söndag 9 juni 2013

วันแพะแห่งชาติ..วันนี้ในอดีตที่เราควรรู้"ใครฆ่า"....ร. ๘...?

Posted Image ( ๖๗ ปีให้หลังฆาตกรตัวจริงก็ยังมีชีวิตอยู่กำลังนอนรอรับกรรมอยู่ที่ชั้น ๑๖ ร.พ. ศิริราช ริมฝั่งแม่นํ้าเจ้าพระยา....)

[IMG]

"กาหลิบ"
June 9, 2013

วันนี้ของปีพุทธศักราช ๒๔๘๙ คือวันสิ้นสุดของรัชกาลที่ ๘ และเกิดรัชกาลที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้น เหตุปัจจัยใหญ่ ได้แก่ การเสด็จฯ สวรรคตอย่างกะทันหัน ฉับพลัน และรุนแรงของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล บนพระที่ ณ พระที่นั่งบ รมพิมานในพระบรมมหาราชวัง การสวรรคตของผู้เป็นอดีต “ยุวกษัตริย์” คือกษัตริย์เด็ก ซึ่งต่อมาได้เจริญพระชนม์ จนทรงบรรลุนิติภาวะและสามารถทรงทำหน้าที่เป็นพระมหากษัตริย์ได้ด้วยพระองค์ เองอย่างสมบูรณ์ เป็นเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงการเมืองที่ผันผวนของไทยหลังการอภิวัฒน์ พ.ศ.๒๔๗๕ จนกลายเป็นมรสุมใหญ่และยืดเยื้อยาวนาน จนส่งผลกระทบต่อชะตาชีวิตของประเทศชาติและประชาชนชาวไทยมาจนตราบเท่าทุก วันนี้

กระสุนปืน ๑๑ ม.ม. นัดเดียวที่แล่นออกจากปากกระบอกปืนยูเอสอาร์มี่ของบริษัทโคลท์ สู่พระนลาฏเหนือพระขนงซ้าย ที่ได้ดับพระชนม์ชีพเกือบจะทันที ในเวลาประมาณ ๙.๓๐ น. ยังคงพุ่งต่อไปในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของสยามและไทย ทำให้มีผู้ถูก “ยิง” ในทางการเมืองจนสิ้นชีวิตอีกหลายสิบคน รวมทั้งอดีตเลขาธิการพระราชวังและมหาดเล็กห้องพระบรรทมอีกสองคน ทำให้เกิดความแปรผันแห่งชีวิตของนายกรัฐมนตรีไทยถึงสองคน ได้แก่ นายปรีดี พนมยงค์ และ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายทหารคนสนิทนายกรัฐมนตรี ตลอดจนผู้คนที่ไม่มีชื่อเสียงเทียบเท่าอีกหลากหลายชีวิต

กระสุนนัดเดียวกันนี้จึงผูกโยง “กรรม” ของสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยกับกรรมของประชาชนชาวไทยในแง่มุมที่ไม่เคย ปรากฏมาก่อน กรรมนี้จะเดินทางต่อไปในทิศทางใดเรายังไม่รู้เพราะไม่อาจรู้ได้ด้วยจิตใจของ ปุถุชน แต่พูดได้อย่างหนึ่งว่ากรรมนี้เริ่มส่งผลให้เราเห็นประจักษ์แก่สายตาและจิต ใจแล้ว เพราะกรรมไม่จำเป็นต้องปรากฏผลอย่างรวดเร็ว ทันใจ ชนิดติดจรวด แต่กรรมสามารถจะเป็นไฟสุมขอน ที่ค่อยไหม้ลามไปจนถึงต้นเหตุแห่งกรรมอันแสนหนักของการเอาชีวิตของคนทั้ง ประเทศนับสิบล้านคนไปแขวนไว้กับความอยุติธรรมและความเท็จที่เรียกว่าประวัติ ศาสตร์ไทย เราท่านจะได้เห็นกรรมทำงานของตัวเองในชั่วอายุเราหรือไม่ไม่รับปาก แต่ถ้าใช้สติมองดูเหตุการณ์ปัจจุบัน และค้นคว้ากลับไปถึงประวัติศาสตร์การสวรรคตฯ เราจะเห็นกระบวนการบางอย่างเกิดขึ้นอยู่แล้วในขณะนี้ โดยไม่ต้องรออนาคตเลย

นักเรียนประวัติศาสตร์ผู้เปี่ยมไปด้วยจิตสำนึกอย่าง คุณลุงสุพจน์ ด่านตระกูล จนถึง ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้อุตสาหะบันทึกข้อเท็จจริงและการตีความของ “กรณีสวรรคตฯ” เอาไว้อย่างยอดเยี่ยม สร้างเป็นฐานที่แข็งแรงมั่นคงไว้สำหรับนักเรียนประวัติศาสตร์รุ่นต่อๆ ไปที่จะใช้กรรมวิธีทางวิชาการ ตลอดจนเครื่องมือใหม่ๆ เข้าไปแสวงหาข้อเท็จจริงในทางประวัติศาสตร์มาสมทบกันให้ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น อีก ผมคงจะไม่หาญกล้าที่จะเสนออะไรใหม่ๆ ในเรื่องนี้โดยมิได้ค้นคว้าเพิ่มเติม ได้แต่นำผลงานของท่านผู้กล้าหาญเหล่านี้มาคิดพิจารณาและโยงเข้ากับประวัติ ศาสตร์การเมืองไทยในห้วงเวลาหลังจากนั้น การคิดใคร่ครวญในลักษณะนี้ทำให้เราเห็นภาพที่สว่างขึ้นมาในห้วงสำนึกของเรา เองได้ จนพูดถึง “ละคร” เรื่องนี้ได้ว่าถึงฉากหลังของละครจะเปลี่ยนไป กาลเวลาจะเปลี่ยนไป บริบทของการเมืองโลกจะเปลี่ยนไป บริบทของการเมืองไทย (ที่แสร้งว่า) จะเปลี่ยนไป แต่ตัวละครเดิมมิได้เปลี่ยนไปเลย

จนบัดนี้ยังคงเป็นตัวละครตัวเดิมที่คอยให้คนเขียนบทละครฉากใหม่ๆ ออกมาหลอกล่อคนดูให้เขาหลงดูหลงชมจนเคลิบเคลิ้มไปกับกับบทบาทการแสดง กระทั่งลืมชีวิตจริงของตัวละครเหล่านั้น เราอ่านกรณีสวรรคตฯ ได้เหมือนเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เพราะมันเกิดขึ้นเพียงเมื่อวานนี้จริงๆ ในแง่ตัวละคร

มีเจตนาหรือไม่ที่ทำให้พระเจ้าอยู่หัวต้องพระแสงปืนจนสวรรคต เป็นคำถามข้ามยุคข้ามสมัยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ เพราะความเป็นไปได้ในการสวรรคตมีเพียง ๓ ทางคือ ปลงพระชนม์เอง (อัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย) อุบัติเหตุพระแสงปืนลั่น และถูกคนอื่นลอบหรือจู่โจมเข้าไปปลงพระชนม์ แต่ผมในฐานะคนรุ่นหลัง ที่ไม่มีโอกาสเข้าไปอยู่ในฉากแห่งความมืดมิดบนชั้นสองของพระที่นั่งบรมพิมาน ที่ตั้งของห้องพระบรรทมในพระเจ้าอยู่หัวผู้สวรรคต ก็ได้แต่นึกว่าคำถามและคำตอบของคนในอดีตก็ชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านในครั้งนั้นหลายคนลุกขึ้นถามรัฐบาลว่า เกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ได้ถามและตอบกัน จนบันทึกเอาไว้เรียบร้อยเป็นทางการในบันทึกการประชุมสภาฯ ก็ค้นได้จนบัดนี้ คนขนาด นายปริญญา จุฑามาตย์ ส.ส.กระบี่ ผู้เป็นอัยการเก่า และ นายสอ เศรษฐบุตร ส.ส.ธนบุรี ผู้เป็นปราชญ์ทางภาษาและอีกหลายทาง ลุกขึ้นถามถึงการเข้าออกห้องพระบรรทมในห้วงเวลานั้น อธิบดีกรมตำรวจคือ พล.ต.ท.พระรามอินทรา จึงตัดสินใจลุกขึ้นตอบว่า “...เท่าที่ได้ฟังมาแล้ว มีพระราชชนนี พระอนุชา และพวกมหาดเล็กห้องบรรทม พระพี่เลี้ยง ส่วนคนอื่นใดข้าพเจ้ายังไม่ทราบ ส่วนที่จะเข้าได้และไม่ได้ด้วยเหตุผลอย่างใดนั้นก็ยังสอบสวนไม่ได้ความ เท่าที่ได้กล่าวมาก็ชัดเจนอยู่แล้ว...”

คำว่า “เท่าที่ได้กล่าวมาก็ชัดเจนอยู่แล้ว” คือประโยคที่อธิบดีกรมตำรวจกล่าวซ้ำอยู่หลายครั้งในระหว่างการประชุม สภาครั้งพิเศษนั้น จนท้ายที่สุด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ส.ส.พระนคร ก็ลุกขึ้นตัดบทว่าอย่ามา “พลิกพระบรมศพ” กันที่นี่ การตัดบทครั้งนั้นคือความชาญฉลาดของฝ่ายที่กำลังเตรียมใช้ประโยชน์จากกรณี สวรรคตที่จะทำให้กลายเป็นคดีลึกลับ ซ่อนเงื่อนปม และมีผลทำลายล้างในทางการเมืองได้ต่อไป ลุงสุพจน์ ด่านตระกูล ตีความเหตุการณ์ในตอนนี้ว่า บทบาทของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนั้น ก็เพื่อป้องกันมิให้ พล.ต.ท.พระรามอินทรา ถูกกดดันจนอาจโพล่งออกมาว่าใครเป็นผู้ต้องสงสัยในใจของตำรวจในขณะนั้นกันแน่ คำว่า “เท่าที่ได้กล่าวมาก็ชัดเจนอยู่แล้ว” ก็สื่อความหมายว่าตำรวจมีข้อสรุปในขั้นต้นอยู่ว่าใครคือ “ผู้ร้าย” ในกรณีสวรรคตฯ เพียงไม่เต็มใจที่จะพูดเช่นนั้นออกมาท่ามกลางสมาชิกรัฐสภาเท่านั้นเอง

การเมืองแบบประชาธิปไตยใหม่ของไทยจึงถูกวางยาพิษนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความคลุมเครือเป็นอาหารอันโอชะของนักการเมืองประเภทสุนัขจิ้งจอกมาแต่ไหนแต่ ไร กรณีสวรรคตฯ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เสียงซุบซิบนินทาและการสาดโคลนใส่ฝ่ายรัฐบาลที่ระบอบเดิมมองว่าเป็นศัตรูคู่ แข่ง จึงเป็นสงครามแบบใหม่ที่เล่นไม่เลิกกันในขณะนั้น จนท้ายที่สุดต้องหาทางจบด้วยการฆ่าใครสักคนหนึ่งเสีย เหมือนนักเขียนที่หาตอนจบของนวนิยายไม่ลง แต่ใครสักคนที่ว่านั้น ก็กลายเป็นสามคน และเป็นสามคนซึ่งถูกจองจำอยู่ในคุกตะรางถึงเจ็ดปีเต็ม ก่อนถูกนำตัวไปยิงทิ้งอย่างเลือดเย็น ในกรรมวิธีที่เรียกว่าการประหารชีวิตตามกฎหมาย

หนึ่งในสามนักโทษประหารคือ นายบุศย์ ปัทมศริน พร่ำพูดว่าตัวจะไม่ตายเพราะสุดท้าย “ท่าน” ก็จะมาช่วย นายบุศย์ฯ รู้หรือไม่ก็ไม่ทราบได้ว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ทำเรื่องจากรัฐบาลขึ้นไปขอพระราชทานชีวิตถึงสามครั้งก่อนหน้านั้น ในข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้เองที่เรามีหน้าที่ต้องนำชิ้นส่วนมา ต่อกันตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๙ จนถึง พ.ศ.๒๕๕๓ ที่มีการฆ่ากันกลางเมืองแบบราชประสงค์ จนถึงเหตุการณ์ปัจจุบันที่รัฐบาลเลือกตั้งทุกชุดต้องเผชิญสภาวะกรรมเดียวกัน คือถูกทำลายชื่อเสียง เกียรติคุณ และสุดท้ายก็ไปตามอันธพาลมาไล่ออกไปเพราะมหาโจรเขาจะกลับมาครองเมืองเดิมที่ เขาคิดว่าเป็นของเขา ฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่อ่านหนังสือ ไม่ศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลัง และไม่นำชิ้นส่วนเหล่านี้มาต่อกันเป็นภาพใหญ่ หรือรู้แล้วแต่แกล้งโง่ เพราะนึกว่าความแกล้งโง่จะพาตัวเองให้รอดได้นั้น ก็จะเป็นได้เพียงนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยชั่วคราว เพียงเพื่อให้เขาเอาบทละครเดิมมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนละครช่อง ๓ และช่อง ๗ ที่ช่วยย้ำซ้ำซากให้เราเห็นว่าเมืองไทยต้องรักษาความด้อยพัฒนาและดักดานกัน ต่อไป เพราะกลัวฉลาดนักหรือตาสว่างนักแล้วจะอยู่กันต่อไปไม่ได้
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลจึงทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ที่กลายเป็นข้อ อ้างให้กับพาลชนในยุคหลัง ผมเคยอ่านพระราชหัตถเลขาบางฉบับ พบว่าทรงอยู่ในฝ่ายก้าวหน้าของยุคนั้น จะเป็นผลลัพธ์ในภาพรวมจากการเจริญพระชนม์ในต่างประเทศอย่างคนธรรมดาสามัญ หรือความที่พระราชวงศ์ขณะนั้นกำลังเผชิญกับความเป็นอนิจจังและไม่อาจคุ้ม ครองพระองค์ท่านได้ เราคงต้องศึกษามากกว่านี้ก่อนจะสรุป แต่เมืองไทยเคยมีกษัตริย์ผู้ทรงเข้าใจในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปและดูเหมือนจะ ทรงพร้อมก้าวเดินไปสู่ทิศทางนั้นมาก่อนแล้ว เพียงกระสุนนัดนั้นได้หยุดการเสด็จพระราชดำเนินเสียบนพระที่นั่นเอง.

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar