามขั้นตอนของกฎหมาย

 เมื่อถามว่าหากสถานการณ์บายปลายมีแนวคิดจะให้ทหารออกมาช่วยหรือไม่ นายกฯ ในฐานะรมว.กลาโหม กล่าวว่า ในส่วนของพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ภายใต้การดูแลของ ผบ.ตร.ในฐานะผอ.ศอ.รส. มีอำนาจในการขอกำลังจากกองทัพมาช่วยสนับสนุนได้อยู่แล้ว แต่เชื่อว่าการใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ น่าจะเพียงพอ ก็จะดูเรื่องของการบริหารจัดการและเรื่องของกำลังเจ้าหน้าที่บุคลากรมากกว่า อย่างไรก็ตาม วันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังทำงานได้อยู่ แต่มีการขอกำลังทหารมาช่วยดูแลในบางสถานที่ ไม่ถึงขั้นที่ต้องใช้กำลังทหารทั้งหมด เพราะเราเชื่อว่าประชาชนจะให้ความร่วมมือกับตำรวจในการไม่ไปถึงการใช้กำลังความรุนแรง

 เมื่อถามว่าในการชุมนุมที่ผ่านมามีการติดต่อกับพ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ และรัฐบาลมีอะไรจะบอกพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า การชุมนุมครั้งนี้ได้เลยไปถึงจุดจุดนั้น เราคงต้องติดตามในเรื่องของจุดประสงค์เป้าหมายของผู้ชุมนุมที่ต้องการอยากจะเห็นในรูปแบบบของสภาประชาชน เราต้องติดตามว่าการทำให้รูปแบบของสภาประชาชนนั้นเกิดขึ้นจริงตามที่เรียกร้องนั้นจะเกิดขึ้นด้วยวิธีไหน เพราะว่าในส่วนของภายใต้กฎหมายหรือบทบัญญัติคงต้องมีการตรากฎหมายซึ่งต้องใช้เวลา เราก็ยินดีที่จะรับฟังอะไรที่เป็นประโยชน์โดยรวมเราก็ยินดีอยู่แล้ว

 เมื่อถามว่าถึงจุดจุดไหนที่นายกจะตัดสินใจลาออกหรือยุบสภาหรือไม่มีแนวคิดนี้อยู่ในหัวเลย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องเรียนว่าดิฉันเอง เราเองไม่มีทิฐิใดๆ เรารักประเทศไม่แพ้กับทุกคน ก็เชื่อว่าคนไทยทุทกคนก็รักประเทศ ฉะนั้นก็คิดว่าอะไรที่เป็นทางออกของประเทศ อะไรที่ที่มีประโยชน์ต่อประเทศ อต่ก็ต้อขอความกรุณาด้วยความเป็นธรรม ทุกอย่างต้องคำนึงถึงเสียงหรือความต้องการของคนหมู่มากคนไทยทั้งประเทศด้วย คนส่วนใหญ่ด้วย

 “และวันนี้ดิฉันก็เชื่อว่าถ้าอะไรที่เป็นประโยชน์ กับประเทศดิฉันก็ยินดี ดิฉันจะอยู่ที่ไหนหรืออยู่อย่างไรคิดว่ายังทำประโยชน์เพื่อบ้านเพื่อเมือง ดิฉันก็ยินดีค่ะ แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้การที่เราออกมาทำงานวันนี้ก็ต้องเรียนว่าภายใต้การทำงานและความมรับ ผิดชอบของในฐานะนายกรัฐมนตรีนั้นก็ต้องประคองสถานการณ์ต่างๆเพื่อให้งาน ต่างๆนั้นเดินได้ วันนี้เราจะทำอย่างไร ทิ้งบ้านเมืองแบบนี้โดยที่ไม่มีทางออก ตรงนั้นก็ต้องมีคนมารับงานต่อ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เราต้องช่วยกัน ต้องช่วยกันในการให้กำลังคนไทยทั้งประเทศในการประคองประชาธิปไตยภายใต้ระบอบ ความต้องการของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ดำรงอยู่ได้ถ้าเราปล่อยให้สิ่งอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือจากกฎหมายเดินได้ มันก็ไม่ใช่หนทางที่จะเดินไปข้างหน้าได้ และวันนี้เรียนว่าปัญหาทั้งหมดได้เลยจุดของดิฉัน หรือในฐานะนายกรัฐมนตรีแล้ว”

 นายกฯ กล่าวอีกว่า และวันนี้ก็ควรเสนอทางออกของประเทศไทยที่คนไทยทุกภาคส่วนเปิดเวทีในการพูด คุยกันว่าข้างหน้าเราจะก้าวไปอย่างไรดีกว่าที่วันนี้เราจะบอกมาสร้างความ โกรธแค้นฝังซึ่งกันและกัน เพราะเดือนหน้าก็เป็นเดือนมหามงคลที่คนไทยทุกคนต้องพร้อมใจกันให้วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ช่วยกันทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เห็น ความสามัคคีของคนไทยนั้นกลับคืนมา

 เมื่อถามว่านายกฯพร้อมจะนั่งพูดคุยด้วยตัวเองใกับนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนยินดี อะไรที่ว่าถ้าจะทำให้บ้านเมืองสงบลงได้ แต่ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณตอบรับ ส่วนเวทีปฏิรูปการเมืองที่รัฐบาลทำไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะต้องชี้นำในเวทีนี้ เพราะเราเปิดเวทีนี้ไว้ให้เพื่อให้ทุกกลุ่มได้มาพูดคุยกัน แต่ที่สำคัญควรจะมาจากทุกกลุ่มที่มาจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง และสุดท้ายต้องกลับไปถามประชาชนส่วนใหญ่ว่าเห็นด้วยหรือไม่ นั่นคือทางออกและคำตอบของประเทศไทย

 เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่ว่านายกฯจะไม่อยู่แก้ไขปัญหาในประเทศแต่จะเดินทางไปประเทศรัสเซีย นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ตนยังอยู่ที่นี่ และยืนอยู่ที่สตช.ซึ่งเป็นหัวใจหลัก อีกทั้ง ตนได้มีโอกาสมาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยในการดูแลประชาชน “ดิฉันไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ ถึงแม้ดิฉันเป็นผู้หญิงแต่ดิฉันก็กล้าเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ”

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar