söndag 15 juni 2014

จาตุรนต์ แสดงความเห็นเกี่ยวกับการปรองดอง

ตามข่าวคุณสมบัติ บุญงามอนงค์มาตลอด อ่านข่าวการที่ภรรยาตามหาตัวและอ่านจดหมายลูกสาวของหนูหริ่งตลอดจนบท สัมภาษณ์ของหนูหริ่งเองแล้ว ก็ขอแสดงความห่วงใยและเห็นใจมายังภรรยาและลูกสาวของหนูหริ่งด้วย

ผมไม่มีลูก แต่ก็เข้าใจความห่วงใยได้จากภรรยา น้องๆและญาติมิตร รวมทั้งพ่อผมซึ่งอายุ 87 แล้วซึ่งถึงแม้จะเป็นคนเข้มแข็งและฝากคนไปบอกผมในเรือนจำตลอดว่าพ่อเข้มแข็ง ดี ไม่ต้องเป็นห่วง แต่พอผมออกมาจริงๆ ก็พบว่าพ่อเครียดอยู่หลายวันเหมือนกัน สุขภาพก็แย่ลงไปอีก

บังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบที่น้องสาวผมคือฐิติมาก็ถูกคุมตัวไปอยู่ค่ายทหาร เสีย 7 วันด้วยในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน พ่อก็เลยพิเศษหน่อยที่มีลูกถูกคุมตัวไปพร้อมกัน 2 คน ผมออกมาแล้วพ่อบอกว่าไม่ห่วงผมเท่าไหร่แต่ห่วงลูกสาวมากกว่าเพราะเป็น ผู้หญิงและไม่เคยผ่านเรื่องหนักๆมาก่อน

หวังว่าภรรยาและลูกของหนูหริ่งคงสบายใจขึ้นบ้าง อย่าางน้อยก็รู้ว่าหนูหริ่งอยู่ไหน จะไปเยี่ยมได้อย่างไรและในเรือนจำก็น่าจะมีเพื่อนมิตรอยู่พอสมควรหวังว่าหนู หริ่งจะได้รับการประกันตัวในโอกาสต่อไป ซึ่งก็ยังต้องสู้คดีกันต่อด้วยข้อหาที่หนักหนาพอทีเดียว

มีประเด็นหนึ่งที่หนูหริ่งพูดไว้ล่าสุดที่ผมเห็นว่าน่าสนใจและอยาก ให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายรับฟังอย่างจริงจังก็คือหนูหริ่งเสนอว่าควรเปิด พื้นที่ให้กับผู้ที่เรียกร้องประชาธิปไตยโดยสันติวิธีหรือที่หนูหริ่งเรียก ว่าสายพิราบ

ผมเองก็เสนอความเห็นอย่างนี้ไว้ในโอกาสต่างๆมาตลอด ในการแก้ปัญหาภาคใต้ผมก็เสนอไว้หลายครั้งและแนวความคิดนี้ก็เป็นที่ยอมรับ มากขึ้นในการกแก้ปัญหาที่นั่น ล่าสุดตอนที่ไปแถลงข่าวที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศผมก็เสนอความเห็นนี้ ไว้อีกโดยบอกว่าการเปิดโอกาสให้ผู้ที่เรียกร้องประชาธิปไตยโดยสันติวิธี สามารถแสดงออกได้ย่อมเป็นการหลีกเลี่ยงการที่ผู้คนจะไปใช้วิธีการอื่นๆ

เราต้องการจะปรองดอง ปฏิรูปและสร้างประชาธิปไตยกันไม่ใช่หรือ หากต้องการอยางนั้น ย่อมจำเป็นที่จะต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมและการที่จะทำให้สิ่ง เหล่านี้เกิดขึ้นได้ การพูดคุยกันอย่างสันติย่อมเป็นวิธีที่พึงปรารถนาที่สุดมิใช่หรือ

ผมเชื่อว่าหนูหริ่งพูดเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะตนเองถูกจับแล้วจึงพูด และที่พูดนั้นไม่ใช่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อหนูหริ่งเอง แต่ที่พูดนั้นเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาของบ้านเมือง

จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายให้ความสนใจในเรื่องนี้ครับ




( คนที่มีจิตใจดีและเป็นนักประชาธิปไตยย่อมมองโลกในแง่ดีเสมอ แต่ปัญหาในสังคมไทย ผู้ที่กุมอำนาจคือฆาตกรตาเดียว และมีลูกน้องที่เป็นสุนัขรับใช้เป็นโจรตาเหล่ ที่พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง  ฉนั้นท่านจะพูดดีอย่างไร มองโลกในแง่ดีอย่างไร พวกสัตว์ทั้งหลายที่มันเป็นเจ้าของอำนาจอยูในเมืองไทยเวลานี้มันไม่ฟังท่านหรอก  ถ้ามันจะให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตย มีความสันติสุข ประชาชนมีการกินดีอยู่ดี พระราชาตาเดียวมันไม่ฆ่าพี่ชายเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์แล้วขึ้นเป็นกษัตริย์แทน เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญที่ในหลวงอานันทม์ได้พระราชทานให้ตั้งแตปี พศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด แต่ พระอนุชาคือน้องชายที่เป็นรัชกาลองค์ปัจจุบัน เป็นผู้ทำลายระบอบประชาธิปไตยนั้นลงโดยการสนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์และทหารฝ่ายขวายึดอำนาจในปี ๒๔๙๐  
 ระบอบราชาธิปไตยก็ได้สถาปนาขึ้นตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ การยึดอำนาจโดยทหารได้มีมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง จนในเวลาปัจจุบันเพื่อรักษ่าอำนาจเผด็จการให้แก่กษัตริย์  ดังนั้นตราบใดถ้าระบอบเผด็จการของกษัตริย์ภูมิพลยังครอบงำสังคมไทยอยู่ ไม่ว่าท่านจะพูดดี และมองโลกในแง่ดีหรือเสนอทางออกที่ดีอย่างไร พระเจ้าตาบอดและทหารตาเหล่ของมันก็ไม่ฟังท่านหรอก นอกจากใช้วิธีการตาต่อตาฟันต่อฟัน เหมือนกับประเทศ ลาว เนปาล หรือ ฝรั่งเศส เท่านั้น . ) ข้อเสนอของผู้อ่าน

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar