นายกไทย - ลาว แถลงผลประชุมร่วมกัน ร่วมพัฒนาชายแดน...

(19 พ.ค.) ที่โรงแรม เลอเมอริเดียน จ.เชียงใหม่ เวลา 12.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมด้วยนายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้เป็นพยานในการลงนามเอกสาร 3 ฉบับ ได้แก่ แถลงการณ์ร่วม การประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการ ไทยลาว ครั้งที่ 2, ความตกลงระหว่าง ไทย และ ลาว ว่าด้วยกรรมสิทธิ์การใช้ บริหารและบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ไทย-ลาว
โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ กล่าวว่า การประชุมครม.ร่วมไทย-ลาว ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ด้วยบรรยากาศที่สร้างสรรค์ และ เป็นมิตรภาพ ซึ่งการประชุมในวันนี้ได้มีความคืบหน้าในการอำนวยความสะดวกในการผ่านแดน เพื่อแก้ปัญหาความแออัดในการสัญจร ในบางด่านซึ่งฝ่ายลาวก็ได้รับไปพิจารณาในการปรับปรุงขั้นตอนและการเก็บค่า ธรรมเนียมต่างๆ และฝ่ายไทยพร้อมปรับปรุงในการพัฒนาระบบศุลกากรให้ดีขึ้น แก้ไขปัญหาการจัดพื้นที่ด้านในฝ่ายไทย รวมถึงได้หารือถึงการเชื่อมโยงการใช้ถนนหมายเลข 8 และ 12 เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงอย่างแท้จริง โดยทาง สปป.ลาว จะกำหนดการจัดค่าธรรมเนียมเส้นทางดังกล่าวให้ได้มาตรฐานที่ชัดเจน ซึ่งฝ่ายไทยจะส่งเสริมให้ภาคเอกชน ไปลงทุนบริเวณเส้นทางดังกล่าวและปรับปรุงสภาพทางให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงได้ขอให้ฝ่าย สปป.ลาวเร่งรัดโครงการความร่วมมือโครงการรถไฟความเร็วสูงจากจีน ซึ่งไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพในการ หารือร่วม 3 ฝ่าย ไทย ลาวและจีน รวมถึงการยกระดับความร่วมมือด้านยาเสพติดในการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้ทันต่อ เหตุการณ์ และการพัฒนาปลูกพืชทดแทนเพื่อเป็นการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง
ด้านนายทองสิง กล่าวว่าการประชุมครั้งนี้เป็นผลที่หน้าพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย และต่างเห็นตรงกันในการแก้ไขอุปสรรคต่างๆ ให้การค้าและการไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนมีบรรยากาศที่ดีขึ้น รวมถึงการแก้ไขปัญหาบริเวณชายแดนการแก้ไขปัญหาแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานลาวที่ทำงานอยู่ที่ประเทศไทย และแรงงานไทยที่อยู่ในประเทศลาว ซึ่งมีทั้งถูกและผิดกฎหมาย โดยทั้ง 2 ประเทศจะพยายามแก้ไขเรื่องดังกล่าวให้ถูกต้องตามระเบียบ โดยเฉพาะจะร่วมมือแก้ปัญปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง การประชุมครั้งนี้มีการพูดคุยด้วยบรรยากาศที่ดี และมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา ตนขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ได้อำนายความสะดวกในการจัดการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ.