‘ปู’ลั่นแม้เป็นหญิงแต่กล้าเผชิญทุกปัญหา-ยันไม่หนีออกนอกปท. ยอมถูกเย้ยดีกว่าทำปชช.เจ็บ
เมื่อเวลา 15.15 น.
วันที่ 30 พ.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
(สตช.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม
ตอบข้อซักถามของสื่อ
หลังร่วมประชุมกับวอร์รูมของ ศอ.รส.
ถึงกรณีที่กลุ่มกปปส.จะไปปิดล้อมสถานที่ราชการต่างๆ
และประกาศไปทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ว่า
ทำเนียบรัฐบาลเป็นพื้นที่หัวใจหลักที่เราต้องรักษาไว้
ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับส่วนราชการอื่นๆไม่น้อยกว่ากันด้วย
โดยเราเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมพร้อมไว้ดูแลปกป้องทรัพย์สินและสถาน
ที่ราชการ
รวมถึงรักษาความปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากัน
อย่างไรก็ตามตนขอร้องต่อผู้ชุมนุมว่าอย่าบุกสถานที่ราชการ
เพราะการบุกรุกสถานที่ราชการหรือเขตหวงห้ามที่มีประกาศใช้พ.ร.การรักษาความ
มั่นคงภายในราชอาณาจักรนั้นเป็นการทำผิดกฎหมายซึ่งเราไม่อยากให้มีความ
วุ่นวายหรือมีการดำเนินคดี
นอกจากนี้ตนขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทางรอบบริเวณสถานที่ราชการที่คาดว่า
จะมีผู้ชุมนุมมาปิดล้อม
และระมัดระวังเรื่องของมือที่สาม
ขณะเดียวกันเราได้วางมาตรการต่างๆในการดูแลความปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว
เมื่อถามว่ามีแนวคิดที่จะใช้กฎหมายพิเศษขณะนี้หรือไม่เพราะหลายพื้นที่ในกทม.ซึ่งประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
แต่ยังมีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่เราประกาศขยายพื้นที่พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดสรรบุคลากรไปดูแลป้องกันสถานที่ราชการต่างๆ
เพราะเราไม่อยากบังคับใช้กฎหมายเพื่อกระทำการรุนแรงของประชาชน
และขอยืนยันว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำด้วยความละมุนละม่อม
รวมถึงเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและหลักสากล ส่วนการป้องกันมวลชนกลุ่มต่างๆไม่ให้เผชิญหน้ากันนั้น
เป็นหน้าที่ของตำรวจที่พยายามขอร้องมวลชนแต่ละกลุ่มว่าอย่าไปเผชิญหน้ากันเลย
เพราะแม้แต่ละกลุ่มมาชุมนุมเรียกร้องโดยมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
ก็ไม่ได้หมายความว่าการชุมนุมเรียกร้องนี้จะนำไปสู่ความรุนแรง จึงต้องขอความร่วมมือจากประชาชน
เพราะเราไม่อยากเห็นเหตุการณ์ที่มีการชุมนุมแล้วเกิดความวุ่นวายหรือความเดือดร้อนต่างๆ
ซึ่งการดูแลของศอ.รส.ในช่วงที่ผ่านมาเป็นไปอย่างเต็มที่และยังไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงใดๆ
ต่อ
ข้อถามว่ามีรัฐมนตรีและคนในรัฐบาลขึ้นปราศรัยบนเวทีของกลุ่มเสื้อแดงที่สนับ
สนุนรัฐบาลจะถูกมองว่าเป็นการยั่วยุผู้ชุมนุมอีกฝ่ายหรือไม่
และถือว่าเป็นการกระทำที่เหมาะสมหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้ง 2 เวที
กลุ่มที่สนับสนุนและกลุ่มที่คัดค้านรัฐบาลก็มีนักการเมืองขึ้นปราศรัยทั้ง 2
เวที
แต่เชื่อว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมมืองต้องรู้ตัวว่าข้อจำกัดของตัวเองว่ามี
อยู่แค่ไหน
และจะพูดให้ประชาชนเข้าใจไปในลักษณะใด
ซึ่งเป็นดุลยพินิจของผู้ที่ขึ้นเวทีต้องพิจารณา
เมื่อถามว่าสำนักข่าวอัลจาซีรา ระบุว่ารัฐบาลไม่เข้มงวดกับผู้ชุมนุมจนเกินไป
เพราะรัฐบาลเกรงว่าจะซ้ำรอยรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 99 ศพ นายกฯ กล่าวว่า
เราเลือกที่จะถูกบอกว่ารัฐบาลอ่อนแอ ไม่ใช้กำลังจนถูกผู้ชุมนุมรุกนั้น
ดีกว่าที่เราจะบอกว่ากำหนดเส้นตายเพื่อขอคืนพื้นที่แล้วสุดท้ายผลออกมาคือประชาชนเจ็บปวด
เชื่อว่าภาพฝันร้ายของความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นเหตุการณ์ที่หลอนประชาชนคนไทยไปอีกนาน
ซึ่งเราไม่อยากเห็นเหตุการณ์นั้น จึงตัดสินใจให้ตำรวจดูแลความปลอดภัยโดยปราศจากอาวุธ
และทำตามขั้นตอนของกฎหมาย
เมื่อถามว่าหากสถานการณ์บายปลายมีแนวคิดจะให้ทหารออกมาช่วยหรือไม่
นายกฯ ในฐานะรมว.กลาโหม กล่าวว่า ในส่วนของพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ภายใต้การดูแลของ ผบ.ตร.ในฐานะผอ.ศอ.รส.
มีอำนาจในการขอกำลังจากกองทัพมาช่วยสนับสนุนได้อยู่แล้ว แต่เชื่อว่าการใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
น่าจะเพียงพอ ก็จะดูเรื่องของการบริหารจัดการและเรื่องของกำลังเจ้าหน้าที่บุคลากรมากกว่า อย่างไรก็ตาม
วันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังทำงานได้อยู่ แต่มีการขอกำลังทหารมาช่วยดูแลในบางสถานที่
ไม่ถึงขั้นที่ต้องใช้กำลังทหารทั้งหมด
เพราะเราเชื่อว่าประชาชนจะให้ความร่วมมือกับตำรวจในการไม่ไปถึงการใช้กำลังความรุนแรง
เมื่อถามว่าในการชุมนุมที่ผ่านมามีการติดต่อกับพ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร
อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ และรัฐบาลมีอะไรจะบอกพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า
การชุมนุมครั้งนี้ได้เลยไปถึงจุดจุดนั้น
เราคงต้องติดตามในเรื่องของจุดประสงค์เป้าหมายของผู้ชุมนุมที่ต้องการอยากจะเห็นในรูปแบบบของสภาประชาชน
เราต้องติดตามว่าการทำให้รูปแบบของสภาประชาชนนั้นเกิดขึ้นจริงตามที่เรียกร้องนั้นจะเกิดขึ้นด้วยวิธีไหน
เพราะว่าในส่วนของภายใต้กฎหมายหรือบทบัญญัติคงต้องมีการตรากฎหมายซึ่งต้องใช้เวลา
เราก็ยินดีที่จะรับฟังอะไรที่เป็นประโยชน์โดยรวมเราก็ยินดีอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าถึงจุดจุดไหนที่นายกจะตัดสินใจลาออกหรือยุบสภาหรือไม่มีแนวคิดนี้อยู่ในหัวเลย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องเรียนว่าดิฉันเอง เราเองไม่มีทิฐิใดๆ เรารักประเทศไม่แพ้กับทุกคน
ก็เชื่อว่าคนไทยทุทกคนก็รักประเทศ ฉะนั้นก็คิดว่าอะไรที่เป็นทางออกของประเทศ
อะไรที่ที่มีประโยชน์ต่อประเทศ อต่ก็ต้อขอความกรุณาด้วยความเป็นธรรม
ทุกอย่างต้องคำนึงถึงเสียงหรือความต้องการของคนหมู่มากคนไทยทั้งประเทศด้วย
คนส่วนใหญ่ด้วย
“และวันนี้ดิฉันก็เชื่อว่าถ้าอะไรที่เป็นประโยชน์
กับประเทศดิฉันก็ยินดี
ดิฉันจะอยู่ที่ไหนหรืออยู่อย่างไรคิดว่ายังทำประโยชน์เพื่อบ้านเพื่อเมือง
ดิฉันก็ยินดีค่ะ แล้วสิ่งต่างๆ
เหล่านี้การที่เราออกมาทำงานวันนี้ก็ต้องเรียนว่าภายใต้การทำงานและความมรับ
ผิดชอบของในฐานะนายกรัฐมนตรีนั้นก็ต้องประคองสถานการณ์ต่างๆเพื่อให้งาน
ต่างๆนั้นเดินได้
วันนี้เราจะทำอย่างไร ทิ้งบ้านเมืองแบบนี้โดยที่ไม่มีทางออก
ตรงนั้นก็ต้องมีคนมารับงานต่อ
สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เราต้องช่วยกัน
ต้องช่วยกันในการให้กำลังคนไทยทั้งประเทศในการประคองประชาธิปไตยภายใต้ระบอบ
ความต้องการของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ดำรงอยู่ได้ถ้าเราปล่อยให้สิ่งอื่นๆ
ที่อยู่นอกเหนือจากกฎหมายเดินได้ มันก็ไม่ใช่หนทางที่จะเดินไปข้างหน้าได้
และวันนี้เรียนว่าปัญหาทั้งหมดได้เลยจุดของดิฉัน
หรือในฐานะนายกรัฐมนตรีแล้ว”
นายกฯ
กล่าวอีกว่า
และวันนี้ก็ควรเสนอทางออกของประเทศไทยที่คนไทยทุกภาคส่วนเปิดเวทีในการพูด
คุยกันว่าข้างหน้าเราจะก้าวไปอย่างไรดีกว่าที่วันนี้เราจะบอกมาสร้างความ
โกรธแค้นฝังซึ่งกันและกัน
เพราะเดือนหน้าก็เป็นเดือนมหามงคลที่คนไทยทุกคนต้องพร้อมใจกันให้วันที่ 5
ธันวาคม
เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ช่วยกันทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เห็น
ความสามัคคีของคนไทยนั้นกลับคืนมา
เมื่อถามว่านายกฯพร้อมจะนั่งพูดคุยด้วยตัวเองใกับนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ
และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนยินดี อะไรที่ว่าถ้าจะทำให้บ้านเมืองสงบลงได้
แต่ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณตอบรับ
ส่วนเวทีปฏิรูปการเมืองที่รัฐบาลทำไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะต้องชี้นำในเวทีนี้
เพราะเราเปิดเวทีนี้ไว้ให้เพื่อให้ทุกกลุ่มได้มาพูดคุยกัน
แต่ที่สำคัญควรจะมาจากทุกกลุ่มที่มาจากทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง
และสุดท้ายต้องกลับไปถามประชาชนส่วนใหญ่ว่าเห็นด้วยหรือไม่
นั่นคือทางออกและคำตอบของประเทศไทย
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่ว่านายกฯจะไม่อยู่แก้ไขปัญหาในประเทศแต่จะเดินทางไปประเทศรัสเซีย
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ตนยังอยู่ที่นี่ และยืนอยู่ที่สตช.ซึ่งเป็นหัวใจหลัก อีกทั้ง
ตนได้มีโอกาสมาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยในการดูแลประชาชน
“ดิฉันไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ
ถึงแม้ดิฉันเป็นผู้หญิงแต่ดิฉันก็กล้าเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ”
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar