khaosod
ข่าวสดออนไลน์
คอลัมน์ ใบตองแห้ง
คนตุลา "ปาราชิก" คอลัมน์ ใบตองแห้ง
14 ตุลา 2516 "วันประชาธิปไตย" 42 ปีผ่านไป กลับกลายเป็น "วันตอแหล" ของคนแก่ๆ กลุ่มหนึ่งซึ่ง ยกอดีตการต่อสู้ของตนมาข่มลูกหลาน กลบเกลื่อนพฤติกรรมในปัจจุบัน
42 ปีย้อนแย้งน่าขัน วันรำลึก "โค่นเผด็จการ" กลับมีตัวแทนรัฐบาลทหารมาให้โอวาท 14 ตุลาเป็นวันอะไร ไม่ทราบ วันประชาธิปไตยแบบไทย? เจตนารมณ์นักศึกษาประชาชนที่พลีชีพขับไล่เผด็จการถูกบิดให้เป็น "มวลมหาประชาชน" ตั้งแต่เมื่อไหร่
มันน่าคิดนะว่ารัฐบาลทุก ยุคทุกสมัย ไม่ยักรำลึก 6 ตุลา 2519 ทั้งที่เป็นบทเรียนการปลุกความเกลียดชังฆ่าคน เห็นต่างอย่างโหดร้าย ไม่ควรเกิดขึ้นอีกในสังคมไทย
แต่อย่าว่าอื่นไกล คนเดือนตุลาบางคน พักหลังก็ไปแต่งาน 14 ตุลา ไม่ยักร่วมรำลึก 6 ตุลา ไม่ทราบว่าตะขิดตะขวงใจอะไรหรือเปล่า
ผม "เกิด" ไม่ทัน 14 ตุลา เพราะยังเรียน ม.ศ.5 ไม่สนใจสังคมการเมือง จนเข้าธรรมศาสตร์ปีต่อมา แต่คารวะทั้ง 14 และ 6 ตุลา เพราะ 14 ตุลาเปิดกะโหลกให้พบคำตอบของชีวิตที่แสวงหา คือเสรีภาพ ประชาธิปไตย ซึ่งตอกย้ำอีกครั้งหลังเข้าป่าและออกป่า ไม่ว่าเผด็จการข้างไหนล้วนไม่ใช่ คำตอบของชีวิตและสังคม
เสรีภาพต่างหาก สำคัญกว่าสังคมที่เป็นธรรม เสรีภาพต่างหาก สำคัญกว่าศีลธรรม เพราะถ้าเสรีภาพถูกจำกัด ก็ไม่เกิดความเป็นธรรม และไม่นำไปสู่ศีลธรรมที่เป็นจริง
อุดมการณ์เดือนตุลาอยู่ตรง ไหน ถ้ารำลึกถึงผู้พลีชีพไปตั้งแต่ 14 ตุลาถึง 6 ตุลา หรือในป่า ถ้าย้อนอดีตขบวนการนักศึกษาตั้งแต่ "ฉันจึงมาหาความหมาย" ถึงวันนี้คนเขียนอาจยังหาไม่เจอ หลังอุดมการณ์สังคมนิยมล่มสลาย หลังมองกันว่า "ประชาธิปไตยฝรั่ง" มีปัญหา สังคมอุดมคติอาจ มองไม่เห็น หรือเห็นต่างกันได้ ไม่แปลกอะไร
เรื่องใหญ่คือเสรีภาพต่าง หาก เสรีภาพที่อยากคิด พูด เขียน แสดงออก ชุมนุม ประท้วง กระทั่งเกิด 14 ตุลา เสรีภาพที่จะมีความเห็นต่าง กระทั่งถูกปราบปรามเมื่อ 6 ตุลา เสรีภาพที่จะโต้แย้งพรรค กระทั่งถูกใส่หมวก "นายทุนน้อย" ออกจากป่า
นั่นต่างหากคือลมหายใจคนเดือนตุลา ไม่ว่าวันนี้อยู่ที่ไหน รวยๆ จนๆ ชั่วๆ ดีๆ มีชีวิตส่วนตัวอย่างไร ครั้งหนึ่งเราได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อเสรีภาพ แม้พ่ายแพ้สักกี่ครั้ง แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ...
ที่ไหนได้ ใครจะคิดว่า 30-40 ปีผ่านไป คนที่เคยเรียกร้องประชาธิปไตย กลับเห็นดีเห็นงามกับรัฐประหาร คนที่เคยต่อสู้เพื่อเสรีภาพ กลับเชียร์การใช้อำนาจกวาดจับนักศึกษารุ่นลูกรุ่นหลาน คนที่เคยต่อต้าน ม.17 กลับไชโยโห่ร้องรับ ม.44 หลอกตัวเองว่านี่คือระบอบ "จงทำดี จงทำดี จงทำดี" ที่จะปราบปราม "เลว ชั่ว โกง" สร้างสังคมเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ แทบถึงจุดสปัสซั่มได้โค่นล้มสังคมทราม
ไม่ทราบว่าแกล้งไร้เดียงสาทั้งที่ผ่านโลกมาขนาดนี้ หรือว่าแก่แล้วเลอะเลือนเห็นขี้มูกเป็นสลิ่ม
ใครเลยจะคิดว่า 30-40 ปีผ่านไป คนที่เคยถูกกระทำ เห็นเพื่อนตาย เลือดเพื่อนเปื้อน รอดตายมาได้ กลับเกลียดชังคนเห็นต่าง เชียร์ให้ใช้ "กระสุนจริง" กวาดล้างมวลชนฝ่ายตรงข้าม เพียงเพราะมันมี "ชายชุดดำ" มันเผาบ้านเผาเมือง ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์เหมือน 14 ตุลา สมควรตาย!
บางคนอาจเถียงว่า เฮ้ยไม่ได้เชียร์ แค่นอนดูอยู่บ้านเฉยๆ แต่ลืมตาข้างหลับตาข้าง ที่ม็อบขัดขวางเลือกตั้งละก็ท่องคาถาปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
บางคนอาจแย้งว่า มันก็ปลุกเกลียดชังกันทั้งสองฝ่าย อาจใช่ แต่ถ้าผมมีอำนาจจากเลือกตั้ง ผมก็เรียกคำนูณ สิทธิสมาน, ประสาร มฤคพิทักษ์ ไปปรับทัศนคติในห้องสี่เหลี่ยมไม่ได้ เพราะ "ประชาธิปไตยฝรั่ง" มันมีกติกาให้อดทน อดกลั้น
42 ปีผ่านไปคนเดือนตุลาไม่จำเป็นต้องดีเด่กว่าใคร พวกเมากลิ้งไร้อนาคตก็ถมไป พวก "อาบัติ" ในชีวิตส่วนตัวก็มากมาย แต่ตราบใดที่ลมหายใจยังคำนึงถึงเสรีภาพ ก็ไม่ถึงกับ "ปาราชิก" แบบพวกยกตนเป็นคนดีทำเพื่อสังคมแต่โค่นล้มประชาธิปไตย
บางคนยังมีหน้าพูดนะว่า "ไม่เป็นไร เราเห็นต่างกันได้ คุณอยากเลือกตั้ง เราอยากปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ยังนึกถึงสมัยร่วมอุดมการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกันเสมอ"
พูดในขณะที่เพื่อนบางคนต้องหลบลี้หนีภัยหรือต้องไปปรับทัศนคตินี่นะ แหม ต้องนับ 1-1,000 อดทนอดกลั้น ไม่ตะโกนว่า "อยากเอารองเท้ายัดปากจัง (โว้ย)"
วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23:27 น.
จำนวนคนอ่านล่าสุด 314 คน
14 ตุลา 2516 "วันประชาธิปไตย" 42 ปีผ่านไป กลับกลายเป็น "วันตอแหล" ของคนแก่ๆ กลุ่มหนึ่งซึ่ง ยกอดีตการต่อสู้ของตนมาข่มลูกหลาน กลบเกลื่อนพฤติกรรมในปัจจุบัน
42 ปีย้อนแย้งน่าขัน วันรำลึก "โค่นเผด็จการ" กลับมีตัวแทนรัฐบาลทหารมาให้โอวาท 14 ตุลาเป็นวันอะไร ไม่ทราบ วันประชาธิปไตยแบบไทย? เจตนารมณ์นักศึกษาประชาชนที่พลีชีพขับไล่เผด็จการถูกบิดให้เป็น "มวลมหาประชาชน" ตั้งแต่เมื่อไหร่
มันน่าคิดนะว่ารัฐบาลทุก ยุคทุกสมัย ไม่ยักรำลึก 6 ตุลา 2519 ทั้งที่เป็นบทเรียนการปลุกความเกลียดชังฆ่าคน เห็นต่างอย่างโหดร้าย ไม่ควรเกิดขึ้นอีกในสังคมไทย
แต่อย่าว่าอื่นไกล คนเดือนตุลาบางคน พักหลังก็ไปแต่งาน 14 ตุลา ไม่ยักร่วมรำลึก 6 ตุลา ไม่ทราบว่าตะขิดตะขวงใจอะไรหรือเปล่า
ผม "เกิด" ไม่ทัน 14 ตุลา เพราะยังเรียน ม.ศ.5 ไม่สนใจสังคมการเมือง จนเข้าธรรมศาสตร์ปีต่อมา แต่คารวะทั้ง 14 และ 6 ตุลา เพราะ 14 ตุลาเปิดกะโหลกให้พบคำตอบของชีวิตที่แสวงหา คือเสรีภาพ ประชาธิปไตย ซึ่งตอกย้ำอีกครั้งหลังเข้าป่าและออกป่า ไม่ว่าเผด็จการข้างไหนล้วนไม่ใช่ คำตอบของชีวิตและสังคม
เสรีภาพต่างหาก สำคัญกว่าสังคมที่เป็นธรรม เสรีภาพต่างหาก สำคัญกว่าศีลธรรม เพราะถ้าเสรีภาพถูกจำกัด ก็ไม่เกิดความเป็นธรรม และไม่นำไปสู่ศีลธรรมที่เป็นจริง
อุดมการณ์เดือนตุลาอยู่ตรง ไหน ถ้ารำลึกถึงผู้พลีชีพไปตั้งแต่ 14 ตุลาถึง 6 ตุลา หรือในป่า ถ้าย้อนอดีตขบวนการนักศึกษาตั้งแต่ "ฉันจึงมาหาความหมาย" ถึงวันนี้คนเขียนอาจยังหาไม่เจอ หลังอุดมการณ์สังคมนิยมล่มสลาย หลังมองกันว่า "ประชาธิปไตยฝรั่ง" มีปัญหา สังคมอุดมคติอาจ มองไม่เห็น หรือเห็นต่างกันได้ ไม่แปลกอะไร
เรื่องใหญ่คือเสรีภาพต่าง หาก เสรีภาพที่อยากคิด พูด เขียน แสดงออก ชุมนุม ประท้วง กระทั่งเกิด 14 ตุลา เสรีภาพที่จะมีความเห็นต่าง กระทั่งถูกปราบปรามเมื่อ 6 ตุลา เสรีภาพที่จะโต้แย้งพรรค กระทั่งถูกใส่หมวก "นายทุนน้อย" ออกจากป่า
นั่นต่างหากคือลมหายใจคนเดือนตุลา ไม่ว่าวันนี้อยู่ที่ไหน รวยๆ จนๆ ชั่วๆ ดีๆ มีชีวิตส่วนตัวอย่างไร ครั้งหนึ่งเราได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อเสรีภาพ แม้พ่ายแพ้สักกี่ครั้ง แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ...
ที่ไหนได้ ใครจะคิดว่า 30-40 ปีผ่านไป คนที่เคยเรียกร้องประชาธิปไตย กลับเห็นดีเห็นงามกับรัฐประหาร คนที่เคยต่อสู้เพื่อเสรีภาพ กลับเชียร์การใช้อำนาจกวาดจับนักศึกษารุ่นลูกรุ่นหลาน คนที่เคยต่อต้าน ม.17 กลับไชโยโห่ร้องรับ ม.44 หลอกตัวเองว่านี่คือระบอบ "จงทำดี จงทำดี จงทำดี" ที่จะปราบปราม "เลว ชั่ว โกง" สร้างสังคมเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ แทบถึงจุดสปัสซั่มได้โค่นล้มสังคมทราม
ไม่ทราบว่าแกล้งไร้เดียงสาทั้งที่ผ่านโลกมาขนาดนี้ หรือว่าแก่แล้วเลอะเลือนเห็นขี้มูกเป็นสลิ่ม
ใครเลยจะคิดว่า 30-40 ปีผ่านไป คนที่เคยถูกกระทำ เห็นเพื่อนตาย เลือดเพื่อนเปื้อน รอดตายมาได้ กลับเกลียดชังคนเห็นต่าง เชียร์ให้ใช้ "กระสุนจริง" กวาดล้างมวลชนฝ่ายตรงข้าม เพียงเพราะมันมี "ชายชุดดำ" มันเผาบ้านเผาเมือง ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์เหมือน 14 ตุลา สมควรตาย!
บางคนอาจเถียงว่า เฮ้ยไม่ได้เชียร์ แค่นอนดูอยู่บ้านเฉยๆ แต่ลืมตาข้างหลับตาข้าง ที่ม็อบขัดขวางเลือกตั้งละก็ท่องคาถาปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
บางคนอาจแย้งว่า มันก็ปลุกเกลียดชังกันทั้งสองฝ่าย อาจใช่ แต่ถ้าผมมีอำนาจจากเลือกตั้ง ผมก็เรียกคำนูณ สิทธิสมาน, ประสาร มฤคพิทักษ์ ไปปรับทัศนคติในห้องสี่เหลี่ยมไม่ได้ เพราะ "ประชาธิปไตยฝรั่ง" มันมีกติกาให้อดทน อดกลั้น
42 ปีผ่านไปคนเดือนตุลาไม่จำเป็นต้องดีเด่กว่าใคร พวกเมากลิ้งไร้อนาคตก็ถมไป พวก "อาบัติ" ในชีวิตส่วนตัวก็มากมาย แต่ตราบใดที่ลมหายใจยังคำนึงถึงเสรีภาพ ก็ไม่ถึงกับ "ปาราชิก" แบบพวกยกตนเป็นคนดีทำเพื่อสังคมแต่โค่นล้มประชาธิปไตย
บางคนยังมีหน้าพูดนะว่า "ไม่เป็นไร เราเห็นต่างกันได้ คุณอยากเลือกตั้ง เราอยากปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ยังนึกถึงสมัยร่วมอุดมการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วยกันเสมอ"
พูดในขณะที่เพื่อนบางคนต้องหลบลี้หนีภัยหรือต้องไปปรับทัศนคตินี่นะ แหม ต้องนับ 1-1,000 อดทนอดกลั้น ไม่ตะโกนว่า "อยากเอารองเท้ายัดปากจัง (โว้ย)"
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar