การกลับมาของเศรษฐกิจคุณธรรม ของการเคลื่อนไหวทางการเมือง
โดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
ผมเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นในห้วงสถานการณ์ที่ดาวดินกำลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฝ่าฝืนคำสั่งของคณะรัฐประหารและรอการจับกุมตัวอยู่ที่จังหวัดเลย ทั้งนี้ผมไม่ได้มุ่งหวังว่าบทความชิ้นนี้ของผมจะสนับสนุนหรือคัดค้านการกระทำของดาวดิน ทั้งในสิ่งที่พวกเขา "ต่อสู้" และในสิ่งที่พวกเขา "ขัดขืน"
เพียงแต่ในมโนสำนึกของผม ผมคิดว่าผมต้องเขียนเพื่ออธิบายหรือตีความในสิ่งที่ผมเห็น ทั้งนี้ผมไม่ทราบว่าบรรดานักวิชาการสันติวิธี การแก้ปัญหาความขัดแย้ง หรือสันติภาพทั้งหลายจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้ พูดง่ายๆ ว่าต้นทุนในเรื่องนี้ผมไม่เยอะ ผมคิดว่าต้องเขียนก็ต้องเขียน เพราะมันเป็นเรื่องความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าความรู้เฉยๆ
ประการแรก ที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุด ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับหลักวิชาอะไรมากแค่ไหน แต่เป็นสิ่งที่ผมกลั่นกรองจากประสบการณ์ที่อยู่ในสังคมนี้มานานพอสมควร ผมคิดว่าเมื่อเราเผชิญกับความขัดแย้ง เราควรเปิดโอกาสรับฟังสิ่งที่ไม่ตรงกับเรา แล้วเราก็ควรจะรู้สึกว่าเราสัมผัสกับสิ่งนั้นได้
พูดกันง่ายๆ ก็คือ ความขัดแย้งและความรุนแรงทางกายภาพที่เกิดขึ้น ในแง่การปราบปราม จับกุม มันเป็นส่วนเดียวของภาพรวมทั้งหมด และสิ่งที่ผมคิดว่าน่ากลัวไม่แพ้กัน หรือลึกๆ แล้วผมขออนุญาตให้ความเห็นว่ามันอาจจะน่ากลัวกว่า นั่นก็คือการที่เราพยายามหาความชอบธรรมกับการใช้อำนาจและความรุนแรงโดยการทำลายความชอบธรรมของอีกฝ่ายหนึ่ง
การทำลายความชอบธรรมของคนอื่นลงด้วยการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือการปล่อยให้ความเข้าใจผิด มันทำงานต่อไปเพื่อให้ตนเองสมประโยชน์นั้นเป็นสิ่งที่อันตราย ผมคิดว่าไม่มีใครที่จะประกาศได้หรอกครับว่าตนเองไม่มีอคติ เพียงแต่ว่าอคติที่มันไม่มากเกินไป หรือที่พอจะรู้ตัวเอาไว้บ้าง และพยายามขัดเกลามันก็คงจะดีกว่าคิดว่าเราไม่มีอคติเอาเสียเลย
การกล่าวหากันหรือพยายามสร้างปฏิบัติการทางภาษาบางอย่างเพื่อทำให้เรานั้นรอดพ้นจากความรู้สึกผิดกับการกระทำผิดนั้นมันอันตรายวันหนึ่งคุณทำได้ คนอื่นเขาก็ทำกับคุณได้
ปฏิบัติการทางจิตวิทยานั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ฝ่ายเดียว ตำราในเรื่องปฏิบัติการทางจิตวิทยาไม่ใช่เป็นเรื่องที่ปกปิดกันได้อีกต่อไป และในวันที่ปฏิบัติการทางจิตวิทยามันเข้าถึงกันได้ทุกฝ่าย ในสถานการณ์ที่พื้นที่สื่อไม่สามารถถูกปิดกั้นได้ง่ายๆ (และคุณไม่รู้ง่ายๆ หรอกว่าคนเขาคิดอะไรอย่างไรนอกเหนือจากคำถามในโพล) ในวันนั้นแหละครับคนในรุ่นต่อๆ ไปจะได้ศึกษาบทเรียนของความผิดพลาดที่สำคัญในปฏิบัติการทางจิตวิทยา ด้วยว่าความเปลี่ยนแปลงบางอย่างนั้นกว่าจะรู้ตัวว่าข้อผิดพลาดมันอยู่ตรงไหน
...ราคาที่จะต้องจ่ายมันแพงมากนะครับ...
ประการที่สองดาวดินเป็นใคร? เรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก และไม่สามารถอธิบายได้ง่ายๆ ในความหมายที่ว่า เมื่อผมเข้าใจเขา เขาก็อาจจะเข้าใจตัวเองในแบบของเขา หรือคนอื่นๆ ก็อาจจะเข้าใจตัวพวกเขาในแบบที่ต่างกันก็ได้
"ข้อเท็จจริงทางสังคม" มันก็มักเป็นแบบนี้แหละครับ มันมีทั้ง "ข้อมูล" ที่เราคิดว่าเรามีและตรวจสอบได้ จะเรียกว่าข่าวกรองหรือไม่ก็แล้วแต่ และในอีกส่วนหนึ่งก็คือ "การตีความและให้คุณค่า" กับข้อมูลที่เรามี
เช่นเรามอง หรือคนอื่นต้องการให้เรามองว่าอย่างไรกับดาวดิน ตกลงพวกเขาเป็นนักศึกษา (อันนี้เขาก็เป็นจริงๆ) แต่เขา "เป็นแค่นักศึกษา" หรือเปล่า? เขารู้ปัญหามากน้อยแค่ไหน เขาเป็นพลังบริสุทธิ์ไหม? (ทำไมเขาต้องเป็นพลังบริสุทธิ์ ทำไมคนกลุ่มอื่นๆ เป็นพลังบริสุทธิ์ไม่ได้?) เขาเป็นพลังบริสุทธิ์ที่เข้าทางปฏิบัติการทางจิตวิทยาที่จะทำให้ พลังบริสุทธิ์ แปลว่าไร้เดียงสา ต้องตกเป็น "เครื่องมือ" ของการเมืองที่เลวร้ายไหม? เขาเป็นพลังบริสุทธิ์ที่จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครองเขาไหม? หรือเขาเป็นพลเมือง หรือเขาเป็นคนอีสาน เป็นคนต่างจังหวัด เป็นคนจน ฯลฯ
หรือการมีสิทธิอำนาจทางการเมืองนั้นจะต้องไม่บริสุทธิ์ การเข้าใจความเลวร้ายในโลกและจำเป็นต้องไม่บริสุทธิ์? นี่คือสัจธรรมของการมีอำนาจของผู้ปกครองจริงไหม? การอ้างว่าฉันมีความรู้และเข้าถึงข้อเท็จจริงมากกว่าคนอื่น และจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นกับหลักการปกครองนั้นคือหัวใจสำคัญของการปกครองจริงไหม? และถ้าจริง จำเป็นไหมว่าผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้นำคนเดียวหรือคณะผู้นำเท่านั้น ไม่ใช่มวลชน? จริงหรือที่มวลชนนั้นไม่มีศักยภาพในการครอบครองและเข้าถึงความรู้และความยืดหยุ่นในการปกครองเช่นนั้น?
จริงหรือที่การปกครองโดยความเชื่อในเรื่องความสงบมั่นคงนั้นคือหัวใจสำคัญและแลกมาด้วยการทำให้ประชาชนอ่อนแอ ปกป้องตัวเองไม่ได้ และต้องพึ่งคณะผู้ปกครองเท่านั้น? หรือการปกครองด้วยตัวประชาชนเองผ่านการที่ประชาชนสามารถปกป้องเสรีภาพของพวกเขาได้ และไม่ถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อความมั่นคงก็เป็นทางเลือกในการปกครองที่สำคัญ นั่นคือจะพูดแทนผู้ปกครองไปเสียหมดไม่ได้นั่นแหละครับ (จะอ่าน แมคเคียวาลี่ อาจต้องอ่านทั้ง The Prince และ Discourse on Livy นะครับ)
จริงหรือที่ดาวดินนั้นเป็นเพียงแค่ "คนภายนอก" ชุมชน ที่ไม่เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคอีสานดีเท่าบรรดาผู้ปกครองจากภายนอกเช่นกันที่ปกครองคนอีสานด้วยระบบราชการ?
คำถามก็คือ ถ้าเขาไม่ใช่นักศึกษาที่เคลื่อนไหวด้วยพลังบริสุทธิ์ แต่เขาเคลื่อนไหวเพราะเขาเป็นลูกหลานของคนในพื้นที่เอง? อะไรจะเป็นปฏิบัติการทางจิตวิทยาที่ทำให้คนทั้งในและนอกพื้นที่รู้สึกว่าพวกดาวดินนี่สมควรแล้วที่จะถูกปราบปรามอย่างละมุนละม่อมที่สุด?กะอีแค่ "เด็กแว้นทางการเมืองกลุ่มเล็กๆ แค่นี้เอง" แค่นั้นหรือ?
การต่อสู้ด้วยวาทกรรมพลังบริสุทธิ์ที่ถูกทำให้ไม่บริสุทธิ์ด้วยตรรกะของมันเองซึ่งเคยสำเร็จมาในยุคสามสิบปีที่แล้ว และการอ้างว่าระบบราชการสามารถผูกขาดความรู้ในการจัดการทรัพยากรเอาไว้ได้นั้นอาจไม่ใช่โจทย์ที่จัดการกับดาวดินได้ง่ายๆ
คนในพื้นที่จะเชื่อสิ่งที่คุณกล่าวหาดาวดินมากแค่ไหนหรือคิดว่าขอความร่วมมือจากคนนอกพื้นที่แล้วสถานการณ์มันจะจบลงง่ายๆ โครงสร้างการรวมศูนย์อำนาจที่ไม่แบ่งใครดังที่เป็นอยู่จะอยู่ในสถานการณ์พิเศษนี้ได้อีกนานแค่ไหน ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายผู้ที่ปกครองด้วยเงื่อนไขพิเศษต่อไปนั่นแหละครับ
ผมขอพักเรื่องดาวดินไว้ให้เป็นเรื่องที่จะต้องตามหลอกหลอนพวกเราต่อไปหรือพูดให้ดูเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นก็คือปล่อยให้เรื่องของดาวดินเป็นเรื่องของสำนึกทางประวัติศาสตร์ของเราว่าพวกเขาจะมีส่วนสำคัญในความคิดและการกระทำของเราที่จะมีผลต่อวันนี้และอนาคตมากน้อยแค่ไหน เมื่อเรามองย้อนกลับมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นและเราเข้าใจมันในแบบของเราในวันนี้ ผมอยากใช้พื้นที่
ที่เหลือเล่าเรื่องของการตั้งคำถามกับการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในที่อื่นๆ ในโลกบ้าง ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องของ "ขบวนการนักศึกษา" มาสู่เรื่องของ "ประเด็นของการเคลื่อนไหว" ซึ่งสิ่งที่ต้องเรียนเสนอก็คือเรื่องของ "เงื่อนไขในเรื่องของเศรษฐกิจคุณธรรม (moral economic element)" ของการเคลื่อนไหวของมวลชน
คลิกอ่านต่อทั้งหมด-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1435039451
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar