måndag 10 september 2012

เปิดหน้ากากการโกหกของพรรคประชาธิปัตย์ เกี่ยวกับชายชุดดำที่หาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ไม่ได้ต่างไปจากกรณี "อากง "


ภาพที่ศอฉ.นำมาเป็นหลักฐานจับกุมขังคุกชายชุดดำนานหลายเดือน


ชุดดำ? - นายมานพ ชาญช่างทอง ที่ถูกกล่าวหาเป็นชายชุดดำก่อการร้าย ในเหตุการณ์เสื้อแดง ชุมนุมเดือนพ.ค.2553 ปัจจุบันยังคงขับซาเล้งเก็บของเก่าขาย และอาศัยอยู่บ้านเพิงไม้ ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี

ที่มา
ข่าวสด เมื่อ 7 ก.ย. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" เดินทางไปพบนายมานพ ชาญช่างทอง คนเก็บของเก่าขาย ซึ่งเป็นบุคคลในภาพที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าเป็นชายชุดดำ โดยพบว่านายมานพพักอาศัยอยู่ที่บ้านใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี กับภรรยาและลูกๆ รวม 4 คน ภายในบ้านโทรมๆ ที่ปลูกขึ้นเอง ด้วยไม้เก่าแผ่นป้ายโฆษณา มาทำเป็นฝาบ้าน และสังกะสีเก่าๆ ที่เก็บได้มามุงหลังคา นอกจากนี้ ยังเลี้ยงเป็ดและปลูกผักไว้กินเอง และชาวบ้านใกล้เคียงส่วนใหญ่สงสารครอบครัวนายมานพ มักจะนำอาหารและขนมมาให้เป็นประจำ

นายมานพกล่าวว่าไปร่วมชุมนุมกับ นปช. ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.2553 เนื่องจากเห็นว่าประชาชนถูกกลุ่มอำมาตย์ปล้นประชาธิปไตยไป จึงต้องการไปทวงคืนกลับมา ทำหน้าที่เป็นการ์ดอาสาช่วยดูแลความปลอดภัยให้พี่น้องเสื้อแดงที่มาชุมนุม เข้าเวรยามช่วงเที่ยงคืนถึงเช้า อีกทั้งทุกๆ วัน จะมีหน้าที่ซื้อหนังสือพิมพ์ให้แกนนำ เวลาที่เหลือก็จะเดินเก็บขวดน้ำ กระป๋องน้ำอัดลมในพื้นที่ชุมนุม เพื่อนำไปขายหารายได้ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 สถานการณ์ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศเริ่มตึงเครียด มีเฮลิคอปเตอร์โปรยใบปลิว และโยนแก๊สน้ำตาลงมา พอช่วงเย็นก็เริ่มมีเสียงปืนดังขึ้น


ซาเล้งเก็บของเก่ากล่าวต่อ ว่า ขณะนั้นทราบมาว่ามีกำลังทหารนำรถถังและรถหุ้มเกราะมาปิดล้อมพื้นที่ด้าน โรงเรียนสตรีวิทยา และแยกคอกวัว แกนนำประกาศบนเวทีขอกำลัง 5,000 คน ไปช่วยผู้ชุมนุมที่คอกวัว จึงเดินทางไปช่วย และใช้เวลาเดินทางนานมาก เนื่องจากทหารปิดถนนหลายสาย ไปถึงเที่ยงคืนกว่า และเสียงปืนก็เงียบลง เห็นกลุ่มทหารกว่า 30 นาย พร้อมอาวุธปืน ตกอยู่ในวงล้อมของผู้ชุมนุมที่บริเวณโรงเรียนสตรีวิทยา เห็นท่าไม่ดีจึงประสานกับทางแกนนำว่าจะเอาอย่างไรกับทหารกลุ่มนี้ หากปล่อยไว้คงจะอันตราย

นายมานพกล่าวว่า จากนั้นก็เข้าไปพูดกับนายทหารผู้คุมกำลัง เพื่อขอปลดอาวุธทั้งหมด และจะพาออกไปอย่างปลอดภัย ทหารก็ยอม จึงเข้าไปปลดอาวุธ เป็นปืนทาโวร์ 4 กระบอก และเอ็ม 16 ก่อนจะนำปืนไปมอบให้แกนนำที่เวทีผ่านฟ้าฯ ระหว่างที่นําปืนออกมาก็มีช่างภาพหลายคนเข้ามาถ่ายรูป ขณะลำเลียงปืนไปที่เวที จนกระทั่งถูกกล่าวหาเป็นชายชุดดำ และจำเลยคดีก่อการร้าย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะถือปืนหลายกระบอกมายิงกับทหาร และก็ยิงปืนไม่เป็น ไม่เคยเป็นทหาร จึงขอความเป็นธรรมด้วย

"ในวัน เกิดเหตุ ผมใส่เสื้อดำ และสวมไอ้โม่งดำจริง เพราะเห็นคนอื่นใส่เท่ดี จึงใส่บ้างไม่ได้คิดร้ายอะไร และที่ใส่ถุงมือก็เพื่อไว้จับกระป๋องแก๊สน้ำตาที่ทหารโยนใส่ผู้ชุมนุมเท่า นั้น อีกทั้งไอ้โม่งดำคลุมหัว ก็เพราะเป็นคนหัวล้าน หากรู้มาก่อนว่าใส่ไม่ได้ก็คงไม่ทำ" นายมานพ กล่าว

นายมานพกล่าวอีก ว่า ส่วนวันที่ 19 พ.ค.2553 สถานการณ์ตึงเครียดทั้งวัน หลังแกนนำประกาศบนเวทียุติการชุมนุม และให้ผู้ชุมนุมไปหลบภายในวัดปทุมฯ ตนก็เข้าไปหลบอยู่ด้านในวัด ไม่ได้ออกมา แต่ได้ยินแต่เสียงปืนดังอยู่ด้านนอก และในวัดขณะนั้นก็มีคนถูกยิงบาดเจ็บและตายหลายสิบราย จนกระทั่งเช้าวันที่ 20 พ.ค.2553 ตำรวจนำกำลังเข้ามาช่วยพาตัวผู้ชุมนุมทั้งหมดออกจากวัดและพากลับบ้าน จากนั้นก็กลับที่พักย่านบางบัวทอง ไม่ได้หนีไปไหน และยังคงขับซาเล้งเก็บขวดกระดาษเหมือนเดิม

"หลังจากอยู่บ้านได้ 2 เดือน ก็มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอกว่า 30 คน นำหมายจับคดีก่อการร้าย มาบุกจับผมถึงบ้าน นำตัวมาแถลงข่าว โดยจับตามภาพถ่ายขณะที่ผมสวมไอ้โม่ง และสะพายปืน ถูกข้อหาบุกโรงแรมเอสซีปาร์ค ทั้งๆ ที่ไปโรงแรมยังไม่ถูกเลย ผมพยายามอธิบายแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ลองคิดดูหากเป็นชายชุดดำ หรือผู้ก่อการร้ายจริง ผมจะมานั่งเก็บขยะอยู่แบบนี้หรือ หลังถูกจับก็ต้องอยู่ในคุกนานหลายเดือน จนกระทั่งมีผู้ใหญ่นำเงิน 600,000 บาท มาช่วยประกันตัวออกมา ทุกวันนี้ผมก็ยังเก็บขยะขาย รายได้เฉลี่ย 2-3 วัน ประมาณ 300 บาท" นายมานพกล่าว

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar