สยาม ราชอาณาจักรใต้ดิน
-๒- กองทหารญี่ปุ่นได้ชัยชนะในมลายูในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน และรุกรานคืบหน้ารวดเร็วถึงประเทศพม่า นับเป็นการคุกคามทั่วทั้งเอเชียอาคเนย์ รัฐบาลไทยสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา โดยหวังว่าอาจจะได้ดินแดนบางส่วนที่สยามเคยสูญเสียไปและที่ญี่ปุ่นเข้าไปยึด ครองนั้นกลับคืนมา นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูต่อประเทศจีนด้วย การประกาศสงครามนั้น ถือว่าไม่ถูกต้องตามกฏหมาย เพราะไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร และข้าพเจ้า ซึ่งอยู่ในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ไม่ได้ลงนาม ถึงกระนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรบางประเทศถือว่า ประเทศไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะสงคราม เจ้า หน้าที่หลายคนที่ฝ่ายรัฐบาลสัมพันธมิตรส่งเข้ามาในประเทศสยามอย่างลับๆ เพื่อมาเป็นที่ปรึกษาในการทำสงครามพลพรรค และเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น เรียกขบวนการของเราว่า “ สยาม ราชอานาจักรใต้ดิน “
-๓- ขบวนการของเราได้กำหนดภารกิจที่จะต้องปฏิบัติ ๒ ด้านประกอบกันคือ ด้านหนึ่งต่อสู้ญี่ปุ่นผู้รุกราน และอีกด้านหนึ่ง เจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อให้สัมพันธมิตรเห็นว่า การประกาศสงครามของจอมพลป. พิบูลสงคราม ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อให้สัมพันธมิตรรับรองขบวนการของเรา และรัฐบาลพลัดถิ่นที่เราคิดจะตั้งขึ้น ตลอดจนยอมรับว่าเป็นพันธมิตรด้วย ดังเช่นที่พวกเขาได้รับรอง COMITE FRANCAIS DE LIBERATION NATIONALE นำ โดยนายพล เดอโกลล์ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ส่งทูตพิเศษเพื่อไปเจรจาเรื่องนี้ อย่างลับๆ เราได้มอบให้สถานเอกอัครราชทูตสยามที่ประจำอยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์ม ซึ่งได้ร่วมขบวนการด้วยเป็นผู้ติดต่อกับสถานเอกอัครราชทูตโซเวียตที่ประจำ อยู่ที่กรุงสต็อกโฮล์มเช่นกัน การ เจรจาครั้งนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวัง ความรอบคอบและเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง เพราะประเทศอังกฤษถือว่าการประกาศสงครามของจอมพลป. พิบูลสงครามนั้นมีผลสมบูรณ์ในขณะที่ประเทศสัมพันธมิตรอื่น ( สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต รัฐบาลผลัดถิ่นของฝรั่งเศส ) ต่างก็มีท่าทีเฉพาะของตน แต่ในแง่ของการทหารนั้น บทความหลายชิ้น และหนังสือหลายเล่มที่ตีพิมพ์ในสหราชอานาจักร และสหรัฐอเมริกาเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความช่วยเหลือ และความร่วมมือของเรานานัปการ อันเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ข้าพเจ้าขอนำคำเปิดเผยของลอร์ดหลุยส์ เมานท์แบทเตน ที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ไทมส์ ฉบับวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ มากล่าวอ้างไว้ดังนี้ หนังสือพิมพ์ไทมส์ ๑๘/๑๒/๑๙๔๖ “ อาคันตุกะผู้หนึ่งจากสยาม การรณรงค์ของหลวงประดิษฐฯ คำเปิดเผยของลอร์ด เมานท์แบทเตน “
“ ลอร์ด เมานท์แบทเตน แห่งพม่า ผู้ซึ่งไม่นานมานี้ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ ได้รับการต้อนรับเลี้ยงอาหารกลางวันโดยชิตี้ ลิเวอรี่ คลับ ณ ไซออน คอลเลจ เมื่อวานนี้ได้บรรยายไว้ในสุนทรพจน์ของท่านถึงบทบาทอันยิ่งใหญ่ของหลวง ประดิษฐ์ฯ รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม ในการกำจัดกองทัพญี่ปุ่นซึ่งยึดครองประเทศนั้น ท่านลอร์ดได้สาธยายเกี่ยวกับรายละเอียดซึ่งหนังสือพิมพ์ไทมส์ได้เคยลงพิมพ์ ในฉบับประจำวันที่ ๒๒ ธันวาคม คือประมาณ หนึ่งปีมาแล้ว และได้ประกาศแถลงว่า หลวงประดิษฐฯ บุคคลผู้มีบทบาทที่น่าตื่นเต้นคนหนึ่งแห่งสงครามในเอเชียอาคเนย์นั้นกำหนดจะ มาถึงประเทศอังกฤษโดยเรือเดินสมุทร ควีน เอลิซาเบท พรุ่งนี้เช้า
ลอร์ด เมานท์แบทเตน กล่าวว่า ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสแห่งสยาม ซึ่งรู้จักกันทั่วโลกในนามหลวงประดิษฐ์ฯ “ และพวกเราหลายคนแห่งกองบัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ รู้จักเขาตามชื่อระหัสว่า “ รู้ธ “ เขามาเยี่ยมประเทศนี้ ( อังกฤษ ) และข้าพเจ้าหวังว่าเราจะใช้โอกาศนี้ให้การรับรองเขาอย่างอบอุ่น เพราะเหตุที่หลวงประดิษฐ์ฯเป็นบุรุษผู้มีบทบาทอันน่าตื่นเต้นคนหนึ่งแห่ง สงครามในเอเชียอาคเนย์ เป็นที่ทราบกันว่าในระหว่างสงครามนั้นไม่มีการกล่าวถึงชื่อของเขาอย่างเปิด เผยและเรื่องราวทั้งปวงเกี่ยวกับเขาก็ถูกถือว่าเป็น “ ความลับสุดยอด” แม้ กระทั่งทุกวันนี้ คนอังกฤษส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยทราบกันเท่าไรนักถึงพฤติกรรมอันอาจหาญที่เขากระทำ สำเร็จมาแล้ว ขณะญี่ปุ่นรุกรานสยามหลวงประดิษฐฯ เป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งในรัฐบาล แต่เขาปฏิเสธที่จะลงนามในการประกาศสงครามต่อเรา หลวงพิบูลฯ “ ควิสลิง “ ( QUISLING คือ นายกรัฐมนตรี นอร์เวย์สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งเข้าร่วมกับฝ่ายนาซี- หมายเหตุผู้เรียบเรียง ) รู้ว่าเขา ( หลวงประดิษฐ์ฯ ) เป็นคนหนึ่งที่ทรงอำนาจและได้รับความนิยมอย่างยิ่งในประเทศ และก็หวังที่จะทำให้เขาเป็นหุ่นเชิดโดยให้เขาขึ้นไปเป็นคนหนึ่งในคณะผู้ สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งหลวงประดิษฐ์ฯ ยอมรับตำแหน่งนี้ หลวงพิบูลฯหรือญี่ปุ่นมิได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่า ขณะที่หลวงประดิษฐ์ฯ ยอมรับตำแหน่งหน้าที่นั้น เขาก็ได้เริ่มต้นดำเนินการจัดตั้งและอำนวยการขบวนการต่อต้านของชาวสยามขึ้น"
" คณะผู้แทนหายสาบสูญไป “
"เรา ได้รับรู้จากแหล่งต่างๆว่า หลวงพิบูลฯ มิได้ประสบผลทุกๆอย่างตามวิถีทางของเขาในประเทศสยามแต่การจะติดต่อ ( กับขบวนการต่อต้านภายในสยาม )นั้น ก็ลำบากมากและทั้งนี้ก็เป็นการยากที่จะล่วงรู้ได้ด้วยว่า อะไรเกิดขึ้นกันแน่คณะผู้แทนของหลวงประดิษฐฯ ๒ คณะได้หายสาปสูญไประหว่างการเดินทางไปยังประเทศจีน ซึ่งเต็มไปด้วยภยันตราย แต่ในที่สุด ก็ได้มีการพบปะกันระหว่างสัมพันธมิตรและขบวนการเสรีไทย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงระยะเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าได้รับการแต่ง ตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตร นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เราก็ได้ติดต่อกันเป็นประจำ การติดต่อทั้งนี้นับได้ว่า เป็นความสัมพันธ์พิเศษยิ่งอย่างหนึ่ง เพราะผู้บัญชาการทหารสูงสุดของสัมพันธมิตรได้แลกเปลี่ยนแผนการทหารที่สำคัญๆ กับประมุขแห่งรัฐ ซึ่งโดยทางเทคนิคแล้วถือว่าอยู่ในสถานะสงครามกับเรา “ เราจะเห็นได้ว่าหลวงประดิษฐ์ฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และเขากล้าหาญที่สามารถจัดการให้มีการล้มรัฐบาลของหลวงพิบูลฯได้สำเร็จในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ โดยจัดให้มีรัฐบาลใหม่ขึ้น ซึ่งเป็นรัฐบาลที่เขาแต่งตั้งเอง และทำให้เขาสามารถดำเนินแผนการต่อต้านญี่ปุ่นได้ดีขึ้น
กอง กำลังเสรีไทยที่ได้รับการฝึกฝนในประเทศเราและได้ปฏิบัติการร่วมกันกับกอง กำลังบริติชที่ ๕ และกองกำลัง ที่ ๑๓๖ รวมทั้งกองกำลังอเมริกัน O.S.S. นั้นบางส่วนได้กระโดดร่มเข้าไปร่วมงานของหลวงประดิษฐ์ฯ บางคนถูกจับกุมคุมขังโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลหลวงพิบูลฯ แต่ก็ถูกคุมขังพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะพวกเขาก็พบปะกับหลวงประดิษฐ์ฯได้อย่างลับๆ และได้ตั้งสถานีวิทยุติดต่อกับกองบัญชาการของข้าพเจ้า
ใน เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ หลวงประดิษฐ์ฯได้ส่งบุคคลชั้นหัวหน้าสำคัญๆแห่งขบวนการต่อต้านนำโดยนายดิ เรก ชัยนาม รัฐมนตรีต่างประเทศสยามมาปรึกษาหารือกับข้าพเจ้าที่เมืองแคนดี เราจัดให้คณะดังกล่าวออกมาและส่งกลับโดยเครื่องบินทะเล หรือโดยเรือบิน ( ชนิดที่ต่อเป็นลำเรือไม่ใช่ทุ่น ) ในระหว่างสนทนา เราก็ได้วางแผนการที่เป็นรูปธรรมสำหรับการปฏิบัติการภายหน้า เพื่อให้ประสานกับหลักสำคัญแห่งยุทธภูมิของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองได้มีการตระเตรียมพร้อมเสมอเมื่อถึงความจำเป็นที่จะให้หลวง ประดิษฐ์ฯบินออกมาในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ตราบจนถึงตอนปลายสงคราม เขาได้จัดตั้งกองกำลังเพื่อก่อวินาศกรรม และจัดตั้งกำลังพลพรรคประมาณ ๖ หมื่นคน กับทั้งการสนับสนุนอีกมากมายที่เตรียมพร้อมอย่างเงียบๆ เพื่อที่จะร่วมปฏิบัติการ ซึ่งล้วนแต่อยู่ในบริเวณที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญๆในสยาม “ “ หลวงประดิษฐ์ฯ ( เขา ) ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง “
“ ข้าพเจ้าเข้าใจดีทีเดียวถึงความยากลำบากที่เขาต้องควบคุมพลังนี้ แต่ข้าพเจ้าเองก็ต้องระลึกอยู่เสมอเช่นเดียวกันถึงภยันตรายอันใหญ่หลวงแห่ง การเคลื่อนไหวโดยที่ยังไม่ถึงเวลา ซึ่งจะเป็นผลให้ญี่ปุ่นทำการตอบโต้ทำลาย และจะทำให้แผนยุทธศาสตร์แห่งยุทธภูมิทั้งปวงของข้าพเจ้าเกิดผลกระทบปั่นป่วน วุ่นวาย ความเครียดที่บังคับให้หลวงประดิษฐ์ฯต้องแบกรับไว้ และภยันตรายที่เขาต้องเผชิญตลอดเวลา ๓ ปี นับว่าเป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง แต่ก็อาศัยความที่มีวินัยของเขาเองประกอบกับที่เขาได้ชักจูงให้บรรดาผู้ เชื่อถือเลื่อมใสในตัวเขาปฏิบัติตามนั่นเอง ที่ทำให้ได้ประสบชัยชนะในที่สุด เขาไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย
ข้าพเจ้า รู้ว่ามีบุคคลมากหลายที่เคยตกเป็นเชลยศึกในสยาม ได้มีความสำนึกอันถูกต้องในแง่ที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อความปราถนาดีของหลวง ประดิษฐ์ฯ ซึ่งมีต่อเรา ดัง นั้นจึงขอให้เราให้เกียรติแก่บุคคลผู้นี้ ที่ได้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่ออุดมการณ์ของพันธมิตรและต่อประเทศของเขา เอง ข้าพเจ้าทราบด้วยว่า เขาเป็นบุคคลที่ได้ส่งเสริมมิตรภาพระหว่างอังกฤษกับสยามอย่างแข็งขัน การต่อต้านการกดขี่ของญี่ปุ่นในเอเชียอาคเนย์ดำเนินไปอย่างเกือบไม่ขาดสาย ทั้งนี้ก็เพราะ หลวงประดิษฐ์ฯ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวดในการนี้ ( เสียงตบมือแสดงความชื่นชมยินดีก้องขึ้นเป็นเวลายาวนาน ) "
-๔- รัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีรูสเวลท์ไม่มีนโยบายที่จะทำให้ประเทศของเราเป็น “ อาณานิคม “ จะเห็นได้จากบันทึกที่จัดทำโดยกรมกิจการแปชิฟิคตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเตรียมเผื่อท่านประธานาธิบดีจะใช้ในการสนทนากับ มร. เชอร์ชิล และจอมพลสตาลิน ที่นครยัลต้าในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ บันทึกนี้กล่าวถึงสถานภาพภายหน้าของสยามที่ข้าพเจ้าขอยกข้อความตอนหนึ่งมา ดังนี้
“ เหตุการณ์ที่ชาวยุโรปบีบบังคับประเทศไทย และการที่ชาวยุโรปได้ยึดเอาดินแดนแห่งเอเชียอาคเนย์ไปนั้นยังอยู่ในความทรง จำของชาวเอเชีย รัฐบาลนี้ ( ส.ร.อ. ) ไม่อาจจะร่วมในการปฏิบัติต่อประเทศไทย ไม่ว่าในรูปแบบใด เยี่ยงจักรวรรดินิยมสมัยก่อนสงครามได้ “ บันทึกนี้ยังกล่าวย้ำอีกว่า
“ เรามิได้ถือว่า ประเทศไทยเป็นศัตรู แต่เป็นประเทศที่ถูกยึดครองโดยศัตรู เรารับรองเอกอัครราชทูตประเทศไทยในกรุงวอชิงตันเป็น “ อัครราชทูตแห่งประเทศไทย “ ฐานะเหมือนกันกับอัครราชทูตเดนมาร์ก เราสนับสนุนให้มีประเทศไทยที่เป็นเอกราชและมีเสรีภาพ พร้อมด้วยอธิปไตยที่ไม่ถูกบั่นทอน และปกครองโดยรัฐบาลที่ชาวไทยเลือกเอง ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเป็นประเทศเอกราชอยู่ก่อนสงคราม แม้ว่าเราจะมีส่วนสำคัญในการทำให้ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ แต่ถ้าหากผลแห่งสงครามทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดนที่ตนมีอยู่ก่อน สงครามหรือเอกราชถูกบั่นทอนเราเชื่อว่า ผลประโยชน์ของ ส.ร.อ. ทั่วตะวันออกไกลจะถูกกระทบกระเทือน ภาย ในประเทศไทยซึ่งเดิมยอมจำนนต่อญี่ปุ่นและต่อมาร่วมมือกับญี่ปุ่น อันเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางทั่วไปนั้น ได้ถูกเปลี่ยนเป็นรัฐบาลใหม่ซึ่งส่วนใหญ่คุมโดยหลวงประดิษฐ์ฯ ผู้สำเร็จราชการฯปัจจุบันที่ได้รับการนับถือที่สุดของบรรดาผู้นำไทย และเป็นผู้ต่อต้านญี่ปุ่นมาตั้งแต่ต้น”
นอกจากนี้ นายคอร์ เดล ฮัลล์ ( Cordel Hull ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีจดหมายลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ แจ้งไปยังรองผู้อำนวยการสำนักงานศูนย์ยุทธศาสตร์เกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล อเมริกันที่มีต่อประเทศไทย ดังความต่อไปนี้
“ สหรัฐอเมริกาถือว่า ไทยเป็นรัฐเอกราชที่บัดนี้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองด้วยทหารญี่ปุ่น .... “ รัฐบาลอเมริกันหวังว่า จะสถาปนาเอกราชของประเทศไทยโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ จากข่าวสารต่างๆที่ได้รับแสดงให้เห็นว่า ในรัฐบาลไทยปัจจุบันก็ยังมีข้าราชการส่วนหนึ่งที่คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการ ที่รัฐบาลไทยยอมจำนนต่อการกดดันของฝ่ายญี่ปุ่น เป็นที่ทราบกันดีว่า มีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ( หรือที่รู้จักกันในนาม นายปรีดี พนมยงค์ ) คนหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ร่วมอยู่ด้วย นอกจากนี้หลวงประดิษฐ์ฯ ยังมีส่วนสำคัญในขบวนการใต้ดิน ซึ่งมีจุดเพื่อฟื้นสถานภาพของรัฐบาลไทยที่เคยเป็นอยู่ก่อนหน้าการรุกรานของ ญี่ปุ่น
ด้วย เหตุผลดังกล่าว รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาจึงถือว่าหลวงประดิษฐ์ฯ เป็นตัวแทนแห่งการสืบต่อมาของรัฐบาลแห่งประเทศไทยตามที่เป็นอยู่ก่อนหน้าที่ นายกรัฐมนตรีไทยสมัยนั้น ( จอมพลป. พิบูลสงคราม ) จะไปเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่นในตอนที่ญี่ปุ่นบุก และยอมรับว่า ( หลวงประดิษฐ์ฯ ) เป็นผู้นำคนสำคัญในขบวนการเพื่อเอกราชของชาติไทย ด้วย เหตุนี้ โดยไม่เป็นการผูกมัด รัฐบาลสหรัฐอเมริกาในอนาคต เราจึงถือว่า หลวงประดิษฐ์ฯ เป็นตัวแทนและผู้นำสำคัญคนหนึ่งของชาติไทย ตราบใดที่ชาวไทยยังไม่ได้แสดงออกในทางตรงกันข้าม
คอร์เดล ฮัลล์ "
-๕- ส่วนท่าทีของสหราชอาณาจักรนั้น แม้ว่าผู้นำทางทหาร ดังเช่นลอร์ด เมานท์แบทเตน จะแสดงความชื่นชมต่อคุณูปการของเราที่มีต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ( ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในตอนที่ ๓ ) ในเบื้องแรก รัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่งประกอบด้วยนักการเมืองที่มีแนวโน้มนิยมชมชอบลัทธิจักรวรรดินิยมไม่ ยินยอมเจรจากับเราในทางการเมืองในส่วนที่เกี่ยวกับเอกราชของชาติไทยภายหลัง ที่ฝ่ายสัมพัธมิตรได้ชัยชนะ ดังนั้นลอร์ดเมานท์แบทเตน จึงได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลของตนให้เจรจากับผู้แทนฝ่ายเรา เพียงเฉพาะเรื่องกิจการทางทหารอย่างเดียวเท่านั้น นักการเมืองชาวอังกฤษในยุคนั้นทราบดีทีเดียวว่า การประกาศสงครามระหว่างสยามกับสหราชอาณาจักรนั้น ไม่ถูกต้องตามกฏหมาย อย่างไรก็ตามอังกฤษถือว่า ประเทศเราจะต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่อังกฤษ
เมื่อ รัฐบาลอังกฤษมีท่าทีปฏิเสธการเจรจาทางการเมืองเช่นนี้ เราจึงได้หันมาใช้ความพยายามเจรจาในเรื่องนี้กับรัฐบาลอเมริกัน ที่นำโดยประธานาธิบดีรูสเวลท์ ซึ่งมีท่าทีสนับสนุนสยาม และพยายามเจรจากับรัฐบาลผสมของจีน (ระหว่างจีนคณะชาติกับจีนคอมมิวนิสต์ ) โดยทางเราได้ส่งคณะผู้แทนไปเจรจาเรื่องเอกราชของชาติ เรา ได้ขอให้สถานอัครราชทูตของเราที่กรุงสต็อกโฮล์มติดต่อกับสถานอัครราชทูตของ โซเวียตที่นั่นเช่นกัน ให้ช่วยส่งบันทึกรายงานฉบับหนึ่งไปยังรัฐบาลโซเวียต เพื่อสนับสนุนความต้องการอันชอบธรรมของเรารัฐบาลของประธานาธิบดีรูสเวลท์ได้ ให้ความช่วยเหลือแก่เราหลายครั้งหลายคราว เพื่อที่จะทำให้อังกฤษเปลี่ยนใจ หรืออย่างน้อยที่สุดให้อังกฤษมีท่าทีเดียวกับ ส.ร.อ. ในการยอมรับว่าประเทศสยามมิได้เป็นศัตรู แต่เป็นประเทศอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น
อย่าง ไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เราได้พิจารณาเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ขบวนการเสรีไทยจะต่อสู้การรุกรานของญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย แทนที่จะกระทำการอย่างลับๆ แต่ก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการ เราได้ปรารถนาที่จะให้รัฐบาลอเมริกันและอังกฤษยืนหยัดต่อเราก่อนว่า จะเคารพความเป็นเอกราชของประเทศสยามแม้ว่า จอมพลป. พิบูลสงครามจะได้ประกาศสงครามกับประเทศทั้งสองโดยไม่ถูกต้อง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ส่งโทรเลขลับด่วนมาก ๒ ฉบับ ซึ่งมีข้อความตรงกัน ฉบับหนึ่งถึงกระทรวงต่างประเทศ ส.ร.อ. และอีกฉบับถึงลอร์ดเมานท์แบทเตน
ข้าพเจ้าขอยกข้อความในโทรเลขของข้าพเจ้า ซึ่งทางกระทรวงต่างประเทศของ ส.ร.อ. ได้พิมพ์ภายหลังญี่ปุ่นยอมจำนนไปแล้ว ๒๕ ปี ดังนี้
๑) บันทึกจัดทำโดยกระทรวงต่างประเทศ ส.ร.อ. เลขที่ ๓๔๐๐๐๑๑ p.w./ ๕๒๙๔๕ วอชิงตัน ๒๘ พฤษภา ๒๔๘๘
สาส์ นถึงรัฐมนตรีต่างประเทศจากรู้ธ ( ปรีดี พนมยงค์ ) ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศส.ร.อ. ได้รับเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ มีข้อความดังต่อไปนี้
“ การต่อต้านเสรีไทยในการดำเนินกิจกรรมทั้งหลายนั้น ได้ทำตามคำแนะนำของผู้แทนอเมริกันเสนอมาในการที่มิให้ปฏิบัติการใดๆต่อสู้ ญี่ปุ่นก่อนถึงเวลาอันควร แต่ขณะนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า กำลังใจรบของญี่ปุ่นจะลดน้อยลงไป ถ้าขบวนการเสรีไทยไม่คงอยู่ภายในฉากกำบังอีกต่อไป ญี่ปุ่นจะถูกบีบให้ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขต่อสัมพันธมิตรเร็วขึ้น เพราะการสลายตัวของสิ่งที่เรียกว่า วงไพบูลย์ร่วมกัน อย่างไรก็ตาม เราได้ถือตามคำแนะนำว่าขบวนการเสรีไทยจะต้องพยายามขัดขวางความร่วมมือที่ ญี่ปุ่นจะได้จากประเทศไทย เราได้ยึดถือนโยบายนี้อย่างเคร่งครัดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ท่านย่อมเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นนับวันยิ่งจะมีความสงสัยขบวนการเสรีไทยมากยิ่งขึ้น เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลไทย (รัฐบาลควง ฯ ) ไม่ยอมทำตามคำขอของญี่ปุ่นที่ขอเครดิตเพิ่มเติมอีก ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ข้าพเจ้าได้รับแจ้งจากรัฐบาลปัจจุบันว่า จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ได้ ถ้าหากญี่ปุ่นบีบบังคับให้ปฏิบัติตามคำขอดังกล่าว
ถ้า ญี่ปุ่นยืนยันเช่นนั้น รัฐบาลใหม่ก็จะตั้งขึ้นและปฏิการต่อสู้ญี่ปุ่น โดยประการแรกประกาศโมฆะกรรม ซึ่งหนี้สินและข้อตกลงซึ่งรัฐบาลพิบูล ฯกับญี่ปุ่นได้ทำกันไว้ตลอดทั้งสนธิสัญญาที่ผนวก ๔ รัฐมาลัย (มาเล ผู้เรียบเรียง )และรัฐฉานไว้กับประเทศไทย รวมทั้งการประกาศสงครามต่ออังกฤษและ ส.ร.อ. ด้วยพื้นฐานแห่งความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ ชาตินี้กับประเทศไทยจะสถาปนาขึ้นดังที่เป็นอยู่ก่อนญี่ปุ่นบุกเพิร์ล ฮาร์เบอร์ ก่อนที่จะดำเนินแผนการนี้ ข้าพเจ้าปรารถนาแจ้งให้ท่านทราบถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แม้ว่าข้าพเจ้าตระหนักว่า ส.ร.อ. มีเจตนาดีต่อเอกราชของประเทศไทย และมีไมตรีจิตต่อราษฎรไทย ข้าพเจ้าเชื่อว่าในวันที่เราลงมือปฏิบัติการนั้น ส.ร.อ.จะประกาศเคารพความเป็นเอกราชของประเทศไทย และถือว่าประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและไม่ถือว่าประเทศไทยเป็น ประเทศศัตรู ทั้งนี้จะเป็นการส่งเสริมกำลังใจอย่างใหญ่หลวงต่อมวลราษฎรไทย ซึ่งเตรียมพร้อมแล้วในการเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง “
ข้าพเจ้าได้ส่งสาระในโทรเลขฉบับนี้ไปยังผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรเอเชียอาคเนย์ด้วยเช่นกัน
๒ ) วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ข้าพเจ้าได้รับคำตอบจากผู้รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ส.ร.อ. มีความดังต่อไปนี้
“ ขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อสาส์นของท่านถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เราเข้าใจความปราถนาของท่านที่จะให้ประเทศไทยต่อสู้ศัตรูทางปฏิบัติการโดย เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราเชื่อแน่ว่าอย่างไรก็ตามท่านย่อมตระหนักว่า การต่อสู้ศัตรูร่วมกันของเรานั้น ต้องสมานกับยุทธศาสตร์ทั้งปวงในการต่อสู้กับญี่ปุ่น และไม่เป็นผลดีถ้าไทยทำก่อนเวลาอันสมควร และก่อนที่จะมีหลักประกันพอสมควรว่าจะได้ชัยชนะ หรือถ้าลงมือปฏิการอย่างเปิดเผยโดยมิได้อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของผู้บัญชาการ ทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ เรา หวังว่า ท่านจะใช้ความพยายามต่อไปที่จะป้องกันการกระทำก่อนถึงเวลาอันสมควร โดยขบวนการเสรีไทย หรือการปฏิบัติอันเร่งให้ญี่ปุ่นยึดอำนาจจากรัฐบาลไทย (รัฐบาลควง ฯ ) เรา เชื่อมั่นว่า ท่านจะแจ้งให้เราและอังกฤษทราบถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงกระทันหัน ทั้งๆที่ท่านพยายามยับยั้งไว้แล้วก็ตาม ส.ร.อ. เข้าใจแจ่มแจ้ง และเห็นคุณค่าในความปรารถนาจริงใจของท่านและมวลราษฎรไทยในการปฏิเสธการ ประกาศสงครามและข้อตกลงระหว่างญี่ปุ่นกับรัฐบาลพิบูลฯนั้น แต่ยังไม่เข้าใจแจ้งชัดว่าเหตุใดรัฐบาลปัจจุบัน ( รัฐบาลควง ฯ ) จะลาออกขณะนี้ หรือจะมีการบีบบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลชุดต่อไปต้องเลือกเอา การปฏิเสธการประกาศสงครามและข้อตกลงกับญี่ปุ่นเป็นการกระทำในเบื้องแรก ย่อม จะเห็นได้ว่า ขบวนการเสรีไทยจะบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ได้ดีกว่าเมื่อออกมาปฏิบัติการเปิด เผยแล้ว คือโดยจู่โจมการลำเลียงการคมนาคมกองกำลังยุทโธปกรณ์ของศัตรู อย่างฉับพลันและอย่างมีการประสานงาน รวมทั้งยึดตัวนายทหาร พนักงาน เอกสาร จุดสำคัญของศัตรู แล้วการปฏิบัติทางการเมืองเพื่อปฏิเสธการประกาศสงครามและการเข้ามีฐานะเสมอ กันกับสัมพันธมิตรก็จะตามมาภายหลัง เรา ให้ความสำคัญต่อการมีรัฐบาลไทยที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริงบนผืน แผ่นดินไทย เพื่อที่จะทำการร่วมมือกับสัมพันธมิตร เราหวังว่า การเตรียมทุกอย่างที่จะเป็นไปได้ จะต้องทำขึ้นในอันที่จะป้องกันการจับกุมหรือการแยกย้ายบุคคลสำคัญที่เป็น ฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อว่ารัฐบาลดังกล่าวนั้นจะเข้ารับงานได้ทันทีในบริเวณที่ปลอดญี่ปุ่น และสามารถสั่งการทางทหารให้กองทัพไทยปฏิบัติการร่วมมือกับสัมพันธมิตร และสามารถรื้อฟื้นกลไกของรัฐบาลพลเรือนในบริเวณที่กู้อิสรภาพแล้ว ส.ร.อ. ไม่อาจประกาศโดยลำพังได้ว่าชาติอื่นชาติใดเป็นสมาชิกสหประชาชาติ แต่จะมีความยินดีประกาศซ้ำอีกโดยเปิดเผยในโอกาศเหมาะสมถึงการเคารพความเป็น เอกราชของชาติไทย และประกาศว่า ส.ร.อ. ไม่เคยถือว่าประเทศไทยเป็นศัตรู เรารอคอยวันที่ประเทศของเราทั้งสองสามารถที่จะเปิดเผยต่อสาธารณชนถึงจุดหมายร่วมกันในการต่อสู้ศัตรูร่วมกัน"
(ลงนาม ) กรูว์ ( Grew ) รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
๓) แม้ว่าลอร์ดเมาน์ทแบทเตน ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะรู้สึกเห็นใจในขบวนการของเรา แต่ก็ตอบรับได้เฉพาะในแง่ของแผนการทางทหารเท่านั้นโดยขอให้ข้าพเจ้าป้องกันมิให้มีการกระทำการใดๆก่อนถึงเวลาอันสมควร เมื่อ เราส่งนายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นไปที่ประเทศซีลอน เพื่อเจรจากับลอร์ดเมาน์ทแบทเตน บรรดาที่ปรึกษาทางการเมืองที่รัฐบาลอังกฤษส่งมาเจรจา ต่างก็ปฏิเสธที่จะยอมรับความเป็นเอกราชของสยาม
-๖- สำหรับรัฐบาลจีนโดยการนำของจอมพลเจียงไคเช็ค ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายคอมมิวนิสต์เองรับรองว่า เป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศจีนในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั้น ขบวนการเสรีไทยได้ส่งผู้แทนไปเจรจา ๓ ครั้ง เรื่องความเป็นเอกราชของสยาม และขอให้คณะผู้แทนของขบวนการ ฯผ่านประเทศจีน เพื่อไปติดต่อกับประเทศสัมพันธมิตรอื่นๆได้ง่ายขึ้น รัฐบาล จีนได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่จีน ซื่อ เหลียง ( เกิดในเมืองไทย ) เป็นผู้ดำเนินการเจรจากับคณะผู้แทนของขบวนการฯ เจ้าหน้าที่ผู้นี้ทำงานในหน่วยสืบราชการลับของรัฐบาลจีนและเป็นที่ไว้วางใจ มาก อันที่จริงแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้นี้สนับสนุนฝ่ายคอมมิวนิสต์และได้เปิดเผยรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับจุดประสงค์ของข้ารัฐการชั้นสูงของจีนที่มีต่อประเทศสยาม ( ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมกับฝ่าย คอมมิวนิสต์ และเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้าในการเตรียมการเดินทางไปยังสาธารณรัฐ ราษฎรจีน )
รัฐบาล จีนไม่พอใจประเทศไทยมาก พราะรัฐบาลจอมพลพิบูลฯ ไม่เพียงแต่จะส่งกองทหารไปยึดพื้นที่บริเวณตลอดชายแดนจีน-พม่า ที่ขึ้นกับอังกฤษเท่านั้น แต่ยังรับรองรัฐบาลหุ่นของมานจูกั๊วะ ที่ตั้งขึ้นภายใต้การบงการของญี่ปุ่นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ( อดีตจักรพรรดิปูยี PU YI ) ซึ่งได้ถูกถอดจากราชบัลลังก์จีนโดยการอภิวัฒน์ชนชั้นเจ้าสมบัติในปีพ.ศ. ๒๔๕๔ ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิในรัฐใหม่แห่งนี้ ) นอกจากนี้จอมพลพิบูลฯยังรับรองรัฐบาลวังจิงไว ( Wang Jing-wei ) ว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฏหมายของประเทศจีนด้วย รัฐบาล จีนได้ออกข่าวผ่านทางวิทยุกระจายเสียงและหนังสือพิมพ์ขู่ว่า จะบุกเข้าประเทศไทยจับตัวจอมพลพิบูลฯและผู้สมรู้ร่วมคิดมาชำระคดีฐานเป็น อาชญากรสงคราม การเจรจาของเรากับรัฐบาลจีนจึงลำบากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องพยายามให้รัฐบาลจีนไม่ถือว่าประเทศสยามเป็นศัตรูและ เคารพความเป็นเอกราชของสยามภายหลังที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะ การ เดินทางของผู้แทนคนแรกของขบวนการฯ คือนายจำกัด พลางกูร ไม่อาจผ่านประเทศจีน เพื่อไปยังประเทศสัมพันธมิตรได้เพราะติดขัดทางฝ่ายรัฐบาลจีนจึงทำให้เขาไม่ สามารถปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงไปได้ การเดินทางครั้งนี้ประสบความลำบากมากมายนายจำกัดฯได้เสียชีวิตลงที่นครจุ งกิง ผู้แทนคนที่ ๒ คือนายสงวน ตุลารักษ์ ได้รับความสะดวกขึ้นบ้างในการเดินทางไปอังกฤษและ ส.ร.อ.
คณะ ผู้แทนชุดที่ ๓ นำโดยนายถวิล อุดล สามารถประสานการทำงานระหว่างขบวนการฯ ของเรากับรัฐบาลจีนได้จนสิ้นสงคราม ด้วยความพยายามของเราและด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลส.ร.อ. โดยประธานาธิบดีรูสเวลท์ รัฐบาลจีนยอมถือนโยบายของรัฐบาลอเมริกันในการเคารพความเป็นเอกราชของสยามภาย หลังที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะอย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์ใน ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ นั้นจอมพลเจียงไคเช็คได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่าย สัมพันธมิตรเพื่อบัญชาการสู้รบในประเทศจีนและในอินโดจีน หลังปีพ.ศ. ๒๔๘๖ เจียงไคเช็คจึงได้รับผิดชอบการสู้รบเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น แต่ เนื่องจากเส้นแบ่งเขตทางเหนือของเอเชียอาคเนย์ยังไม่แน่นอน เจียงไคเช็คพยายามขอให้สัมพันธมิตรยอมให้เขตแดนสยามและอินโดจีนฝรั่งเศส (อินโดจีนของฝรั่งเศส ผู้เรียบเรียง ) เหนือเส้นขนานที่ ๑๖ อยู่ในเขตยุทธภูมิจีนที่เจียงไคเช็ครับผิดชอบอยู่ ข้าพเจ้าได้แสดงความวิตกกังวลในเรื่องนี้ต่อรัฐบาลอเมริกัน เนื่องจากถ้าฝ่ายสัมพันธมิตรยินยอมตามเจียงไคเช็ค กลุ่มชาวจีนโพ้นทะเลที่คลั่งชาติที่มีอยู่จำนวนมากในสยามย่อมฉวยโอกาสในขณะ ที่กองทัพจีนเข้ามาอยู่ในประเทศสยามก่อความวุ่นวายขึ้นหลังการยอมจำนน ญี่ปุ่นในปีพ.ศ. ๒๔๘๘ เจียงไคเช็คได้ขอความเห็นจากสัมพันธมิตรว่า เขาจะส่งกองทัพเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในเขตแดนสยามและอินโดจีนบริเวณ เหนือเส้นขนานที่ ๑๖ ได้หรือไม่ ข้าพเจ้าได้ส่งโทรเลขไปถึงรัฐบาลอเมริกันเพื่อชี้แจงว่า ขบวนการเสรีไทยพร้อมที่จะปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในดินแดนไทยเอง ประธานาธิบดี ทรูแมน ซึ่งรับตำแหน่งสืบต่อจากรูสเวลท์ตระหนักดีถึงปัญหาชาวจีนโพ้นทะเลดังกล่าว จึงแต่งตั้งให้ผู้บัญชาการทหารอเมริกันที่รับผิดชอบด้านญี่ปุ่นเป็นผู้ออกคำ สั่งให้กองกำลังทหารญี่ปุ่นในดินแดนสยามยอมจำนนต่อลอร์ดเมาน์ทแบทเตน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสัมพันธมิตรภาคเอเชียอาคเนย์