โดย ราษฎรไทย
๑๙ ก.ย.๔๙ - ๑ ม.ค.๕๗" ๘ ปี ที่ฝ่ายประชาธิปไตยยืนยัดต้านทานอิทธิพลของ"อำนาจมืดมือที่มองเห็น"มาได้ โดยมีรัฐบาลมีรัฐสภาจากการเลือกตั้งของประชาชน สองครั้ง มีนายกพระราชทานสองครั้ง(ยุทธเขายายเที่ยง -มาร์ค ม.๗" นอกจากนี้ประชาชนได้มีการตื่นตัวพัฒนาตัวเองสนใจติดตามข่าวคราวเรื่องการเมือง ได้รับรู้ความจริงต่างๆเกี่ยวกับความเป็นมาของระบอบ" อันธพาลราชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข " ที่ได้ใช้ทหารทำลายการเติบโตของระบอบประชาธิปไตยมายาวนานอย่างต่อเนื่อง เริ่มหลังจากรัชกาลที่เก้า ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ จากปี ๒๔๘๙-๒๕๕๗ นับเป็นเวลา ๖๘ ปี ใช้ทหารยึดอำนาจมา๑๘ครั้ง
ดังนั้น เวลา๘ ปี หลังจากยึดอำนาจ ๑๙ ก.ย.๔๙ ถือได้ว่าพลังของฝ่ายประชาธิปไตยมีความเติบโตก้าวหน้า มีการตื่นตัวอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอดีตของการต่อสู้ที่ผ่านมา ดังนั้นพลังมวลชนที่เข้าใจฐานะของตัวเองในเรื่อง"สิทธิหน้าที่" ของคำว่า "หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง" คือรู้ว่าประชาชนไทยทุกคนเป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน ไม่ใช่ยกให้ใครคนใดคนหนึ่ง หรือกษัตริย์และครอบครัว เป็นเจ้าของคนเดียว....นอกจากนี้ทุกคนต้องรู้จักหวงแหนสิทธิเสรีภาพคุณค่าของความเป็นคน ไม่ยอมให้ใครมากดขี่ข่มเหงบังคับให้ไปเป็นทาส หรือ ไพร่ภายใต้ระบอบเผด็จการกษัตริย์
การต่อสู้เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงยังอีกยาวไกล ขณะนี้พี่น้องประชาชนไทยเพื่อนร่วมชาติทุกคนมีการตื่นตัวมีความพร้อม มีความมุ่งมั่น มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง รวมพลังสามัคคี ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนไทยไม่เคยมีความพร้อมเหมือนครั้งนี้ เพราะประชาชนเข้าใจรู้ความจริงแล้วว่า มีพวก "เหลือบศักดินา" พวกกาฝากสังคม ที่ทำนาบนหลังคน คอยดูดกินทรัพยากรผลประโยชน์ของประเทศชาติและเลือดเนื้อแรงงานของประชาชนทั้งประเทศอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังได้ทำลายขัดขวางการพัฒนาของระบอบประชาธิปไตยอยู่ตลอดเวลา การติดอาวุธทางปัญญาคืออาวุธที่สำคัญใช้ในการต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกันศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลข่าวสารและหลักทฤษฎีการต่อสู้จาก "ความจริง"ทางประวัติศาสตร์ค้นหาหลักฐาน เกี่ยวกับฝ่ายพวกเหลือบศักดินาเผด็จการและอำมาตย์ทรราชที่เป็นเจ้าของระบอบ" อันธพาลราชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข " มาเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ว่า "..พวกอำอำมาตย์ก็คือคนธรรมดาเหมือนเรา ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรมาจากไหน"...เก่งอย่างเดียวคือสั่งให้สมุนข้าทาสเข่นฆ่าประชาชนเพื่อรักษาอำนาจของครอบครัวตัวเองเท่านั้น...
โดย ลูกชาวนาไทย
เราประเมินอำมาตย์สูงเกินไป 8 ปี แล้วพวกเขายังไม่ชนะ ทำไมมองพวกเขาสูงเกินไป
ผมว่า "เราประเมินอำมาตย์สูงกันเกินไป" 8 ปี แล้วพวกเขายังไม่ชนะ ทำไมมองพวกเขา "สูงเกินไป" เก่งเกินไป ทั้งๆ ที่สู้ 8 ปีแล้วไม่ชนะ ผมคิดว่า "พวกเรา ยึดติดกับภาพอดีต" ที่กลุ่มอำมาตย์ชนะหลายครั้ง "ในสงครามระหว่างชนชั้นนำ" ด้วยกันเอง เรายึดติดภาพนั้นแล้วเอามาประเมินสถานการณ์ทางการเมืองในตอนนี้
หากเราไม่ประเมินอำมาตย์ให้ถ่องแท้ว่าเขาชนะในอดีตเพราะอะไร แล้วคิดว่าเขาจะทำได้อย่างเดิมอีก ทั้งๆ ที่ปัจจัยสภาพแวดล้อม ความเชื่อ อุดมการณ์ และสถานการณ์โลก รวมทั้งคู่ต่อสู้ของระบอบอำมาตย์ก็ไม่เหมือนดิม คือไม่ใช่ชนชั้นนำที่มีฐานมาจากทหาร แต่เป็นประชาชนกว่าค่อนประเทศ
ก็เหมือนกับ "นักมวยชกในรุ่นนี้ก็ชนะตลอด แต่พอข้ามรุ่นอาจโดนน็อค เราจึงไม่ควรใช้อดีตทั้งหมด มากำหนดอนาคต เราควรประเมินกำลังเขาจริงๆ ในสถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบันมากกว่า
ประชาชนที่ "สนับสนุนอำมาตย์" ในตอนนี้นั้นเหลือไม่ถึงครึ่ง จากที่แต่ก่อนมีประชาชนทั้งประเทศสนับสนุน แต่พวกเขามีอิทธิพลในองค์กรอิสระ ในผู้บริหารมหาลัย และในระบบตุลาการ แต่มีอิทธิพลน้อยลงในกองทัพ และตำรวจ
ในส่วนของระบบ "ราชการที่ต้องขึ้นตรงต่อรัฐบาล" นั้น อำมาตย์มีอิทธิพลไม่มากจนถึงกับสามารถสั่งซ้ายหันขวาหันได้ แต่องค์กรนอกเหนือฝ่ายบริหาร เขามีอิทธิพลอยู่พอสมควร
สรุปแล้ว อำมาตย์มีอิทธิพลในวงการตุลาการ ซึ่งเป็นที่มาองค์กรอิสระทั้งหลายในขณะนี้ รวมทั้งวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งด้วย รวมทั้งผู้บริหารมหาลัย ส่วนในกองทัพนั้นไม่เต็มที่จนสามารถสั่งซ้ายหันขวาหันยอมตายแทนได้ นอกจากนี้ก็มีอิทธิพลน้อยและชี้ขาดไม่ได้ในวงการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน
เมื่อพิจารณา "ฐานกำลังจริง ๆ ของอำมาตย์แล้ว ก็ไม่ชี้ขาดได้ว่า "อำมาตย์มีอิทธิพลจริงๆ เหนือฝ่ายประชาธิปไตย" แบบเทียบกันไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วมีอำนาจชี้ขาดสถานการณ์น้อยกว่าในอดีตมาก
โดย อบอริจิ้น
เราไม่ได้ประเมินพวกเขาสูงหรือต่ำเกินไปครับ เราประเมินพวกเขาเท่าเดิม..
ประชาชนที่สนับสนุนอำมาตย์ถ้าหมายถึงพวกคลั่งชาติคลั่งxxยังมีเท่าเดิมครับ
แต่ประชาชนที่รู้ความจริงว่าใครคืออำนาจมืดของอำมาตย์นั้นมีเพิ่มขึ้น
เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของโลกการติดต่อสื่อสารครับ
อธิบายง่ายๆคือปี48 49 ฝั่งเรายั่งเฉยๆให้ฝ่ายเขากระหน่ำด้วยข้อมูลลวง
โดยที่ประชาชนส่วนหนึ่งยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารแบบเรียลไทม์ได้เหมือนตอนนี้ไงครับ
ถึงตอนนี้ที่การติดต่อสื่อสารดีขึ้นรวดเร็วขึ้น คนฝ่ายเราก็มากขึ้น แต่ฝ่ายเขาเท่าเดิมครับ
ที่บอกว่าพวกอำมาตย์อำนาจมืดมีอิทธิพลใน ตุลาการ องค์กรอิสระ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย นี้เห็นด้วยครับ
ซึ่งแค่นั้นก็ครอบคลุมองค์กรต่างๆในสังคมอย่างมากอยู่แล้ว
แต่ที่บอกว่ามีอิทธิพลน้อยลงในกองทัพและตำรวจนั้นไม่เห็นด้วยในส่วนกองทัพครับ
กองทัพกลายเป็นองค์กรอิสระแล้วหลังปี49และปี51ที่พวกเขาได้พรบ.จัดระเบียบกลาโหม
กองทัพมันเป็นตัวของมันเองมันเลือกพวกกันเองสืบทอดทายาทผบ.ตำแหน่งต่างๆ
พวกอำมาตย์พึ่งพากองทัพเป็นหลักประกันอำนาจของพวกเขา
กลับกันพวกกองทัพอาศัยอำมาตย์เพื่อได้ยศฐาบรรดาศักดิ์
ทั้งคู่เป็นเพื่อนคู่คิด และอำมาตย์ยังมีอิทธิพลต่อกองทัพเท่าเดิม...
ตราบใดที่รมต.กลาโหมของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งคอนโทรลกองทัพไม่ได้เหมือนตำรวจ
พวกกองทัพและอำมาตย์อำนาจมืดก็สังวาสกันแบบนี้เช่นเดิม...
ในส่วนข้าราชการ ส่วนมากพวกนี้คือระบบอันอุ้ยอ้ายที่รับใช้อำมาตย์ดีๆนี่เอง
แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเมื่อเจอการบังคับบัญชาอันชาญฉลาดของรัฐบาล
และพวกนี้ส่วนมากก็พอใจที่จะอยู่อย่างสุขสบายในระบบอำมาตย์นี้
และพวกนี้จะไม่ยอมพัฒนาปฎิรูปตัวเองแบบที่ทักษิณเคยจะทำแล้วเจอแรงสะท้อนกลับครับ
สรุปคืออำมาตย์อำนาจมืดยังมีอิทธิพลไปทุกวงการเป็นส่วนมากเช่นเดิม
แต่อำนาจชี้ขาดสถานการณ์ของพวกเขาน้อยลงกว่าในอดีตจริงเช่นที่คุณลูกชาวนาไทยบอก
นั้นเพราะการขยายตัวของข้อมูลข่าวสาร ข่าวสารสามารถแพร่อย่างรวดเร็ว
จากตึกสูงระฟ้าในเมืองหลวงไปสู่หมู่บ้านซ่อมซ่อในป่าเขาตราบที่คลื่นข้อมูลสามารถส่งถึง...
นั่นทำให้พวกเขากลัว กลัวว่าจะควบคุมผู้คนไม่ได้ ไม่มีเวลาที่จะสร้างข้อมูลลวงมาหลอกอีก
ครั้งต่อไปถ้าพวกเขาทำแบบผิดๆอีก การนัดหมายด้วยเฟสบุค ทวิตเตอร์ ไลน์ ของคนที่ต่อต้าน
เหมือนเช่นอาหรับสปริงก็อาจจะเกิดขึ้น
ซึ่งจะรวมผู้คนได้รวดเร็วมากมายซะบางทีพวกเขาไม่มีเวลาประเมินสถานการณ์
หรือคาดเดาจุดจบได้..นั่นคือสิ่งที่พวกเขาไม่แน่ใจ
ทุกวันนี้พวกเขารอเยาวชนคนใหม่ๆที่เกิดไม่ทันเหตุการณ์ในอดีตเข้ามาเป็นพวกเสมอ
และหวังที่จะควบคุมและเพิ่มปริมาณเด็กที่จะโตเป็นผู้ใหญ่พวกนี้ให้มาก
และให้ฝ่ายต้านอย่างพวกเราปัจจุบันล้มหายตายจากหรือทะเลาะขัดแย้งกัน จนหายไปเอง.....
by byg60
ก็คงต้องประเมินแบบพอดีพอดี ไม่สูงเกินไปเพราะจะทำลายขวัญพวกเราเอง และก็ต้องไม่ต่ำเกินไปอันจะนำไปสู่ความประมาท เราแข็งแรงขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่เขาอ่อนแอลงกว่าเก่า ก็เพราะบทพระเอกนางเอกที่พวกเราแสดงต่อประชาชนนั่นแหละ ซึ่งที่จริงนั่นไม่ใช่การแสดงที่ไม่มีความจริงใจ แต่นั้นเป็นความรู้สึกในใจที่มีต่อประชาชนทั่วประเทศจริงๆ เพราะใช้ความจริงใจซื้อใจ เราจึงเข้มแข็งขึ้นทุกวัน ส่วนเขามุ่งใช้ความหลอกลวงทำร้ายคน เขาจึงอ่อนแอลงทุกวัน ไม่มีไครชอบการทำร้ายหรอก
ที่เรายังไม่ปะทะตรงๆแบบเด็ดขาด ก็ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ความจริงใจต่อประเทศ ความจริงใจต่อประชาชน ไม่อยากให้เดือดร้อนและเสียหายมากกว่านี้ ซึ่งถ้าเกิดมันฟื้นฟูยากมาก แต่ก็ไม่ใช่ไม่ระวังความอำมหิตของเขา ทราบดีว่ามีช่องนิดเดียว อาจถึงจบทันที เครื่องมือสำคัญของเขาตอนนี้ ชัดเจนว่าเหลืออยู่เพียงองค์กรอิสระทั้งหมด และกระบวนการของตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งก็ไม่เต็มร้อย ที่รักษาจรรยาบรรณยังมีอยู่บ้าง ซึ่งต้องใช้เวลา ในการกันคนพวกนี้ออกไป อย่างน้อยต้องแก้ รธน.ก่อน
นอกนั้น ไม่มีส่วนใหนที่เราเสียเปรียบ เรารู้เขาดี ในขณะที่เขาไม่ได้รู้เราแจ่มแจ้งเลยว่ามีอะไรอยู่ในมือบ้าง อาจสงสัยแต่ไม่มั่นใจเต็มร้อย มันยากและช้าตรงที่ พวกเรามุ่ง"แบ่งแยกแล้วแก้ไข"ให้อยู่ร่วมกันได้แบบพอดีๆ แต่พวกเขาไม่เหลืออะไรให้เห็นแล้วว่ายังมีน้ำใจของพี่น้องร่วมประเทศ เขามุ่งอย่างเดียวคือ"แบ่งแยกแล้วกำจัด" สาเหตุที่เราเลือกแบ่งแยกแล้วแก้ไขก็เพราะมองดูรอบๆบ้าน ส่วนมากก็เป็นแบ่งแยกแล้วแก้ไขทั้งนั้น ประเทศไดแบ่งแยกแล้วกำจัดมักไม่เหลือทรากให้เห็น ฆ่ากันตายหมด
เขาหดแคบลง ในขณะที่เราขยายกว้างขึ้น มวลชนของเขาที่ระดมได้จริงๆ มีแต่ภาคไต้เท่านั้น ซึ่งก็รู้อยู่ว่าบูชาตัวบุคคล ไม่บูชาเหตุผล เขาปลูกฝังกันมายาวนาน ต้องค่อยๆแก้ไข เครื่องมือทางด้านกฏหมาย ก็เหลือแต่องค์อิสระทั้งหมดและตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ แก้ไขด้วยการยืนอยู่บนหลักกฏหมายอย่างมั่นคงอย่าขยับออกจากที่ให้เขาเล่นงานได้ เมื่อมั่นคงดีแล้วจึงหาทางแก้ รธน.อันเป็นกฏหมายแม่เสีย ทุกอย่างก็จะจบแบบบริบูรณ์ ไม่เสียหายมาก แต่ว่ามันต้องใช้ความพยายามมากเช่นกัน
หากเราไม่ประเมินอำมาตย์ให้ถ่องแท้ว่าเขาชนะในอดีตเพราะอะไร แล้วคิดว่าเขาจะทำได้อย่างเดิมอีก ทั้งๆ ที่ปัจจัยสภาพแวดล้อม ความเชื่อ อุดมการณ์ และสถานการณ์โลก รวมทั้งคู่ต่อสู้ของระบอบอำมาตย์ก็ไม่เหมือนดิม คือไม่ใช่ชนชั้นนำที่มีฐานมาจากทหาร แต่เป็นประชาชนกว่าค่อนประเทศ
ก็เหมือนกับ "นักมวยชกในรุ่นนี้ก็ชนะตลอด แต่พอข้ามรุ่นอาจโดนน็อค เราจึงไม่ควรใช้อดีตทั้งหมด มากำหนดอนาคต เราควรประเมินกำลังเขาจริงๆ ในสถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบันมากกว่า
ประชาชนที่ "สนับสนุนอำมาตย์" ในตอนนี้นั้นเหลือไม่ถึงครึ่ง จากที่แต่ก่อนมีประชาชนทั้งประเทศสนับสนุน แต่พวกเขามีอิทธิพลในองค์กรอิสระ ในผู้บริหารมหาลัย และในระบบตุลาการ แต่มีอิทธิพลน้อยลงในกองทัพ และตำรวจ
ในส่วนของระบบ "ราชการที่ต้องขึ้นตรงต่อรัฐบาล" นั้น อำมาตย์มีอิทธิพลไม่มากจนถึงกับสามารถสั่งซ้ายหันขวาหันได้ แต่องค์กรนอกเหนือฝ่ายบริหาร เขามีอิทธิพลอยู่พอสมควร
สรุปแล้ว อำมาตย์มีอิทธิพลในวงการตุลาการ ซึ่งเป็นที่มาองค์กรอิสระทั้งหลายในขณะนี้ รวมทั้งวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งด้วย รวมทั้งผู้บริหารมหาลัย ส่วนในกองทัพนั้นไม่เต็มที่จนสามารถสั่งซ้ายหันขวาหันยอมตายแทนได้ นอกจากนี้ก็มีอิทธิพลน้อยและชี้ขาดไม่ได้ในวงการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน
เมื่อพิจารณา "ฐานกำลังจริง ๆ ของอำมาตย์แล้ว ก็ไม่ชี้ขาดได้ว่า "อำมาตย์มีอิทธิพลจริงๆ เหนือฝ่ายประชาธิปไตย" แบบเทียบกันไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วมีอำนาจชี้ขาดสถานการณ์น้อยกว่าในอดีตมาก
โดย อบอริจิ้น
เราไม่ได้ประเมินพวกเขาสูงหรือต่ำเกินไปครับ เราประเมินพวกเขาเท่าเดิม..
ประชาชนที่สนับสนุนอำมาตย์ถ้าหมายถึงพวกคลั่งชาติคลั่งxxยังมีเท่าเดิมครับ
แต่ประชาชนที่รู้ความจริงว่าใครคืออำนาจมืดของอำมาตย์นั้นมีเพิ่มขึ้น
เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของโลกการติดต่อสื่อสารครับ
อธิบายง่ายๆคือปี48 49 ฝั่งเรายั่งเฉยๆให้ฝ่ายเขากระหน่ำด้วยข้อมูลลวง
โดยที่ประชาชนส่วนหนึ่งยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารแบบเรียลไทม์ได้เหมือนตอนนี้ไงครับ
ถึงตอนนี้ที่การติดต่อสื่อสารดีขึ้นรวดเร็วขึ้น คนฝ่ายเราก็มากขึ้น แต่ฝ่ายเขาเท่าเดิมครับ
ที่บอกว่าพวกอำมาตย์อำนาจมืดมีอิทธิพลใน ตุลาการ องค์กรอิสระ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย นี้เห็นด้วยครับ
ซึ่งแค่นั้นก็ครอบคลุมองค์กรต่างๆในสังคมอย่างมากอยู่แล้ว
แต่ที่บอกว่ามีอิทธิพลน้อยลงในกองทัพและตำรวจนั้นไม่เห็นด้วยในส่วนกองทัพครับ
กองทัพกลายเป็นองค์กรอิสระแล้วหลังปี49และปี51ที่พวกเขาได้พรบ.จัดระเบียบกลาโหม
กองทัพมันเป็นตัวของมันเองมันเลือกพวกกันเองสืบทอดทายาทผบ.ตำแหน่งต่างๆ
พวกอำมาตย์พึ่งพากองทัพเป็นหลักประกันอำนาจของพวกเขา
กลับกันพวกกองทัพอาศัยอำมาตย์เพื่อได้ยศฐาบรรดาศักดิ์
ทั้งคู่เป็นเพื่อนคู่คิด และอำมาตย์ยังมีอิทธิพลต่อกองทัพเท่าเดิม...
ตราบใดที่รมต.กลาโหมของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งคอนโทรลกองทัพไม่ได้เหมือนตำรวจ
พวกกองทัพและอำมาตย์อำนาจมืดก็สังวาสกันแบบนี้เช่นเดิม...
ในส่วนข้าราชการ ส่วนมากพวกนี้คือระบบอันอุ้ยอ้ายที่รับใช้อำมาตย์ดีๆนี่เอง
แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากนักเมื่อเจอการบังคับบัญชาอันชาญฉลาดของรัฐบาล
และพวกนี้ส่วนมากก็พอใจที่จะอยู่อย่างสุขสบายในระบบอำมาตย์นี้
และพวกนี้จะไม่ยอมพัฒนาปฎิรูปตัวเองแบบที่ทักษิณเคยจะทำแล้วเจอแรงสะท้อนกลับครับ
สรุปคืออำมาตย์อำนาจมืดยังมีอิทธิพลไปทุกวงการเป็นส่วนมากเช่นเดิม
แต่อำนาจชี้ขาดสถานการณ์ของพวกเขาน้อยลงกว่าในอดีตจริงเช่นที่คุณลูกชาวนาไทยบอก
นั้นเพราะการขยายตัวของข้อมูลข่าวสาร ข่าวสารสามารถแพร่อย่างรวดเร็ว
จากตึกสูงระฟ้าในเมืองหลวงไปสู่หมู่บ้านซ่อมซ่อในป่าเขาตราบที่คลื่นข้อมูลสามารถส่งถึง...
นั่นทำให้พวกเขากลัว กลัวว่าจะควบคุมผู้คนไม่ได้ ไม่มีเวลาที่จะสร้างข้อมูลลวงมาหลอกอีก
ครั้งต่อไปถ้าพวกเขาทำแบบผิดๆอีก การนัดหมายด้วยเฟสบุค ทวิตเตอร์ ไลน์ ของคนที่ต่อต้าน
เหมือนเช่นอาหรับสปริงก็อาจจะเกิดขึ้น
ซึ่งจะรวมผู้คนได้รวดเร็วมากมายซะบางทีพวกเขาไม่มีเวลาประเมินสถานการณ์
หรือคาดเดาจุดจบได้..นั่นคือสิ่งที่พวกเขาไม่แน่ใจ
ทุกวันนี้พวกเขารอเยาวชนคนใหม่ๆที่เกิดไม่ทันเหตุการณ์ในอดีตเข้ามาเป็นพวกเสมอ
และหวังที่จะควบคุมและเพิ่มปริมาณเด็กที่จะโตเป็นผู้ใหญ่พวกนี้ให้มาก
และให้ฝ่ายต้านอย่างพวกเราปัจจุบันล้มหายตายจากหรือทะเลาะขัดแย้งกัน จนหายไปเอง.....
by byg60
ก็คงต้องประเมินแบบพอดีพอดี ไม่สูงเกินไปเพราะจะทำลายขวัญพวกเราเอง และก็ต้องไม่ต่ำเกินไปอันจะนำไปสู่ความประมาท เราแข็งแรงขึ้นกว่าเก่า ในขณะที่เขาอ่อนแอลงกว่าเก่า ก็เพราะบทพระเอกนางเอกที่พวกเราแสดงต่อประชาชนนั่นแหละ ซึ่งที่จริงนั่นไม่ใช่การแสดงที่ไม่มีความจริงใจ แต่นั้นเป็นความรู้สึกในใจที่มีต่อประชาชนทั่วประเทศจริงๆ เพราะใช้ความจริงใจซื้อใจ เราจึงเข้มแข็งขึ้นทุกวัน ส่วนเขามุ่งใช้ความหลอกลวงทำร้ายคน เขาจึงอ่อนแอลงทุกวัน ไม่มีไครชอบการทำร้ายหรอก
ที่เรายังไม่ปะทะตรงๆแบบเด็ดขาด ก็ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ความจริงใจต่อประเทศ ความจริงใจต่อประชาชน ไม่อยากให้เดือดร้อนและเสียหายมากกว่านี้ ซึ่งถ้าเกิดมันฟื้นฟูยากมาก แต่ก็ไม่ใช่ไม่ระวังความอำมหิตของเขา ทราบดีว่ามีช่องนิดเดียว อาจถึงจบทันที เครื่องมือสำคัญของเขาตอนนี้ ชัดเจนว่าเหลืออยู่เพียงองค์กรอิสระทั้งหมด และกระบวนการของตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งก็ไม่เต็มร้อย ที่รักษาจรรยาบรรณยังมีอยู่บ้าง ซึ่งต้องใช้เวลา ในการกันคนพวกนี้ออกไป อย่างน้อยต้องแก้ รธน.ก่อน
นอกนั้น ไม่มีส่วนใหนที่เราเสียเปรียบ เรารู้เขาดี ในขณะที่เขาไม่ได้รู้เราแจ่มแจ้งเลยว่ามีอะไรอยู่ในมือบ้าง อาจสงสัยแต่ไม่มั่นใจเต็มร้อย มันยากและช้าตรงที่ พวกเรามุ่ง"แบ่งแยกแล้วแก้ไข"ให้อยู่ร่วมกันได้แบบพอดีๆ แต่พวกเขาไม่เหลืออะไรให้เห็นแล้วว่ายังมีน้ำใจของพี่น้องร่วมประเทศ เขามุ่งอย่างเดียวคือ"แบ่งแยกแล้วกำจัด" สาเหตุที่เราเลือกแบ่งแยกแล้วแก้ไขก็เพราะมองดูรอบๆบ้าน ส่วนมากก็เป็นแบ่งแยกแล้วแก้ไขทั้งนั้น ประเทศไดแบ่งแยกแล้วกำจัดมักไม่เหลือทรากให้เห็น ฆ่ากันตายหมด
เขาหดแคบลง ในขณะที่เราขยายกว้างขึ้น มวลชนของเขาที่ระดมได้จริงๆ มีแต่ภาคไต้เท่านั้น ซึ่งก็รู้อยู่ว่าบูชาตัวบุคคล ไม่บูชาเหตุผล เขาปลูกฝังกันมายาวนาน ต้องค่อยๆแก้ไข เครื่องมือทางด้านกฏหมาย ก็เหลือแต่องค์อิสระทั้งหมดและตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ แก้ไขด้วยการยืนอยู่บนหลักกฏหมายอย่างมั่นคงอย่าขยับออกจากที่ให้เขาเล่นงานได้ เมื่อมั่นคงดีแล้วจึงหาทางแก้ รธน.อันเป็นกฏหมายแม่เสีย ทุกอย่างก็จะจบแบบบริบูรณ์ ไม่เสียหายมาก แต่ว่ามันต้องใช้ความพยายามมากเช่นกัน
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar