onsdag 22 maj 2013

เมื่อผมติดอยู่ในวัดปทุม ."ทุ่งสังหาร".... เรื่องราวความจริงที่บอกให้รู้ว่าอำมาตย์คือผู้สั่งทหารฆ่าประชาชนมือเปล่า....นี่คือความโหดเหี้ยมอำมหิตของไอ้พวกสารเลว

** เมื่อผมติดอยู่ในวัดปทุม ..... **
by  พรมแดนป่า20

สี่วันที่แล้ว หลังจากกระทู้พี่สายลมได้ถามไถ่เพื่อนสมาชิก เกี่ยวกับเหตุการณ์ 19 พ.ค. 53 ว่าใครอยู่ที่ไหน ทำอะไรกันบ้าง ในวันนั้น เพื่อเป็นการร่วมรำลึกครบรอบ 3 ปี เหตุการณ์ความรุนแรงกลางมหานครกรุงเทพ

http://forum.banrasdr.com/showthread.php?tid=23077

ผมได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายที่เคารพ วานขอให้ช่วยเขียนบอกเล่าเรื่องราวลงบอร์ด เพื่อเป็นอีกหนึ่งเสียง ร่วมรำลึกย้อนหลังกลับไป ยังวันที่เราจากมา ....

ก่อนหน้านี้ ผมอยู่ในเส้นทางสายการเมืองมาตั้งแต่เด็ก คลุกคลีกับวิถีทางการเมืองจนฝังรากลึก บทสนทนาประจำวันที่พูดคุยกันกับพ่อ เป็นเรื่องการเมืองเสียเกินกว่าครึ่ง เกินกว่าสัีดส่วนที่เราจะนั่งไถ่ถามกันเรื่องทั่วๆไป เหมือนพ่อลูกคู่อื่นพึงเป็น จนกระทั่งผมเหม็นเบื่อความเป็น "สีเทา" จึงได้เริ่มค้นหาเส้นทางเิดินของตัวเอง ออกไปให้ไกล จนปิดหู ปิดตาไม่ยอมรับรู้ความจริง ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นที่นี่ นับจากนี้.... ไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของมัน และไม่ยอมรับรู้รับฟังสิ่งใด เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะพยายามเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเท่าที่พอทำได้

ในวันที่เสื้อเหลืองออกมา ผมนั่งมองอย่างเฉยเมย ...
ในวันที่ทหารออกมา ผมไม่พอใจ ไม่เข้าใจ ไม่เห็นด้วย แต่นั่งเงียบ ...

ผมยังเยาว์เกินกว่าจะรู้ว่าการปฏิวัติทิ้งผลผลิตไว้ให้ประเทศได้เจ็บแสบขนาดไหน

ในวันที่เพื่อนสนิทเกือบทั้งหมดเลือกที่จะเดินข้างคนเกลียดทักษิณ เพื่อนรอบข้างที่มีการศึกษาสูงๆ ดูเป็นคนฉลาดหลักแหลม น่าเชื่อถือ วิจารณ์ความเลวทรามของคนชื่อทักษิณ วิจารณ์ความโง่งมงายของคนบูชาทักษิณ ผมกลับบ้าน ...พ่อกับแม่ใส่เสื้อสีแดง ออกไปชุมนุมกับคนเสื้อแดงเกือบทุกวัน พ่อแม่ผมด่าทอหัวเสียใส่คนที่วิจารณ์ทักษิณ

ผมอาย และไม่เข้าใจ กระทั่งเคยบอกกับพ่อแม่ไปว่า มันอะไรนักหนา ทักษิณไม่ใช่พ่อเราสักหน่อย ทำไมต้องมาทะเลาะกับคนข้างบ้านด้วย...

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกไป ผมรู้สึกเสียใจในทันที ผมทำร้ายความรู้สึกพ่อแม่ และลืมไปแล้วว่าอันที่จริง "คุณทักษิณ" มีบทบาทสำคัญที่คอยช่วยเหลือครอบครัวเราจากมาเฟียวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง (บ้านผมเปิดวินให้คนในชุมชนวิ่งฟรี ตัดเสื้อให้ฟรี ให้เขามีอาชีพ เลยไปทับเส้นแก๊งค์มาเฟียทหารจนกระทั่งพ่อกับพี่ชายโดนมือปืนรับจ้างจะมายิง)

บ้านเราน่าจะเป็นชนวนเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณทักษิณออกมาตรการควบคุมเรื่องนี้

ประกอบกับในช่วงนั้นมี FWD เมลล์โจมตีการชุมนุมของคนเสื้อแดงมากมาย ผมไม่เข้าใจ.... ว่าการชุมนุมของชาวบ้านธรรมดาๆ มันถูกบิดเบือนไปเป็นการชุมนุมของพวกขี้เหล้า ม๊อบรับจ้าง คนกักขฬะหยาบคายไปได้อย่างไร

ผมจึงเดินเข้าที่ชุมนุมด้วยใจแสวงหา ปรารถนาและหิวกระหายความจริง ความจริงที่เป็นยิ่งกว่าความจริงจากปากคนอื่น ยิ่งกว่าความจริงจากสื่อสารมวลชนไทย

ผมรู้สึกเจ็บปวดและสะเทือนใจเมื่อได้เห็นภาพความรุนแรงโหดร้ายที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษา ที่ผ่านมาผมเข้าร่วมชุมนุมบ้างประปราย และแค่เพียงฟังแกนนำบนเวทีผ่านๆ เวลาโดยส่วนใหญ่หมดไปกับการพูดคุยกับมวลชนที่เดินทางมา ถามไถ่ความเป็นมา และสภาพชีวิต เพื่อให้ตัวเองได้เข้าใจ และมุ่งหวังสื่อสารให้สังคมเข้าใจ ....

ผมเชื่อเหลือเกิน ว่าการต่อสู้ที่มีศักยภาพมากที่สุด คือ การทำให้คนรอบข้าง ที่เห็นต่างเกิดความเข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจ อย่างน้อยถ้าไม่ร่วมมาผลักดันกับเรา เขาก็จะไม่มากีดขวาง

ทุกเสาร์-อาทิตย์ ผมไปฝังตัวอยู่ในที่ชุมนุมแบบไป-กลับ เพราะบ้านใกล้ จนกระทั่งในช่วงที่เสธ.แดงโดนยิง ผมลาพักร้อนเข้าไปอยู่ที่นั่น ไม่ฟังคำทัดทานของพ่อแม่ พยายามออกมาหาอาหารและเอากลับเข้าไปแบ่งปันให้ผู้ชุมนุมที่เริ่มโดนตัดน้ำ ตัดอาหาร

ในวันที่เวทีเปิดเพลงนักสู้ธุลีดิน พร้อมประกาศว่าเสธ.แดงเสียชีวิตแล้ว ... เสียงเพลงที่หดหู่ โหยหวน ยังก้องอยู่ในความทรงจำผม มวลชนเกือบทั้งหมดร้องไห้ หวาดผวา เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เสธ.แดงเป็นปราการความมั่นคงทางจิตใจของมวลชนอย่างแท้จริง เมื่อปราการแตก...ความหวาดกลัว ระแวงระวัง และความเครียดเข้าปกคลุมการชุมนุมแทบจะในทันที

ในวันที่ 17-18 ผมฆ่าเวลาไปกับการเดินถ่ายรูป สัมภาษณ์ เก็บข้อมูล ตามหน้าด่านต่างๆ สามเหลี่ยมดินแดง สารสิน ปทุมวัน ราชปรารภ (เกือบโดนทหารยิงที่ราชปรารภ) ตั้งใจว่าคงอยู่ถึงแค่วันที่ 19 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการลาพักร้อนของผมพอดี

ตกกลางคืน ผมเริ่มจะนอนไม่หลับ เริ่มเครียดเมื่อได้เห็นมวลชนคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่ยอมถอย เห็นเด็กๆ ยังวิ่งเล่นไปมาในที่ชุมนุม เห็นท่าทีแกนนำที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป การหายตัวไปของการ์ดหน้าด่านต่างๆ

เครียดที่ได้รู้ รอบนี้เขาคงเอาจริงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

วันที่ 19 หลังจากที่ผมไม่ได้นอนมาตลอดคืน เพราะเริ่มจับสัญญานอะไรบางอย่าง รุ่งเช้าผมออกเดินอีกครั้ง จากวันที่ 17-18 ที่ผู้คนตกอยู่ในภาวะหวาดผวา หวาดกลัว มาในวันนี้ ผมได้เห็นบรรยากาศของการฮึดสู้อีกครั้ง หลายคนกอดคอกันร่ำไห้ หลายคนเอ่ยคำอำลากันด้วยรอยยิ้ม พร้อมแต่งตัว เตรียมพร้อมรับกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง

ช่วงสาย ทหารเริ่มเข้าสลายในฝั่งสารสินแล้ว ผมเดินไปได้ครึ่งทางก็ถูกไล่ให้ย้อนกลับมา เพราะเดินไปต่อไม่ได้อีก กลับมาบันทึกภาพหน้าเวที เสียงปืนใกล้เข้ามาทุกที มวลชนเกือบทุกคนตะโกนไล่ให้แกนนำหนีไป เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าอาจโดนจับตาย ส่วนพวกเขาเอง... ยังคงอยู่ที่นั่น รอคอยเพชรฆาตที่กำลังมาถึง

เริ่มมีคนเจ็บทะยอยมาแล้ว ผมเดินเข้ารังนกกระจอกในสตช.เพื่อเช็คข่าวคราวส่วนอื่นๆ ภาพที่เห็นคือนักข่าวไทยทะยอยเก็บกระเป๋ากลับบ้าน บ้างก็ออกไปภาคสนาม รังนกกระจอกแทบร้าง เพราะคนที่ออกไปพักกลับเข้ามาไม่ได้

ผมเดินออกมาที่โรงพยาบาลตำรวจอีกครั้ง รายชื่อผู้เสียชีวิตเริ่มทะยอยขึ้นกระดานแล้ว ส่วนใหญ่อยู่ในบัญชี เหลือง แดง และดำ.....

ขยะ ยางรถยนต์ และทุกสิ่งที่พอเผาให้เป็นควันเพื่ออำพรางสายตาได้ ถูกทะยอยขนออกไปจากที่ชุมนุม

แบตกล้่องผมหมดแล้ว ต้องเดินกลับเข้าไปเอากระเป๋า แบตกล้องสำรองและสัมภาระที่ทิ้งไว้ในรถที่วัด เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม

หลังจากผมเดินกลับเข้าวัดปทุมได้ไม่เท่าไหร่ ทันทีที่เสียงปืนใกล้เข้ามาทุกขณะ ปรากฎเสียงระเบิดกึกก้องบริเวณสีี่แยกราชประสงค์ ติดกันประมาณ 3-4 ครั้ง จากนั้นได้ยินเสียงคุณเต้นขอร้องให้มวลชนหลบเข้าวัดปทุม ให้สลายออกไปจากตรงนั้น ผมพยายามเดินฝ่ากลุ่มคนออกไป แต่ผู้่คนหลั่งใหลเข้าวัดเพิ่มขึ้นๆ ทุกที บ้างขับรถเข้า บ้างวิ่งตัวเปล่า

ผมกลับเข้ามาริมกำแพงด้านในอีกครั้ง จนกระทั่งมีพี่ที่รู้จักกันชวนปีนขึ้นสังเกตุการณ์บนหลังคาวัด ได้เห็นสภาพภายนอก ได้เห็นความเงียบงันจนน่าอึดอัดใจภายนอกกำแพงนั้น ระหว่างนั้นผมได้พบใครคนหนึ่ง ปีนต้นไม้สังเกตการณ์อยู่ภายในรั้ววัดเช่นกัน เป็นชายชาวบ้านธรรมดา ๆ คนหนึ่งคอยช่วยเหลือดูลาดเลาความปลอดภัยให้พวกผม เราพูดคุยกันเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะปีนลงมา

ข้างนอกเงียบแล้ว ส่วนภายในวัด ผู้คนอยู่กันหนาแน่น เดินกันขวักไขว่ ถามไถ่เรื่องเสียงระเบิดที่เกิดขึ้น สีหน้าเป็นกังวลกับเสียงปืนที่ใกล้เข้ามาทุกทีและจู่ๆ ก็เงียบหายไป

ผมยืนอยู่ริมกำแพงวัดด้านใน ไม่กี่อึดใจได้ยินเสียงรองเท้าคอมแบทวิ่งเข้ามาิีอีกฝั่งของกำแพง เสียงคนตะโกน "ข้างล่างรักษาระยะๆ ประชิดกำแพง" ดังมาจากเหนือหัว ผมเงยหน้าขึ้นทันได้เห็น สิ่งที่ผมแน่ใจว่าเป็นทหาร ชะโงกหน้าออกมาจากรางรถไฟฟ้า ... มันใกล้เสียจนผมต้องกลั้นหายใจ กลัวเสียงหายใจจะได้ยินไปกระทบหูเขา แค่เพียงไม่นาน เสียงปืนดังกึกก้อง กระสุนบินตัดผ่านร่มไม้ที่ผมยืนอยู่ ผู้คนวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง ผมกระโดดเข้าหลบในรถยนต์ที่เปิดประตูค้างไว้ กระสุนนัดหนึ่งเจาะทะลุพื้นบริเวณที่ผมยืนอยู่ ทิ้งร่องรอยน่าสยองขวัญไว้ ผมพยายามแนบตัวเข้ากับเบาะ ทำตัวให้แบนที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวาดเสียวว่าหากกดมุมต่ำแค่เพียงไม่กี่มิล กระสุนสักนัดคงเข้ามาทักทายอวัยวะในช่องท้องผม

จังหวะนั้น สัญญาน DTAC ถูกปล่อยเข้ามาในจังหวะที่ผมโดยยิง สายของแม่ เรียกเข้ามาและผมรับในทันทีโดยไม่ลังเล เพราะสัญญานโทรศัพท์หาได้ยากยิ่งในเวลานั้น

เสียงที่แม่ผมได้ยินจากปลายสาย เป็นเสียงปืน... แม่ผมช็อคและร้องไห้ ระล่ำระลักถาม ว่าผมอยู่ไหน พลันสัญญานก็ดับไป... แมร่งเหมือนกลั่นแกล้ง และคงไม่ต้องบรรยาย ว่าคนที่รอคอยความหวัง การมีชีวิตรอดของผมกลับบ้านจะรู้สึกยังไง...

ความเงียบกลับเข้าปกคลุมอีกครั้ง ... แค่เพียงอึดใจ มีคนตะโกนว่ามีคนโดนยิง พร้อมหามชายคนหนึ่งออกมาจากซอกด้านหลังศาลาที่ผมอยู่ และมีเสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งชุดบริเวณประตูทางออกด้านหน้าวัด

ผมหลบอยู่ในรถอย่างนั้น จนกระทั่งดึก เพราะจุดที่ผมอยู่ไม่แน่ใจเลยว่าเมื่อเดินออกมาแล้ว จะกลายเป็นเป้าได้โดยง่ายหรือไม่

ดึกคืนนั้น ผมนอนฟังเสียงปืนที่ยังคงลั่นเป็นระยะๆ อยู่ริมกำแพงนั้น .. ห่างไปไม่กี่เมตร ยังมีการฆ่าอย่างเลือดเย็น อยู่ข้างนอกนั่น

แช็ค ! ปัง! แช็ค ! ปัง!

ยังก้องในหัว ....

ดึกแล้ว ราวเที่ยงคืน ผมค่อยๆ ลอบออกมาจากรถ กลัวว่าความเคลื่อนไหวของตัวเองจะไปสะดุดสายตาใครเข้า เดินเลาะเข้าไปยังหมู่กุฏิพระ ภาพที่เห็นคือคนจำนวนมาก นอนกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น บางคนเท้าถลอกปอกเปิกเละเทะ บางคนนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น บ้างนั่งกอดกันขวัญผวา กลัวจะถูกตามเข้ามายิงในวัด

ผมเดินไปจนถึงสวนป่า เห็นคนนอนเรียงราย ผมช็อคที่ได้เห็นร่างคนตายวางแทรกอยู่ตรงกลางหมู่คนจำนวนมากนั้น แยกไม่ออกจนกระทั่งเข้าใกล้จึงได้รับรู้จากกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้ง หันไปอีกทางเจอท่านเจ้าอาวาสและพระอีกหลายรูปพยายามพูดปลอบขวัญญาติโยมที่ตื่นกลัว

ภาพที่ผมเห็นทั้งหมด....เหมือนหลุดออกมาจากหนังสงคราม ภาพไม่คาดคิดว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ที่นี่ เวลานี้

ผมเดินออกมาด้วยสมองและจิตใจที่ว่างเปล่าเงียบงัน มีคนดึงผมไปนอนที่ชานกุฎิท่านเจ้าอาวาส ในใกล้รุ่งเต็มทีแล้ว

ผมได้ที่นอนพอดีตัว ลงนอนตะแคง ที่ปลายเท้าของพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง และโดนเธอถีบหน้าทั้งคืน เข้าใจว่าคงนอนละเมอว่าวิ่งหนี เพราะได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นจากดวงตาที่ปิดสนิทคู่นั้น ....

ผมรู้ว่าตัวเอง "กลัว" แต่ไม่รู้ว่า กลัวแค่ไหน กระทั่งได้เห็นภาพถ่ายที่ตัวเองถ่ายมา ... มาห่วย สั่น และแสดงให้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีสติหลงเหลืออยู่เลย

วันนี้ ภาพทรงจำทั้งหมดของผม จะฉายวนย้อนมาอีกครั้ง... และผมจะกลับไปเอาสติผมคืนมาจากที่นั่น

ได้เวลาออกจากบ้านแล้ว ไว้ผมกลับมา จะขอโอกาสมาบอกเล่าใหม่

เจอกันที่ ทุ่งสังหารนะครับ ....
RE: ** เมื่อผมติดอยู่ในวัดปทุม ..... **
เช้าวันนี้ วันที่ 20 พ.ค. ของเมื่อ 3 ปีที่แล้ว .... หลังจากที่ต้องทนหดหู่นั่งมองพี่ที่ละเมอถีบหน้าผมทั้งคืน จนนอนไม่ได้ ผมได้แต่ลุกนั่งกอดเข่ามองเธอด้วยความห่วงใยและวิตกกังวล ทนจนถึงรุ่งเช้า ฟ้ายังสลัว ผมลุกขึ้นนั่งล้างหน้าล้างตา ออกเดินสำรวจ สติคืนมาอีกครั้งจากกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ นี่เรื่องจริง ไม่ใช่ฝัน มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ที่นี่... ใจกลางกรุงเทพมหานครทีี่ผมเกิดและเติบโตมา

วัดโดนล้อมไปด้วยกำลังทหาร ผู้ลี้ภัยทุกคนซุกตัวอำพรางอยู่ตามสวนป่าและแนวกำแพง ไม่มีใครกล้าเยื้องกรายเข้าใกล้ส่วนหน้าวัดที่เป็นที่เปิดโล่ง

เมื่อคืน ... คนหลายพันคนอยู่รวมตัวกันได้เงียบที่สุดจนน่าทึ่ง เด็กๆ ถูกพ่อแม่พยายามเอามือปิดปาก ปลอบโยนไม่ให้ร้องเสียงดัง ... มันเป็นคืนที่ผมหายใจและร้องไห้ได้เงียบที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา ... ทุกครั้งที่จะเริ่มผ่อนคลาย ก็จะมีเสียงปืนดังขึ้นให้กล้ามเนื้อได้เกร็งกระตุก ตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง

ข่าวลือ ข่าวจริง บินว่อนไปทั่วบริเวณวัด ... เพราะสภาพจิตใจแต่ละคน ตกต่ำสุดขีด ... ระเบิดลงตรงนั้น .... ทหารลากศพตรงนี้ ....

ตอนหัวค่ำ ชาวบ้านหลายคน ยืนยันว่าทหารเข้ามาในบริเวณวัด ทิ้งร่องรอยพานท้ายปืนกระแทกเข้าสีข้างรถเขา ยุบเป็นแนว

ชาวบ้านบางคน ตื่นกลัว หลบหนีออกทางชุมชนด้านหลังวัด ด้วยหวังว่าจะหาทางกลับบ้านได้ กลับถูกตัวหัวร้างข้างแตกกลับมา จนต้องเตือนกันว่าอย่างย่างกรายออกไปทางนั้น (ผมเพิ่งรู้จากเพื่อนที่แอบไปอาศัยบ้านชาวบ้านอยู่ เขาบอกไม่ได้เป็นฝีมือคนที่นั่น แต่มีชายฉกรรจ์แปลกหน้าเข้ามาดักอยู่ในชุมชน เจ้าของบ้านที่มันอาศัยเลยต้องให้มันซ่อนอยู่ในห้องนอนเขา กลัวมันจะโดนทำร้าย)

เวลานั้น......เราเหมือนหนีเสือ ปะ จระเข้ .... จนด้วยหนทาง

รุ่งเช้า ที่กลางสวนป่านั้น ท่ามกลางหมู่ผู้คนที่ลุกขึ้นนั่งเตรียมพร้อม .... 6 คนนั้นยังคงนอนอยู่อย่างนั้น แน่นิ่ง ไม่ไหวติง ห่มกันหนาวด้วยเสื่อคนละผืน พร้อมกระเป๋าสัมภาระที่วางกองไว้เหนือหัวของแต่ละคน ...

ผมกลัว... กลัวจนลืม ว่าตัวเองเข้ามาทำอะไร ไม่กล้าเข้าไปเก็บบันทึกภาพอย่างที่ตั้งใจ ไม่อยากรับรู้ว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือใคร หน้าตาเป็นอย่างไร มีร่องรอยจากการถูกกระทำรุนแรงแค่ไหน

จนกระทั่ง 7 โมงเช้า ตำรวจมาประกาศให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนย้ายออกจากวัด ไม่มีใครกล้าออก เพราะในขณะที่ตำรวจประกาศอยู่ในแนวราบนั้น ทหารยังคงยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้าเหนือขึ้นไป มือยังกำปืนอยู่แน่น อึดใจใหญ่ ชาวบ้านบางคนเริ่มทะยอยออกไปมองดู และต้องวิ่งกรูกลับเข้ามาอีกครั้ง เพราะมีเสียงปืนดังขึ้นอีก 2 นัดบริเวณหน้าวัด ทุกอย่างนิ่งงัน... เราเริ่มหมดหวังว่าจะได้กลับบ้าน ...

สัญญาน DTAC ถูกปล่อยอีกครั้ง พ่อและแม่ของผม คงไม่ได้นอนทั้งคืน เพียรพยายามเฝ้าติดต่อ เมื่อได้รู้ว่าปลอดภัย ก็โล่งใจ พยายามติดต่อให้คนเข้ามาช่วย ผมได้แต่ปลอบใจพวกเขา ว่าไม่เป็นไร.... สุดท้ายแล้ว ผมมีใบผ่านที่น่าเชื่อได้ว่าคงจะหาโอกาสหลุดรอดออกไป (ตอนนั้นยังไม่รู้ตัว ว่ามีนักข่าวถูกยิงไปหลายคนแล้ว ---- ถ้าได้รู้ ผมคงหมดหวัง Emoticon_013_Rabbit)

กระทั่งร่วม 10 โมง หลังจากตำรวจใช้ความพยายามอีกครั้งที่จะพาเราออกจากวัด มวลชนเกิดมีปากเสียงกัน ฝ่ายหนึ่งเข็ด ขยาด จากความโหดร้่ายของเจ้าหน้าที่ อีกฝ่ายอยากออกไปจากที่นั่น ด้วยกลัวว่าทหารจะเข้ามาซ้ำในวัด

ต่างฝ่ายต่างถกเถียงกัน เพราะห่วงใยซึ่งกันและกัน จนสุดท้าย เวลาบีบคั้น ตำรวจดูมีทีท่าว่ามีเวลาจำกัด ผมได้ยินพวกเขาพูดว่า ต้องทำยังไงก็ได้ พยายามพามวลชนออกไปจากที่นี่ (วัด) ก่อนเย็น พวกเขาเองก็ไม่ปลอดภัย จะทำอะไรให้รีบทำ .... ผมตระหนักขึ้นมาทันที ว่าตำรวจเองก็ "คน" และพวกเขาเองก็ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของตัวเองเช่นกัน ผมเลยพยายามไปหว่านล้อมให้พี่น้องรีบออกมา

ชุดน้ำหวาน (ตำรวจสาว) ถูกส่งเข้ามาเกลี้ยกล่อมคนในสวนป่า จากนั้นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้เข้ามาพูดคุยและเดินนำพวกเราออกไปส่วนหน้าของวัดด้วยต​ัวเอง พร้อมทั้งให้ตำรวจจำนวนหลายร้อยนาย ยืนตั้งแถวเป็นซ้าย-ขวาเหมือนสะพาน เชื่อมทางออกจากสวนป่าปลายทางไปหยุดที่ลานหน้าสตช.

ก่อนออกไปถึงหน้าประตู ทหารยังคงยืนจ้องจากบนรางรถไฟ ชาวบ้านชะงัก และถอยหลังจะกลับทันที จนกระทั่ง นายตำรวจคนหนึ่ง (ผมจำไม่ได้ว่าเป็นผู้การแต้ม หรือใคร) ตะโกนบอกว่า "เห้ย ไอ้น้อง ถ้ามึงยังยืนอยู่อย่างนี้ ชาวบ้านจะกล้าเดินออกได้ยังไง" และให้หน่วยอรินทราช มายืนถือปืนเตรียมพร้อม ยืนจ้องขึ้นไปด้านบน ทหารชุดนั้นจึงถอยร่นหายไป แต่ยังคงยืนส่องสังเกตุการณ์จากด้านบน ในระยะห่างๆ

ที่สตช. ผมกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง ... ได้พบพี่ตำรวจคนหนึ่ง แกยืนร้องไห้สะอื้นอยู่กับถังหนึ่งใบ ที่บรรจุของชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่ชาวบ้านพกพาไว้ป้องกันตัว เช่น มีดปอกผลไม้อันเล็กๆ ไม้แหลม มีดพับ ผมเดินเข้าไปหา แกชี้หน้า เรียกผมเข้าไปดู แล้วพูดว่า "นี่ไอ้น้อง ... มาถ่ายไว้เลย ดูดิ๊ชาวบ้านเขามีอะไรที่ไหน เป็นสื่อหัดให้ความเป็นธรรมชาวบ้านหน่อยสิ ไม่เห็นหรือไง ว่าพวกเขาโดนทำขนาดไหน"

ผมก้มหน้า รับรู้ และไม่กล้าบอก ว่าผมเองก็เพิ่งถูกยิงใส่มา

ผมเพิ่งได้รู้จากตำรวจที่นั่น ว่าชุดตชด. ที่ถูกเกณฑ์มา ต้องเดินเท้าเข้ามาจากแยกอังรีดูนังค์ และตำรวจทั้งหมดที่อยู่ที่นั่น ถูกแบ่งเป็น 3 แบบ คือ
- อรินทราชจะไ้้ด้พกอาวุธ พร้อมกระสุนจำนวนจำกัด
- ตำรวจที่ประจำอยู่ สตช. ให้มีอาวุธ แต่ไม่ให้มีเครื่องกระสุน
- ตชด. ให้เข้ามาตัวเปล่า ห้ามพกอาวุธเด็ดขาด

และทั้งหมดถูกจำกัดอาหาร .... (ข้อเท็จจริงผมไม่ทราบแน่ชัด - ต้องถามผู้รู้).
.
ชาวบ้านถูกแยก จำแนกตามจังหวัด ส่วนไหนเอารถออกได้ ก็ให้กลับเข้ามาเอารถที่วัดออกไป ส่วนใหญ่ไม่ยอมทิ้งไว้ กลัวโดนยัด"ของ"

ขบวนผู้ลี้ภัย ออกจากสตช.และวัดปทุม ลัดเข้าไปทางจุฬา-สยาม-มาบุญครอง และมุ่งหน้าออกไปที่สนามกีฬาแห่งชาติ

ที่นั่นมีด่านทหาร ตรวจเช็คบัตรประชาชน ค้นรถ ทำประวัติ

เราแพ้อีกครั้ง อย่างเจ็บปวดและขมขื่น .... ทหารเข้ารื้อค้นรถและยึดทุกสิ่งที่อยากยึด หยามเกียรติและทำลายความรู้สึกอย่างถึงที่สุด

ทุกสิ่งที่มีสีแดง ... ถูกยึดเอามากองรวมกัน มีรถคันหนึ่งถูกยึดมาม่ากล่องและข้าวสารแบบกระสอบ ผมถามทหารว่าไปยึดของเขาทำไม ทหารทำหน้ายียวนแล้วมองผมด้วยหางตา "ก็ไปโขมยเขามา มึงยังมีหน้ามาหวงอะไร"

ผมฟิวส์ขาดตอบกลับไป "โขมยพ่อมึงสิ !! ราชประสงค์มีร้านไหนขายมาม่าเป็นกล่อง ขายข้าวเป็นกระสอบมั่ง ดูก็รู้ว่าเขาขนมาจากบ้าน นายมึงเลี้ยงอดอยากขนาดนี้เลยเหรอ ถึงได้มาแย่งของชาวบ้านเขา" ทันใดทหารที่ค้นรถคันอื่นๆ ก็หันมาจะรุมผม .... พอเห็นผมไม่ยอมจริงๆ ก็แยกออกไป

ที่แย่ยิ่งกว่า คือ มีคนของหมอตุลย์มาตรวจค้นพวกเรา มีสิทธิอะไร มีหน้าที่ตรงไหน ค้นไปหัวเราะคิกคักไป ด่าไป พูดเหน็บแนมสมน้ำหน้าไป

ผมถามหน่อยเถอะคับ เอาคนเกลียดกัน มาค้นตัวกัน คุณคิดว่าเขาจะได้อะไรกลับไป และคนที่ถูกค้นจะรู้สึกยังไง.....

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar