รายงาน: รู้จัก ‘เจ๊แดง โคราช’ คดี 112 รายล่าสุด
ทีมข่าวกระบวนการยุติธรรม
ภาพจากเฟซบุ๊ค OG Nat
เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา กลุ่มคนเสื้อแดงจากในกรุงเทพฯ และในจังหวัดนครราชสีมาหลายสิบคนนัดหมายกันเข้าเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจ ปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์ หรือที่คนมักเรียกกันว่า ‘เจ๊แดง’ ซึ่งถูกศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปีตามความผิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา
จากกรณีที่เป็นแกนนำจัดกิจกรรมเมื่อ 7 เม.ย.2552 ที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี โดยมีคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งร่วมการประท้วงด้วยการเผาโลงศพจำลอง ติดรูปนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พร้อมเขียนข้อความประท้วงบนโลงศพ โดยจำเลยระบุว่าเป็นการล้อเลียนกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรียก พล.อ.เปรมว่า "พระองค์ท่าน" ซึ่งพูดออกอากาศในสถานีโทรทัศน์ ASTV เมื่อคืนวันที่ 3 เม.ย. ว่า "เสื้อเหลืองออกมาปกป้อง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะที่พระองค์ท่านเป็นประธานองคมนตรี" (คลิปการพูดออกอากาศของนายสนธิ)
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าการที่จำเลยนำโลงศพจำลอง มีข้อความบนสุดว่า “พระองค์ท่าน ...” บรรทัดต่อมามีข้อความว่า “พลเอกเปรม ...” และ บรรทัดต่อมาคำว่า “มรณะ 8 เมษายน 2552” จำเลยอยู่ร่วมในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นผู้เทน้ำมันและจุดไฟเผาโลงศพจำลองซึ่งมีข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในนั้น คำว่า “พระองค์ท่าน” นั้น หมายความถึงพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสูงสุดของบุคคลทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันกับพวกหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุก 3 ปี (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) และต่อมาศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ก็มีคำพิพากษายืนดังกล่าว
เจ๊แดง วัย 64 ปี เป็นแกนนำเสื้อแดงในโคราชที่คนรู้จักกันดีเนื่องจากการเคลื่อนไหวและการพูดที่โผงผางเป็นเอกลักษณ์ เธอเป็นคนโคราชโดยกำเนิด เป็นอดีตนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบปริญญาโทจาก American University ใน Washington,D.C. และเป็นนักธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้าต่างๆ รายใหญ่ในจังหวัด
เธอเล่าผ่านลูกกรงโดยคร่าวๆ ว่า คดีดังกล่าวมีนายทหาร 2 คนจากกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจกล่าวหาว่ากิจกรรมเผาโลงนั้นเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่ปรากฏในภาพถ่ายกิจกรรมรวมแล้ว 8-9 คน แต่ในท้ายที่สุดตำรวจฟ้องเธอเพียงรายเดียว โดยเธอรับว่าเป็นโต้โผกิจกรรมโดยไม่ซัดทอดคนอื่นๆ ในระหว่างพิจารณาคดีชั้นต้นเธอยังคงได้รับอิสรภาพ ด้วยการใช้เงินสด 550,000 บาทเป็นหลักทรัพย์ประกันตัว
ในที่สุดวันที่ 16 ธันวาคม 2553 ศาลชั้นต้นก็พิพากษาลงโทษเธอ 3 ปี เธอยื่นอุทธรณ์สู้คดี และต่อมาวันที่ 12 กรกฎาคม 2554 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุก 3 ปี และนั่นเป็นเหตุให้เธอต้องเข้าคุกครั้งแรก ยาวนาน 3 เดือน 16 วัน ระหว่างยื่นฎีกา
คนใกล้ชิดเจ๊แดงรายหนึ่งเล่าว่า ช่วงนั้นเป็นเวลาที่เลวร้ายเพราะเจ๊แดงมีโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพเรือนจำที่แออัดได้ จนกระทั่งโรคเบาหวานและโรคหัวใจกำเริบต้องมีการส่งตัวออกมาผ่าตัดดวงตาและผ่าตัดหัวใจ
“พอโรคกำเริบเรือนจำก็ส่งมาผ่าทั้งตา ผ่าทั้งหัวใจ เราต้องยื่นประกันตัวถึง 6 ครั้งกว่าจะได้ประกัน แต่ก็ยังถือว่าโชคดีมากที่ถูกส่งตัวออกมาผ่าตัดข้างนอก เพราะมันเป็นเรื่องยากมาก ถ้าเป็นคนธรรมดาไม่มีเส้นสาย คงได้ตายในคุกแล้วก็จำหน่ายคดีไป” คนสนิทเจ๊แดงกล่าว
สำหรับความเป็นมาก่อนหน้านี้ เจ๊แดงเล่าว่า เธอเริ่มลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่หลังรัฐประหาร ปี 2549 พร้อมๆ กับใช้สถานีวิทยุชุมชน 104.5 MHz วิทยุพลังประชาชนที่เธอเป็นเจ้าของและก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2547 เป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้คนในพื้นที่
“พี่รักท่านทักษิณมาก เพราะมีนโยบายที่ดีให้ พอตอนนี้มาเป็นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เราก็ยิ่งรัก ที่ผ่านมาก็ช่วยหาเสียงให้ส.ส.ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทยตลอด จนเมื่อปี 54 ชนะ 8 เขต จาก 12 เขต” เจ๊แดงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“วิทยุชุมชนเราทำเพื่อสาธารณะประโยชน์ แต่ตอนนั้นการเมืองร้อนมาก โดนปิดไป 3 หน ปรับครั้งละ 3 หมื่น หาว่าเราไม่มีใบอนุญาต แต่เราก็ไปขึ้นทะเบียนไว้แล้ว” เจ๊แดงเล่า
คนใกล้ชิดเจ๊แดงให้ข้อมูลว่า เธอลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในช่วงที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับตำแหน่งนายกฯ ในช่วงปี 2551 โดยในช่วงแรกยังไม่มีคนเข้าร่วมและต้องใช้เวลานานราว 2 ปีจึงเริ่มจะมีกลุ่มก้อน จนในที่สุดก็มีการตั้งกลุ่ม คนของแผ่นดิน ลูกหลานย่าโม ที่มีเจ๊แดงเป็นแกนนำ
“พออภิสิทธิ์นั่งทำงานในฐานะนายกฯ วันแรก แม่แดงก็เอาเลย ลุกเอาโทรโข่งออกมาด่าอภิสิทธิ์ที่ลานย่าโม ออกมาดุ่ยๆ มีคนออกมาด้วย 2 คน ยืนถือป้ายประท้วง”
คนใกล้ชิดหลายคนช่วยนิยามภาพลักษณ์การเคลื่อนไหวของเจ๊แดงไปในทิศทางเดียวกัน ว่า ขาห้าว แดงฮาร์ดคอร์ ป้าปากร้าย ฯ
สมโภชน์ ประสาทไทย อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยเขต 1 ที่แพ้คู่แข่งพรรคชาติไทยพัฒนาไปเฉียดฉิว เป็นแกนนำคนหนึ่งในการจัดกิจกรรมเยี่ยมให้กำลังใจเจ๊แดงในครั้งนี้ และมีแผนว่าอาจจะจัดกิจกรรมเช่นนี้ทุกเดือน
“เราต้องการให้กำลังใจนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มันสะท้อนว่ากฎหมายมาตรา 112 นี้ทำร้ายคนเรียกร้องประชาธิปไตย บางครั้งอาจไม่เจตนาแต่ก็โดนกฎหมายนี้ทำร้ายไปด้วย อันที่จริงในระบอบประชาธิปไตย น่าจะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้มากกว่านี้ และหวังว่าการผลักดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่จะเกิดขึ้นจะรวมผู้ต้องขังคดี 112 ด้วย” สมโภชน์กล่าว
เจี๊ยบ คนเสื้อแดงในพื้นที่โคราช เป็นอีกคนหนึ่งที่ร่วมจัดงานให้กำลังใจเจ๊แดง กล่าวว่า ช่วงแรกของการเคลื่อนไหวกลุ่ม เสื้อแดงในพื้นที่โคราชนั้นมีจำนวนไม่มากนัก เจ๊แดงเป็นคนหนึ่งที่ออกมาเคลื่อนไหวตั้งแต่ช่วงแรกๆ จนกระทั่งปัจจุบันจึงเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยมีแรมโบ้อีสานเป็นตัวเชื่อมประสานในพื้นที่กับส่วนกลาง อย่างไรก็ตาม ลักษณะการรวมกลุ่มของคนเสื้อแดงในพื้นที่นั้นแบ่งเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยตามอำเภอต่างๆ มีลักษณะเป็นอิสระต่อกัน ตัวเธอเองก็นับเป็น “แดงอิสระ” ที่เคลื่อนไหวกับหลายกลุ่ม บางกลุ่มก็มีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามปกติ
“โคราชค่อนข้างเป็นเมืองอำมาตย์ ก็อย่างที่รู้กันว่าบ้านใคร แม่แดงถือเป็นผู้อาวุโส เป็นดีเจแล้วก็ออกจะปากร้ายหน่อย ที่ผ่านมาเคยร่วมกิจกรรมด้วยกันก็ช่วงที่ทางโคราชทำกิจกรรมเทเลือดที่หน้าบ้านเปรมนั่นแหละ” เจี๊ยบกล่าว
หากนับความแตกแยกทางการเมืองตั้งแต่ช่วงก่อนและหลังรัฐประหารต่อเนื่องจนปัจจุบัน กรณีของปภัสชนัญญ์ หรือ เจ๊แดง โคราช น่าจะถือเป็นคดีมาตรา 112 คดีแรกๆ ที่สิ้นสุดถึงชั้นศาลฎีกา เป็นคดีภูธรที่การพิจารณาคดีดำเนินไปอย่างค่อนข้างเงียบเชียบ และน่าจะยังไม่มีใครได้มีโอกาสเห็นคำพิพากษาฎีกาฉบับเต็ม ขณะที่ปัจจุบันเจ้าตัวยังคงยืนยันถึงความจงรักภักดี พร้อมกับเตรียมขอพระราชทานอภัยโทษในเร็วๆ นี้
ภาพจากเฟซบุ๊ค OG Nat
เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา กลุ่มคนเสื้อแดงจากในกรุงเทพฯ และในจังหวัดนครราชสีมาหลายสิบคนนัดหมายกันเข้าเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจ ปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์ หรือที่คนมักเรียกกันว่า ‘เจ๊แดง’ ซึ่งถูกศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปีตามความผิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา
จากกรณีที่เป็นแกนนำจัดกิจกรรมเมื่อ 7 เม.ย.2552 ที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี โดยมีคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งร่วมการประท้วงด้วยการเผาโลงศพจำลอง ติดรูปนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พร้อมเขียนข้อความประท้วงบนโลงศพ โดยจำเลยระบุว่าเป็นการล้อเลียนกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรียก พล.อ.เปรมว่า "พระองค์ท่าน" ซึ่งพูดออกอากาศในสถานีโทรทัศน์ ASTV เมื่อคืนวันที่ 3 เม.ย. ว่า "เสื้อเหลืองออกมาปกป้อง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะที่พระองค์ท่านเป็นประธานองคมนตรี" (คลิปการพูดออกอากาศของนายสนธิ)
ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าการที่จำเลยนำโลงศพจำลอง มีข้อความบนสุดว่า “พระองค์ท่าน ...” บรรทัดต่อมามีข้อความว่า “พลเอกเปรม ...” และ บรรทัดต่อมาคำว่า “มรณะ 8 เมษายน 2552” จำเลยอยู่ร่วมในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นผู้เทน้ำมันและจุดไฟเผาโลงศพจำลองซึ่งมีข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในนั้น คำว่า “พระองค์ท่าน” นั้น หมายความถึงพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสูงสุดของบุคคลทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันกับพวกหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุก 3 ปี (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) และต่อมาศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ก็มีคำพิพากษายืนดังกล่าว
เจ๊แดง วัย 64 ปี เป็นแกนนำเสื้อแดงในโคราชที่คนรู้จักกันดีเนื่องจากการเคลื่อนไหวและการพูดที่โผงผางเป็นเอกลักษณ์ เธอเป็นคนโคราชโดยกำเนิด เป็นอดีตนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบปริญญาโทจาก American University ใน Washington,D.C. และเป็นนักธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้าต่างๆ รายใหญ่ในจังหวัด
เธอเล่าผ่านลูกกรงโดยคร่าวๆ ว่า คดีดังกล่าวมีนายทหาร 2 คนจากกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจกล่าวหาว่ากิจกรรมเผาโลงนั้นเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่ปรากฏในภาพถ่ายกิจกรรมรวมแล้ว 8-9 คน แต่ในท้ายที่สุดตำรวจฟ้องเธอเพียงรายเดียว โดยเธอรับว่าเป็นโต้โผกิจกรรมโดยไม่ซัดทอดคนอื่นๆ ในระหว่างพิจารณาคดีชั้นต้นเธอยังคงได้รับอิสรภาพ ด้วยการใช้เงินสด 550,000 บาทเป็นหลักทรัพย์ประกันตัว
ในที่สุดวันที่ 16 ธันวาคม 2553 ศาลชั้นต้นก็พิพากษาลงโทษเธอ 3 ปี เธอยื่นอุทธรณ์สู้คดี และต่อมาวันที่ 12 กรกฎาคม 2554 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุก 3 ปี และนั่นเป็นเหตุให้เธอต้องเข้าคุกครั้งแรก ยาวนาน 3 เดือน 16 วัน ระหว่างยื่นฎีกา
คนใกล้ชิดเจ๊แดงรายหนึ่งเล่าว่า ช่วงนั้นเป็นเวลาที่เลวร้ายเพราะเจ๊แดงมีโรคประจำตัวหลายโรค ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพเรือนจำที่แออัดได้ จนกระทั่งโรคเบาหวานและโรคหัวใจกำเริบต้องมีการส่งตัวออกมาผ่าตัดดวงตาและผ่าตัดหัวใจ
“พอโรคกำเริบเรือนจำก็ส่งมาผ่าทั้งตา ผ่าทั้งหัวใจ เราต้องยื่นประกันตัวถึง 6 ครั้งกว่าจะได้ประกัน แต่ก็ยังถือว่าโชคดีมากที่ถูกส่งตัวออกมาผ่าตัดข้างนอก เพราะมันเป็นเรื่องยากมาก ถ้าเป็นคนธรรมดาไม่มีเส้นสาย คงได้ตายในคุกแล้วก็จำหน่ายคดีไป” คนสนิทเจ๊แดงกล่าว
สำหรับความเป็นมาก่อนหน้านี้ เจ๊แดงเล่าว่า เธอเริ่มลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่หลังรัฐประหาร ปี 2549 พร้อมๆ กับใช้สถานีวิทยุชุมชน 104.5 MHz วิทยุพลังประชาชนที่เธอเป็นเจ้าของและก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2547 เป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้คนในพื้นที่
“พี่รักท่านทักษิณมาก เพราะมีนโยบายที่ดีให้ พอตอนนี้มาเป็นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เราก็ยิ่งรัก ที่ผ่านมาก็ช่วยหาเสียงให้ส.ส.ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทยตลอด จนเมื่อปี 54 ชนะ 8 เขต จาก 12 เขต” เจ๊แดงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“วิทยุชุมชนเราทำเพื่อสาธารณะประโยชน์ แต่ตอนนั้นการเมืองร้อนมาก โดนปิดไป 3 หน ปรับครั้งละ 3 หมื่น หาว่าเราไม่มีใบอนุญาต แต่เราก็ไปขึ้นทะเบียนไว้แล้ว” เจ๊แดงเล่า
คนใกล้ชิดเจ๊แดงให้ข้อมูลว่า เธอลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในช่วงที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ารับตำแหน่งนายกฯ ในช่วงปี 2551 โดยในช่วงแรกยังไม่มีคนเข้าร่วมและต้องใช้เวลานานราว 2 ปีจึงเริ่มจะมีกลุ่มก้อน จนในที่สุดก็มีการตั้งกลุ่ม คนของแผ่นดิน ลูกหลานย่าโม ที่มีเจ๊แดงเป็นแกนนำ
“พออภิสิทธิ์นั่งทำงานในฐานะนายกฯ วันแรก แม่แดงก็เอาเลย ลุกเอาโทรโข่งออกมาด่าอภิสิทธิ์ที่ลานย่าโม ออกมาดุ่ยๆ มีคนออกมาด้วย 2 คน ยืนถือป้ายประท้วง”
คนใกล้ชิดหลายคนช่วยนิยามภาพลักษณ์การเคลื่อนไหวของเจ๊แดงไปในทิศทางเดียวกัน ว่า ขาห้าว แดงฮาร์ดคอร์ ป้าปากร้าย ฯ
สมโภชน์ ประสาทไทย อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยเขต 1 ที่แพ้คู่แข่งพรรคชาติไทยพัฒนาไปเฉียดฉิว เป็นแกนนำคนหนึ่งในการจัดกิจกรรมเยี่ยมให้กำลังใจเจ๊แดงในครั้งนี้ และมีแผนว่าอาจจะจัดกิจกรรมเช่นนี้ทุกเดือน
“เราต้องการให้กำลังใจนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มันสะท้อนว่ากฎหมายมาตรา 112 นี้ทำร้ายคนเรียกร้องประชาธิปไตย บางครั้งอาจไม่เจตนาแต่ก็โดนกฎหมายนี้ทำร้ายไปด้วย อันที่จริงในระบอบประชาธิปไตย น่าจะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้มากกว่านี้ และหวังว่าการผลักดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่จะเกิดขึ้นจะรวมผู้ต้องขังคดี 112 ด้วย” สมโภชน์กล่าว
เจี๊ยบ คนเสื้อแดงในพื้นที่โคราช เป็นอีกคนหนึ่งที่ร่วมจัดงานให้กำลังใจเจ๊แดง กล่าวว่า ช่วงแรกของการเคลื่อนไหวกลุ่ม เสื้อแดงในพื้นที่โคราชนั้นมีจำนวนไม่มากนัก เจ๊แดงเป็นคนหนึ่งที่ออกมาเคลื่อนไหวตั้งแต่ช่วงแรกๆ จนกระทั่งปัจจุบันจึงเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยมีแรมโบ้อีสานเป็นตัวเชื่อมประสานในพื้นที่กับส่วนกลาง อย่างไรก็ตาม ลักษณะการรวมกลุ่มของคนเสื้อแดงในพื้นที่นั้นแบ่งเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยตามอำเภอต่างๆ มีลักษณะเป็นอิสระต่อกัน ตัวเธอเองก็นับเป็น “แดงอิสระ” ที่เคลื่อนไหวกับหลายกลุ่ม บางกลุ่มก็มีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามปกติ
“โคราชค่อนข้างเป็นเมืองอำมาตย์ ก็อย่างที่รู้กันว่าบ้านใคร แม่แดงถือเป็นผู้อาวุโส เป็นดีเจแล้วก็ออกจะปากร้ายหน่อย ที่ผ่านมาเคยร่วมกิจกรรมด้วยกันก็ช่วงที่ทางโคราชทำกิจกรรมเทเลือดที่หน้าบ้านเปรมนั่นแหละ” เจี๊ยบกล่าว
หากนับความแตกแยกทางการเมืองตั้งแต่ช่วงก่อนและหลังรัฐประหารต่อเนื่องจนปัจจุบัน กรณีของปภัสชนัญญ์ หรือ เจ๊แดง โคราช น่าจะถือเป็นคดีมาตรา 112 คดีแรกๆ ที่สิ้นสุดถึงชั้นศาลฎีกา เป็นคดีภูธรที่การพิจารณาคดีดำเนินไปอย่างค่อนข้างเงียบเชียบ และน่าจะยังไม่มีใครได้มีโอกาสเห็นคำพิพากษาฎีกาฉบับเต็ม ขณะที่ปัจจุบันเจ้าตัวยังคงยืนยันถึงความจงรักภักดี พร้อมกับเตรียมขอพระราชทานอภัยโทษในเร็วๆ นี้
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar