fredag 26 juni 2015

ประชาธิปไตย เกิดจาก "กบฏ"

ประชาธิปไตย เกิดจาก "กบฏ"
คอลัมน์ ใบตองแห้ง

วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 21:53 น.
จำนวนคนอ่านล่าสุด 
นักศึกษาดาวดินถูกคนในทำเนียบ เรียกว่า "อสูรกุ๊ย" หนักกว่ากุ๊ย เพราะหน้าตาแต่ละคนไม่เหมือนนักศึกษา

อ้าวแล้วนักศึกษาต้องหน้าตายังไง ต้องอาโนเนะ อยู่ในโอวาท ตัดผมสั้น แต่งตัวเรียบร้อย เชื่อฟังอธิการบดี สนช. ยังงั้นหรือ



หรือถ้าจะทำกิจกรรมก็ควรไปชูป้ายต้านเหล้า บุหรี่ กาสิโน หรือตั้งร้านกาแฟ "โตไปไม่โกง" ไม่ควรไปช่วยชาวบ้านต่อต้านเหมืองทอง เรียกร้องเสรีภาพประชาธิปไตย ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่ถือเป็น "กฎหมาย"

ถามจริง เด็กแบบไหนที่โตขึ้นมามีคุณค่าในสังคมประชาธิปไตยมากกว่า ระหว่าง "เด็กหัวแข็ง" คิดเองเป็น กับเด็กเรียบร้อย จบมาก็ทำงานทำการ เป็นข้าราชการ เป็นพนักงานบริษัท ตื่นเช้าเข้างานแปดโมงเลิกห้าโมงเย็น ไม่กล้ามีปากเสียง

ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมไทยชอบเด็กแบบหลัง ไม่ว่าการเมือง สังคม ราชการ หรือธุรกิจ ล้วนต้องการเด็กในโอวาท แต่พอเจอเด็กไม่มีคุณภาพมากๆ ก็บ่นอยากให้เด็ก "คิดเป็น" แต่ต้องคิดตามคำสั่งนะ

คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำก็เพราะอย่างนี้ เพราะมุ่งแต่สอนคนให้อยู่ในโอวาท แม้กระทั่งสอนเด็ก "โตไปไม่โกง" ถ้าให้เด็กนั่งพับเพียบฟังครูตาแป๋วจะมีประโยชน์อะไร เพราะเข้าไปอยู่ในระบบราชการ ระบบอุปถัมภ์ เด็กหัวอ่อนไม่กล้าต่อสู้มันก็คล้อยตามวัฒนธรรมโกงวันยังค่ำ

สังคมไทยต้องการเด็กอย่างดาวดิน เด็กธรรมศาสตร์เสรี ต้องการข้าราชการอย่างสมัคร ดอนตาปี มากกว่าคนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ เพราะชีวิตนี้ไม่เคยกล้าตัดสินใจเลยไม่เคยทำอะไรผิด

แต่สังคมไทยมักลงโทษคนอย่างนี้ คนส่วนใหญ่เลยอยากมีชีวิตเช้าชามเย็นชามเอาตัวรอดไปวันๆ ดีกว่า

"ประชาธิปไตยแบบฝรั่ง" ที่ใช้ไม่ได้ในสังคมไทย ก็เพราะประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่ประชาธิปไตยมีพื้นฐานจากความคิดอิสระ ฝรั่งไม่ได้ฉลาดกว่าคนไทย แต่เวลามีอะไรขึ้นมา กระทั่งฝรั่งขี้ยาข้างถนน หรือเด็กหัวเท่ากำปั้น มันจะตบอก "ที่นี่ประเทศเสรี"

แน่ละ เสรีภาพต้องมากับวินัยและความรับผิดชอบ แต่ผู้หลักผู้ใหญ่มักเอาอย่างหลังไปกดอย่างแรก สอนให้เชื่อฟัง บังคับให้เชื่อฟัง ขณะเดียวกันก็เลี้ยงลูกแบบไม่ปล่อยให้รับผิดชอบตัวเอง

โถถ้าลูกคุณอายุ 20 กว่าๆ เรียนมหาวิทยาลัย แล้วยังเป็นเด็กอนามัย ไม่เคยกินเหล้า ไม่เคยเข้าผับ ก็ก่ายหน้าผากเป็นห่วงเป็นใยมันไปชั่วชีวิตเถอะครับ ห้ามกันเข้าไป 300 เมตร 500 เมตร 5,000 เมตร แทนที่จะฝึกให้เด็กรู้จักคบเพื่อน รู้จักดูแลตัวเอง

ประชาธิปไตย ไม่ได้ใช้กับสังคมบ้องแบ๊ว สังคมดีมีศีลธรรมถือความสัตย์ อย่าหลอกตัวเองเสียให้ยาก เราอยู่ในสังคมทุนนิยม ซึ่งแก่งแย่งช่วงชิงผลประโยชน์ โดยมีรัฐเป็นตัวกลาง เป็นอำนาจจัดสรรผลประโยชน์ พื้นฐานของประชาธิปไตยจึงได้แก่การที่ทุกคนทุกกลุ่มทุกอาชีพต้องเรียกร้องปก ป้องทวงถามผลประโยชน์ตัวเอง พื้นฐานของประชาธิปไตยจึงได้แก่ เสรีภาพ และความขัดแย้ง แล้วจึงมาตกลงเป็นกติกาที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยถือประโยชน์คนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ

ประชาธิปไตยจึงไม่ใช่ สังคมที่เชื่อฟัง แต่เป็นสังคมที่ต้องต่อสู้ ต่อรอง ขัดแย้ง และตกลงกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งต้องเป็นสังคมที่ไม่เชื่อผู้มีอำนาจ ตรวจสอบอำนาจ ไม่เชื่อข้ออ้างศักดิ์สิทธิ์ เครดิต คนดี ฯลฯ แต่เชื่อการวิพากษ์วิจารณ์ ทวงถาม เปิดเผย โปร่งใส

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่เยาวชนไทยกล้าถามโอบามา แต่นักข่าวไทยสิ กล้าถามนายกฯ หรือเปล่า

ว่าที่จริงเรื่องพวกนี้ไม่น่าต้องเล่าใหม่ในสังคมไทย ซึ่งแม้แต่พวกเย้วๆ ไม่เอาเลือกตั้ง ก็มีตั้งมากมายที่โตมาอย่าง "ดาวดิน"

รสนา โตสิตระกูล สุริยะใส กตะศิลา หรือทนายนกเขา สมัยเป็นนักศึกษาก็ถูกผู้มีอำนาจด่าคล้ายๆ กัน อยู่ที่จำกำพืดได้รึเปล่าเท่านั้น คนทั้งสองข้างที่ขัดแย้งต่างก็มี "วิญญาณกบฏ" สำคัญว่ายึดมั่นเสรีภาพเหนือเป้าหมายทางการเมืองไหม

สังคมไทยเติบโตอย่างมากเรื่องเสรีภาพ เพียงมา "ติดกับ" วาทกรรมต้านโกง ต้านทุน ศีลธรรม ความมั่นคง ฯลฯ กระนั้นก็เป็นอาการมืดบอดชั่วคราว เพราะเราอยู่ในโลกเทคโนโลยีสื่อสาร คนรุ่นใหม่มีความคิดความต้องการของตัวเอง คุณจะเชื่อตลอดไปไหมว่า กกต.คือผู้วิเศษ แจกใบแดงใครก็ได้ วัดไม่ควรถูกตรวจสอบทรัพย์สิน ศาลมีศีลธรรมสูงไม่ควรถูกตรวจสอบจากภายนอก หรือนักการเมืองเลือกตั้งเลวทั้งหมด นักการเมืองแต่งตั้งดีกว่าเยอะ

ประชาธิปไตย เกิดจากความต้องการเสรีภาพ แน่ละ เสรีภาพต้องมีศีลธรรม แต่เสรีภาพคือผู้ตรวจสอบศีลธรรม ถ้าไม่มีเสรีภาพ มีแต่การใช้อำนาจ ก็เป็นศีลธรรมจอมปลอมเท่านั้น บางคนที่เราเห็นเป็นผู้มีศีลธรรมหน้าตาดี แต่ความจริงเป็น "อสูรกุ๊ย" ก็ถมไป

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar