fredag 14 september 2012

สุขภาพของกษัตริย์ภูมิพลกับบริบทการเปลี่ยนแปลง



สุขภาพของกษัตริย์ภูมิพลกับบริบทการเปลี่ยนแปลง

โดย กลุ่มเสียงประชาชนไทย

                 ในวาระครบ 6 ปีของการรัฐประหารนับแต่ 19 กันยา 2549 ได้เกิดภาวะตาสว่างของประชาชนไทยและชาวโลกแล้วว่าเนื้อแท้ของระบอบการปกครองไทยคือระบอบราชาธิปไตย ส่วนที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนนั้นเป็นเพียงรูปแบบประชาธิปไตยที่หลอกลวงชาวโลกแต่เนื้อหาที่แท้จริงคือระบอบเผด็จการของพระราชาที่อำนาจทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม รวมศูนย์อยู่ที่ตัวพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมจึงมีการรัฐประหารบ่อยครั้งและทุกครั้งก็จะได้รับการรับรองความถูกต้องจากกษัตริย์ภูมิพล ทั้งนี้ก็เพื่อให้ระบอบอำนาจของประชาชนไม่อาจจะเติบโตได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรัฐประหารล่าสุดได้เปิดโปงระบอบราชาธิปไตยของไทยอย่างชัดแจ้ง  ดังจะเห็นได้จากตัวประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม และองคมนตรี พล.อ.สุรยุทธ  รวมทั้งประธานศาลฎีกา และประธานศาลปกครอง  ซึ้งเป็นอำนาจสายตรงและใกล้ชิดกษัตริย์เป็นผู้นำการรัฐประหารเอง  ทั้งนี้เป็นผลมาจากความลำพองใจที่ถือครองอำนาจมายาวนานโดยไม่มีอำนาจใดมาทัดทานประกอบกับเกิดความขัดแย้งในการสืบทอดรัชกาลที่ไม่ลงตัวของรัชกาลที่ 10 จึงทำให้การรัฐประหาร 19 กันยา 2549 และการสืบทอดอำนาจเป็นไปอย่างประเจิดประเจ้อ โดย พล.อ.เปรม นำคณะออกมายึดอำนาจเองและทำการอย่างไม่เกรงใจต่อสายตาคนไทยและชาวโลกด้วยการยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินรวมถึงกล้าที่จะฆ่าประชาชนกลางเมืองหลวง  เพียงเพื่อที่จะรักษาอำนาจเผด็จการของตนไว้  และด้วยเหตุนี้ความเจ็บป่วยของกษัตริย์และราชินี  ในภาวะที่ชราภาพจึงเป็นบริบทสำคัญของการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐตัวจริงซึ่งเป็นที่จับจ้องของนานาชาติ

                 การไม่ออกมาปรากฏตัวต่อสาธารณะชนของกษัตริย์และราชินีที่นานกว่า 3 เดือน จึงถูกจับตาของคนไทยและนานาชาติ ว่าบุคคลทั้งสองกำลังเจ็บป่วยอย่างหนักและอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตหรือทุพลภาพจนไม่อาจจะปฏิบัติการควบคุมอำนาจได้ต่อไป  ประเทศไทยในเวลาครบรอบ 6 ปี ของการรัฐประหารจึงกลายเป็นประเทศข่าวลือ และความไม่มีเสถียรภาพ
                 ขณะนี้คนไทยกำลังจับจ้องข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี แต่มิใช่ให้ความสนใจว่าใครจะได้เป็นหรือไม่ได้เป็นรัฐมนตรีแต่สนใจว่าสุขภาพของกษัตริย์อยู่ในขั้นใด  เพราะเมื่อปรับ ครม.แล้วโดยพิธีการกษัตริย์จะต้องแสดงตัวทางโทรทัศน์ในการรับคำปฏิญาณตนของ ครม. ใหม่และจะต้องกล่าวให้โอวาทซึ่งขณะนี้พิธีการต่างๆที่ราชสำนักสร้างขึ้นโดยให้การแต่งตั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ระดับสูงต้องเข้าสู่พิธีกรรมที่ให้กษัตริย์ภูมิพลแสดงตัวเพื่อแสดงถึงอำนาจสูงสุดของกษัตริย์ได้ถูกยกเลิกไปเกือบหมดแล้ว อาทิเช่น การใช้คฑาแตะบ่าผู้ที่ได้รับโปรดเกล้าให้เป็นนายพลใหม่ ปัจจุบันก็ไม่มีให้เห็นแล้ว  ท่ามกลางข่าวลือว่ากษัตริย์ป่วยหนักก็เกิดกระแสข่าวจากบริวารว่าสุขภาพของท่านแข็งแรงดีเป็นการสวนกระแสมาตลอดแต่กษัตริย์และราชินีกลับไม่แสดงตัวทั้งๆที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบุคคลทั้งสองก็ชอบแสดงตัวต่อสาธารณะและทำท่าว่าแข็งแรงในสภาพที่เดินไม่ได้มาโดยตลอด  และยิ่งในระยะหลังพระราชพิธีที่สำคัญก็ไม่ปรากฏตัวทั้งสามีและภรรยาโดยเฉพาะในงานวันเกิดของราชินีซึ่งมีข่าวจะเสด็จออกทั้งสองพระองค์แต่ก็ไม่เป็นจริง
                 หากเราจะศึกษาประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการและมีอำนาจรวมศูนย์อยู่ที่ตัวผู้นำสูงสุดตลอดกาลโดยไม่มีวาระของการออกจากตำแหน่งนอกจากความตาย  ซึ่งในโลกนี้ก็เหลือน้อยเต็มทีซึ่งล่าสุดคือประเทศเกาหลีเหนือ  เราก็จะพบความจริงว่าความเจ็บป่วยและความตาย ของผู้นำ คิม จอง อิล เป็นความลับสุดยอดแม้กระทั่งเวลาที่เสียชีวิต  จากข้อเท็จจริงที่สรุปได้จากสำนักข่าวกรองของเกาหลีใต้ที่มอร์นิเตอร์จอโทรทัศน์เกาหลีเหนือตลอดเวลาและจากการสืบสภาพการเคลื่อนไหวของชนชั้นนำของเกาหลีเหนือ 24 ชั่วโมงก็ได้พบความจริงว่า วันเวลาที่ประกาศการเสียชีวิตของ นาย คิม จอง อิล ผู้นำเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการทางโทรทัศน์เมื่อเวลา 12.00น. ของวันที่ 19  ธันวาคม 2554นั้นไม่ตรงกับความเป็นจริงโดยยืนยันว่า นาย คิม จอง อิล ได้เสียชีวิตก่อนหน้านั้นแล้ว 51 ชั่วโมง เพราะอย่างน้อยที่สุดก่อนจะมีการประกาศข่าวทางโทรทัศน์ในเวลา 12.00น. นั้น ในเวลา 10.00น. ของวันเดียวกันนั้นก็มีการประกาศว่าจะมีการประกาศข่าวพิเศษในเวลา 12.00น. และแหล่งข่าวหลายสำนักทั้งของเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาที่จับจ้องเกาหลีเหนือผ่านดาวเทียมก็ไม่พบการเคลื่อนขบวนรถไฟพิเศษของ นาย คิม จอง อิล ที่อ้างว่าเสียชีวิตบนรถไฟขณะไปตรวจงานเพราะขบวนรถไฟพิเศษของเขานั้นมีตู้โบกี้ที่เปรียบเสมือนโรงพยาบาลเคลื่อนที่มากถึง 20 ตู้และหากนาย คิม สิ้นใจบนรถไฟจริงก็จะต้องมีการระดมคณะแพทย์และควรจะต้องหยุดรถไฟเพื่อทำการรักษาพยาบาลอย่างสุดความสามารถของแพทย์  ซึ่งไม่อาจปกปิดความลับได้นานถึง 50 ชั่วโมง จึงมีข้อสรุปว่านาย คิม ได้นอนป่วยและสิ้นชีวิตในที่พัก  แต่การปล่อยข่าวว่าสิ้นชีวิตบนรถไฟก็เพื่อสร้างภาพให้เห็นถึงความเสียสละสูงสุดของท่านผู้นำว่าเป็นการตายในขณะปฏิบัติหน้าที่และเวลาที่ทอดยาวไปนานถึง 51 ชั่วโมงก่อนการประกาศอย่างเป็นทางการนั้นก็เป็นการเตรียมการเพื่อโฆษณาชวนเชื่อและเตรียมการของผู้สืบทอดอำนาจ
                 เกี่ยวกับเวลาการเสียชีวิตจริงของนาย คิม หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ จุงอัง อ้างแหล่งข่าวในกรุงปักกิ่งว่าเอกอัคราชฑูตจีนประจำกรุงเปียงยางซึ่งเป็นประเทศมหามิตรของเกาหลีเหนือได้ทราบเวลาการเสียชีวิตของนาย คิม ที่ใกล้เวลาจริงที่สุดและจากการตายของนาย คิม นี้เกิดผลกระทบถึง นายวอน เซ ฮุน ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองของเกาหลีใต้ที่ไม่สามารถจะรู้ความจริงการเสียชีวิตของนาย คิม ได้ก่อนที่จะมีการประกาศทางโทรทัศน์อย่างเป็นทางการ ทำให้การเตรียมการป้องกันการโจมตีของเกาหลีเหนือที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผลัดแผ่นดินไม่ทันการ
                 ความสำคัญของการเปลี่ยนอำนาจจากการตายของผู้นำเกาหลีเหนือก็ไม่ต่างอะไรจากการเปลี่ยนอำนาจอันจะเกิดจากการตายของกษัตริย์ไทยในขณะนี้ที่มีกฎหมายเผด็จการปกปิดความจริงทุกอย่างของราชสำนักแม้ประเทศไทยดูเหมือนจะมีเสรีภาพทางข่าวสารมากกว่าก็ตามแต่ความสามารถในการใช้อำนาจเผด็จการของไทยมีลักษณะหลอกลวงด้วยรูปแบบที่ดีกว่าแต่เนื้อแท้เหมือนกันทั้งนักวิชาการ นักข่าวในไทย ต่างหวาดกลัวกันหมดที่จะพูดถึงความจริง
                 ดังนั้นสถานการณ์ทางการเมืองไทยในวาระครบ 6 ปีของการรัฐประหารจึงเกิดภาวะตาสว่างว่าการผลัดเปลี่ยนอำนาจตัวจริงน่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้  ภาวะความเงียบสงัดในขณะนี้น่าจะเป็นภาวะเป็นความหวังสุดท้ายที่จะคงอำนาจเผด็จการตามความประสงค์ของกษัตริย์ภูมิพลจากการรักษาพญาบาลครั้งใหญ่และเป็นการเตรียมการจัดฉากสร้างภาพและผ่องถ่ายอำนาจให้แก่รัชการที่ 10 ที่ไม่เป็นไปตามกฎมนเฑียรบาลเพื่อจะให้แก่ผู้หญิงด้วยการสนับสนุนของ พล.อ.เปรม และบริวาร  แต่จากอำนาจของวังที่ขัดแย้งรุนแรงและความเจ็บป่วยหนักนี้ก็มีเหตุผลมากว่าการเตรียมการยึดอำนาจมา 6 ปี เพื่อการขึ้นครองบัลลังก์ของสตรีตามแผนการที่วางไว้น่าจะสายไปเสียแล้ว แต่หากจะกระทำการฝ่าฝืนความจริงก็จะเกิดความรุนแรงและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างอย่างแน่นอน
..........................................................

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar