โดย Sealand
1. ต้นเหตุของความขัดแย้ง : ความไม่ราบรื่นในการเปลี่ยนผ่าน
2. พัฒนาการของความขัดแย้ง : ความสุดขั้วของสองฝ่าย
3. อนาคตที่จะต้องเผชิญ : สงครามภายใน 2 ครั้งใหญ่
4. ทางออก : ร่วมกันเปลี่ยนผ่านไปสู่รัชสมัยใหม่ด้วยรูปแบบที่เป็นสากล
................เพื่อกระชับพื้นที่แนวปะทะขยายแนวร่วม
5. บทสรุป : ไม่มีวันที่สังคมไทยจะกลับไปเหมือนเดิม
บทวิเคราะห์: โดย แสงจันทร
ขออภัยคุณ Sealand ที่ไม่ได้เอาบทความของคุณลงทั้งหมด
๑. ต้นเหตุของความขัดแย้ง-ความไม่ราบรื่นในการเปลี่ยนผ่าน
- เหตุการณ์ก่อนรัฐประหาร ความนิยมในสถาบันกษัตริย์ตกต่ำลงมากในสังคมไทย สถาบันไม่ได้รับความนิยมเหมือนในอดีตที่ผ่านมาที่ประชาชนไม่กล้าแตะต้องเหมือนเทพเจ้า
-การทำรัฐประหาร ๑๙ ก.ย.๒๕๔๙ อำมาตย์คาดการณ์ผิดคิดว่าจะง่ายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ทางวังต้องการมีรัฐบาลที่ควบคุมได้ทำงานภายใต้คำสั่งของอำมาตย์เท่านั้น.
-ในช่วงการบริหารประเทศของรัฐบาลทักษิณ ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีสิทธิเสรีภาพในการอยู่ร่วมกันในสังคมมาตรฐาณเดียวกัน ไม่สองมาตรฐาณเหมือนสังคมภายใต้รัฐบาลของอำมาตย์เผด็จการ
-เรื่องราวความจริงต่างๆที่ถูกปกปิดมายาวนานเกี่ยวกับครอบครัวกษัตริย์ได้ถูกประชาชนนำมาเปิดเผยทำให้คนในสังคมรู้ความจริงตาสว่างมากขึ้น
๒. พัฒนาการของความขัดแย้ง : ความสุดขั้วของสองฝ่าย
-ถึงท่านผู้ต่อสู้เพื่อความถูกต้องเพื่อประชาธิปไตยและผู้รักความยุติธรรมทั้งหลายจงก้าวข้ามผ่านเรื่อง "การเลือกฝ่ายเลือกขั้ว" "การเปลี่ยนผ่าน" อย่าให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องขัดขวางเวลาในการต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง.
๓.อนาคตที่จะต้องเผชิญ : สงครามภายใน 2 ครั้งใหญ่
-สงครามแย่งอำนาจของชนชั้นสูง ไม่ใช่เรื่องของประชาชนจะไปเกี่ยวข้อง มันเป็นคนละเรื่องกับการต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตย จากอดีตจนถึงปัจจุบันการต่อสู้ไม่มีวันสิ้นสุด กระแสคลื่นการสู้ของมวลมนุษย์ชาติต้องมีการพัฒนาไปข้างหน้าไม่มีวันหมุนกลับเปรียบเหมือนกระแสน้ำ ขอให้ประชาชนมีจิตใจที่เข้มแข็งมุ่งมั่นแน่วแน่ในการต่อสู้ ไม่มีอำนาจใดจะมาต้านทานอำนาจความต้องการของประชาชนได้.
๔.ทางออก : ร่วมกันเปลี่ยนผ่านไปสู่รัชสมัยใหม่ด้วยรูปแบบที่เป็นสากล
................เพื่อกระชับพื้นที่แนวปะทะขยายแนวร่วม
-ทางออก : เวลานี้โอกาสทองมาถึงแล้ว ประชาชนทั้งประเทศ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ ทุกหมู่เหล่า
มีโอกาสช่วยกันตัดสินใจ เลือกเอาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์หรือไม่มีกษัตริย์เป็นประมุข ตัวอย่างของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกที่มีกษัตริย์เป็นสัญญาลักษณ์มีเหลืออยู่ไม่กี่ประเทศและกษัตริย์ของประเทศเหล่านั้นต้องปรับตัวอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญของประเทศซึ่งมาจากประชาชน.
๕.บทสรุป : ไม่มีวันที่สังคมไทยจะกลับไปเหมือนเดิม
(หมายเหตุ- ขอนำข้อเขียนตอนที่ ๕ ทั้งหมดของSealand มาลงให้อ่าน....ก่อนอ่านบทวิเคราะห์ )
สังคมไทยจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว
เหตุเพราะการรับรู้ของสังคมนั้นไปไกลและลึกซึ้งถึงต้นตอของปัญหาที่แท้จริง ผ่านการสื่อสารไร้พรหมแดนในยุคโลกาภิวัฒน์ ดังนั้น การดึงดันมุ่งแต่จะรักษาอำนาจและผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มเฉพาะตน ย่อมนำไปสู่หายนะที่ไม่อาจเรียกกลับมาเหมือนเดิมได้อีก สิ่งที่ควรทำที่สุดคือ “การเปลี่ยนแปลง” ไปสู่สิ่งที่เป็นสากล แต่จะมีวิธีการใดที่จะสามารถทำให้การเปลี่ยนแปลงอย่างที่ว่านี้ เป็นไปได้อย่างนุ่มนวลที่สุด จำกัดวงการเผชิญหน้าให้เหลือแคบที่สุด เพื่อลดความสูญเสียที่ไม่อาจประเมินได้นี้ให้ลดลงเหลือน้อยที่สุด
การระดมความคิดเห็นอย่างเปิดกว้างและจริงจังเท่านั้น จึงจะทำให้สังคมไทยเผชิญวิกฤติปัญหาได้อย่างเท่าทัน
การจมจ่อมอยู่แต่กับอดีตและปัจจุบัน อาจจะทำให้เรามืดบอดต่ออนาคตที่เปิดรอท่าเราอยู่ก็เป็นได้
บารมีของทักษิณที่ใช้ตัวแทนผ่านในระบบบรัฐสภา
เป็น "บารมีในระบบ" ที่ทั้งถูกต้องและชอบธรรม
แต่เป็นอุปสรรคที่อำนาจของชนชั้นสูงกำจัดได้อยากที่สุด
เพราะทั้งการรัฐประหารและการใช้กระบวนการทางศาลนั้น
เป็นเรื่องที่โจ่งแจ้งเกินไปในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั้งสองกรณีจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นอีก
และการไม่ปล่อยให้มีสภาในสภาพปกติ
คือวิธีการ "กำจัดอำนาจในระบบของทักษิณ" ได้อย่างทรงประสิทธิภาพที่สุด
เพราะไม่ว่าจะเป็นอำนาจในรูปแบบของ "รัฐบาล หรือ ฝ่ายค้าน"
ต่างก็เป็นอุปสรรคต่อทิศทางการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยที่กำลังจะเกิดขึ้น
ดังนั้น การไม่ปล่อยโอกาสให้มีสภาปกติได้
ในท่ามกลางของสถานการณ์ในปัจจุบันนี้มีอยู่ทางเดียวที่เอื้ออำนวยมากที่สุด
คือ "ยับยั้งกระบวนการที่จะทำให้เกิดสภาปกติด้วยวิธีพิเศษ"
ซึ่งจะต้องมี "สถานการณ์พิเศษ" เพื่อให้มีเหตุผลรองรับในการกำเนิด "รัฐบาลพิเศษ"
และ “การแตกดับ” คือสถานการณ์พิเศษ เพื่อให้มี “รัฐบาลพิเศษ” ที่ว่านี้
เรากำลังอยู่ในสถานการณ์เปลี่ยนผ่านในช่วงปลายรัชกาล...
วิเคราะห์บทสุดท้าย
-เราขอให้มวลชนทั้งประเทศเป็นผู้ตัดสินใจเลือกอนาคตของตนเอง ไม่ใช่อำนาจพิเศษจากบุคคนใดๆมากำหนดหรือยัดเยียดความคิดเห็นให้ทำตาม ทุกคนต้องมีส่วนกำหนดอนาคตของประเทศเพื่อลูกหลานในอนาคต เราคิดว่ามวลชนทั้งประเทศคงไม่อยากเห็นรัฐบาลที่เขาเลือกมาให้เป็นตัวแทนพวกเขาไปทำหน้าที่ใช้สิทธิใช้เสียงในสภาเพื่อแก้ไขปัญหาของสังคมของประเทศชาติ แล้วใช้ระบอบสภาแก้ปัญหาให้ครอบครัวอำมาตย์ซึ่งไม่ใช่ปัญหาของประชาชนและปัญหาของชาติแต่อย่างใด รัฐบาลอย่าลืมว่าพลังมวลชนคือตัวกำหนด พวกเขาได้รับบทเรียนจากอดีตโดยเฉพาะพวกเขาได้ติดตามข่าวคราวศึกษาหาความรู้ติดอาวุธทางปัญญาให้ตัวเอง คงไม่ตกเป็นเหยื่อน้ำลายของใครอีกต่อไป พร้อมจะไม่ให้ถูกทหารยิงตายและจับเข้าคุกเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป
-เราคิดว่าประชาชนทั้งประเทศและทั่วโลก ได้มีการเตรียมการเฝ้าระวังสถานการณ์ พร้อมที่จะเข้า"ยับยั้งกระบวนการที่จะทำให้เกิดสภาไม่ปกติด้วยสถานการณ์พิเศษ"และไม่ให้มี"รัฐบาลพิเศษ" อย่างแน่นอน!
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar