måndag 20 januari 2014

สาเหตุของการแย่งชิงบัลลังก์...ทำให้เศรษฐกิจไทย "แย่ลงจากที่ไม่ดีเลยไปเป็นเลวร้ายที่สุด"

ไทยเสี่ยงสูงค้างชำระหนี้ เหตุทุนต่างชาติถอนออก ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท 

ถอดความจากรายงานของบลูมเบิร์กเรื่อง 'Thai default-risk soars as funds pull $4 billion' โดย เดวิด ยอง และยูมิ เทโซ /๑๙ มกราคม ๒๕๕๗

อัตราการเสี่ยงของประเทศไทยที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ (Default) ขึ้นสูงสุดนับแต่เดือนสิงหาคม ขณะที่การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทำให้ผู้จัดการตลาดการเงินนานาชาติพากันเทขายทรัพย์สินในไทย

มูลค่าหลักประกันการชำระหนี้ของไทยพุ่งขึ้นสูงลิ่วหลังจากนักลงทุนต่างประเทศรวมทั้งเวลส์ฟาร์โก อิ๊งค์ ถอนเงินลงทุนมากกว่า ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาทออกไปจากตลาดหลักทรัพย์ และการลงทุนพันธบัตร ตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม เป็นต้นมา เมื่อเกิดการประท้วงปิดกรุงเทพฯ เต็มท้องถนน และมีคนตายไปแล้ว ๘ ราย แปซิฟิคอินเวสต์เม้นต์ แมเนจเม้นต์ โกลด์แมนแซ็คกรุ๊ป และโกกุไซแอสเส็ทแมเนจเม้นต์ ต่างลดอัตราสำรองชำระหนี้ของตนลงตั้งแต่เดือนตุลาคมแล้ว ตามรายงานที่ยื่นเพื่อการตรวจสอบ

เราขายมูลค่าทุนพันธบัตรในไทยของเราหมดไปแล้วเมื่อตอนสิ้นปี ลอเร็น แวน บิลจอน นักวิจัยประจำเวลส์ฟาร์โกเฟิร์สอินเตอร์แน้ทชั่นแนลแอ็ดไว้เซอร์ ตอบการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคมนี้ ดูเหมือนว่าความไม่ลงรอยกันขยายกว้างมากระหว่างฝักฝ่ายทางการเมือง

หนทางแก้วิกฤติได้หลุดไปจากมือนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วตั้งแต่เธอประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในเดือนธันวาคมและกำหนดเลือกตั้งใหม่ในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พวกผู้ประท้วงต้องการโค่นเธอ และยุติอิทธิพลของพี่ชายเธอ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ที่ถูกโค่นโดยกองทัพบกเมื่อปี ๒๕๔๙ ค่าเงินบาทตกวูบในอาทิตย์นี้จากการที่เก็งกันว่าธนาคารชาติจะชลอการปล่อยสินเชื่อเมื่อเหตุการณ์ร้ายร้อนแรงขึ้น พร้อมทั้งความคาดหมายว่าจะเกิดรัฐประหาร

เรายังคงลดความเชื่อถือในค่าเงินบาทต่อเนื่องมาแต่ปลายปีที่แล้วโดยผลจากการที่ความวุ่นวายยืดเยื้อทำให้ภาพพจน์ของค่าเงินไม่น่าดู ทัตสุย่า ฮิกูชิ ผู้จัดการการเงินของโกกูไวแอสเส็ทในกรุงโตเกียวกล่าวตอบคำซักถามผ่านทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม เมื่อการเมืองตกอยู่ในสภาพอลเวง ย่อมขาดการเกื้อหนุนทางการคลัง หนทางเดียวที่จะสนับสนุนสถานการณ์เช่นนี้ได้อยู่ที่ต้องเพลามือการบริหารงานคลัง

เขาบอกด้วยว่า โกกุไซซึ่งเป็นกองทุนมวลรวมที่ใหญ่สุดของญี่ปุ่นมีทรัพย์สินกว่า ๑,๐๘๐,๐๐๐ ล้านบาท งดการลงทุนในตลาดพันธบัตรไทยไปเมื่อปีที่แล้ว ขณะนี้ก็จะยังคงนโยบายเช่นนี้ต่อไป

ความเสี่ยงดีฟ้อลท์

อัตราการแลกเปลี่ยนเครดิตดีฟ้อลท์ (ถังแตก) เพื่อประกันหนี้ค้างจ่ายของไทยเป็นเวลา ๕ ปี ขึ้นไปเป็น ๑๕๓ เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ในนิวยอร์ค อันเป็นอัตราสูงสุดนับแต่วันที่ ๒๘ สิงหาคม ทั้งนีตามราคาของซีเอ็มเอ บัญชีเครดิตนี้ขยายตัวออกไป ๔๔ จุดพื้นฐาน นับแต่เริ่มมีการประท้วงรัฐบาลเกิดขึ้นเมื่อ ๓๑ ตุลาคม เทียบกับอัตราการเพิ่มของอินโดนีเซียเพียง ๑๙ จุดพื้นฐาน และของฟิลิปปินส์แค่ ๑๗ จุดพื้นฐาน

ราคาการปกป้องหนี้ของประเทศไทยอาจขึ้นจาก ๑๕๐ ไปเป็น ๒๐๐ ซึ่งนับว่าสูงที่สุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามรายงานของนอร์เดียมาร์เก็ต หน่วยงานของกลุ่มธุรกิจการเงินใหญ่ที่สุดของยุโรปภาคเหนือซึ่งมีทรัพย์สินที่อยู่ในการบริหารจัดการราว ๒๒๘ พันล้านยูโร ( ๙,๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) เมื่อ ๓๐ กันยายน

ความเสี่ยงขึ้นสูงของราคาแลกเปลี่ยนเครดิตประกันหนี้ (ซีดีเอส) ยังคงระดับสูงเมื่อคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการแซกแซงโดยกองทัพ เอมี่ ซวง นักวิจัยการตลาดอาวุโสภาคพื้นเอเซียของนอร์เดียในกรุงโคเป็นฮาเก็น เผยในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ความไม่มั่นคงก็เห็นๆ อยู่ ความไม่สงบก็ตรงนั้น แม้โดยทั่วไปจะดูราบรื่นก็ตาม แต่ว่าการเสี่ยงภัยและพลิกผัน มันยังไม่ถึงจุดผุดขึ้นมาให้เห็นในขณะนี้

เงินทุนบินหนี

ตัวเลขในรายงานของตลาดหุ้น และพันธบัตรไทยตั้งแต่ ๓๑ ตุลาคม ปรากฏว่ากองทุนโลกได้ขายหลักทรัพย์ในท้องที่ (ไทย) ออกไปมากกว่าที่ซื้อเข้าแล้วราว ๘,๔๐๐ ล้านบาท ยังมีเหลืออีกประมาณ ๔,๒๐๐ ล้านบาท ค่าเงินบาทตกลง ๕.๒ เปอร์เซ็นต์ในช่วงนั้น ไปอยู่ที่ ๓๓.๑๔๘ บาทต่อหนึ่งดอลลาร์เมื่อ ๖ มกราคม ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ โดยที่ดัชนีหุ้นของตลาดหุ้นไทยตกลงไป ๑๐ เปอร์เซ็นต์

ในวันที่ ๒๒ มกราคมนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดอัตราการซื้อต่อภายในหนึ่งวันจากที่เป็นอยู่ ๒.๒๕  เปอร์เซ็นต์ เหลือ ๒ เปอร์เซ็นต์ถ้วน ทั้งนี้โดยการประเมินความเห็นจากนักเศรษฐศาสตร์ที่บลูมเบิร์กสอบถาม ๑๔ ใน ๒๑ คน อีก ๗ คนทำนายว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แบ๊งค์ชาติสร้างความประหลาดใจให้เกิดขึ้นเมื่อทำการตัดอัตราจุดพื้นฐานลงไป ๒๕ จุดในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อ ๒๗ พฤศจิกายน

กระทรวง การคลังได้ลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปี ๒๕๕๗ ลงไปจาก ๔.๘ เหลือเพียง ๔ เปอร์เซ็นต์แล้ว โดยอ้างว่าความไม่สงบเรียบร้อยจะยิ่งเป็นผลร้ายต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และการลงทุนมากขึ้น และเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม กระทรวงการคลังก็ได้ลดความคาดหมายต่อความเจริญทางเศรษฐกิจลงอีกเป็นครั้งที่ สองเหลือ ๓.๑ เปอร์เซ็นต์ จากเดิม ๔ เปอร์เซ็นต์ซึ่งเพิ่งลดมาหมาดๆ จาก ๕.๑ เปอร์เซ็นต์เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar