กลุ่มเสียงประชาชนไทย (สปท.)
ในภาวะที่ประชาชนยากจนคนไทยต้องอดอยาก
งบประมาณไม่เพียงพอที่จะอุดหนุนดูแลการพัฒนาคุณภาพชีวิตอยู่แล้ว
แต่
บรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างก็
เร่งทำมาหากินประกอบการค้าขายและหาเงินกันมากมายทั้งเปิดร้านค้าและตั้ง
มูลนิธิเพื่อหากำไรและหาเงินบริจาคซึ่งเงินบริจาคหลักๆ
ก็เอาไปจากงบประมาณแผ่นดินที่เป็นเงินภาษีของประชาชน
และจากบริษัทห้างร้านและหน่วยธุรกิจต่างๆ
ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะรัฐวิสากิจ
แต่ในเมืองไทยกลับกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ หรือ
ทรงพระปรีชาสามารถ อาทิเช่น พระเจ้าหลานเธอศิริวรรณวลี
จากนักแบดมินตันทีมชาติที่ขณะแข่งในประเทศไทยใครก็ไม่กล้าเอาชนะก็อ้างว่า
เป็นพระปรีชาสามารถ
เมื่อแข่งขันแพ้ในเกมส์นานาชาติก็ผันตัวเองมาเป็นดีไซเนอร์ระดับโลก
ขนนางแบบไปเดินแฟชั่นในปารีส
โดยการบินไทยและรัฐบาลไทยเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายการเดินแบบที่ปารีส
ก็อ้างพระปรีชาสามารถ และหากใครมีโอกาสเดินทางไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ก็จะพบกับร้านค้าของทุกพระองค์ที่เปิดร้านค้าแข่งกับเอกชนโดยไม่ได้เสียค่า
เช่า
อธิเช่น ร้านสวนจิตรลดา ร้านภูฟ้า ร้านภูคำ
ร้านจุฬาพร ก็อ้างว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ เป็นต้น
ในบรรดาเจ้าฟ้าทุกพระองค์นี้ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ เป็น
เชื้อพระวงศ์ที่มีวิธีการหาเงินแบบเปิดเผยเป็นต้นแบบของเชื้อพระวงศ์ไทยที่
มีการกล่าวอ้างว่าเป็นพระปรีชาสามารถอย่างผิดปกติมากพระองค์หนึ่งที่จะได้
กล่าวถึงในโอกาสนี้
ดังจะเห็นได้ว่า
เป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวในโลกที่มีอายุมากจนพ้นวัยคือมีอายุกว่า 60
ปีแต่มีการเยินยอกันจนหลงตัวเองว่าเป็นผู้มีความสามารถยิ่ง
และพวกบริษัทภาพยนตร์ในประเทศไทยก็สอพลอกันกราบทูลเชิญไปเป็นนางเอกใน
ภาพยนตร์หลายเรื่อง แสดงทั้ง บทรัก บทโศก และ บทบู๊ เช่นเรื่อง เรื่องหนึ่งใจเดียวกัน
และ My best bodyguard เป็นต้น และในการดำเนินงานนี้ก็บีบบังคับให้ รัฐวิสาหกิจและห้างร้านต่างๆมาช่วยเป็นสปอนเซอร์จ่ายเงินให้เป็นทุนในการสร้างหนังเช่น
บริษัท ปตท.บริษัท การบินไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
เป็นวงเงินในแต่ละเรื่องไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท
ทั้งๆที่บริษัทภาพยนตร์เขาก็รวยกันอยู่แล้วแต่กลับไม่ต้องลงทุนหรือไม่ต้องเสี่ยงต่อการขาดทุนไดๆในการสร้างเลย
ปรากฏว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องของพระองค์มักจะไม่มีคนเข้าชม ก็เป็นภาระของ
กระทรวงศึกษาก็จะทำหน้าที่รีดไถโดยเกณฑ์เด็กนักเรียนควักเงินของพ่อแม่ซื้อตั๋วเข้าไปชม
ทำให้เกิดข่าวลือในประเทศไทยที่ไม่มีใครกล้าพูดว่าทูลกระหม่อมหญิงองค์โตทรงประกอบธุรกิจด้วยวิธีการพิเศษ
ในลักษณะเช่นนี้ ทำให้มีสินทรัพย์เพิ่มพูนอย่างรวดเร็วมากกว่า 2,000
ล้านบาท
นับตั้งแต่เสด็จกลับจากอเมริกา และ เลิกใช้นามสกุล เจนเซ่น ของอดีตสามี
พระปรีชาสามารถของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ที่จะได้นำมากล่าวนี้มีเป็นจำนวนมาก เฉพาะโครงการที่โดดเด่นเช่นโครงการ
To be number one ก็ใช้งบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข
ด้วยการทำมาหากินของอากู๋ แห่งบริษัทแกรมมี่ โดยเป็นที่รู้กันทั้งกรมสุขภาพจิตว่า
อากู๋เป็นคนช่วยทำโครงการและนำงบประมาณมาใช้แล้วมีเงินทอนถวายพระองค์ และอีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ โครงการ Miracle
Of Life (MOL)
ซึ่งหลายคนคงไม่ทราบในกิจกรรมก็สามารถหาดูได้จาก facebook
จากที่นี่
http://www.facebook.com/miracleoflifemag.fan แต่กิจกรรมที่ใครก็คาดไม่ถึงในความคิดริเริ่มที่ยอดเยี่ยมของพระองค์อย่างหาผู้ได้จะทาบเทียมได้นั่นก็คือ
ทรงรวบรวมมูลนิธิเก็บศพต่างๆที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัดเข้าเป็นเครือข่ายของ MOL
อย่างเป็นระบบ
ทั้งนี่พระองค์คงได้ความคิดมาจาก มูลนิธิปอเต็กตึ้ง และ มูลนิธิร่วมกตัญญู
ที่เป็นมูลนิธิเก็บศพชื่อดังของประเทศไทย ที่มีคนร่วมบริจาคมากที่สุด และขณะนี้ MOL
กำลังพัฒนาโครงการใหม่โดยจะทำธุรกิจในสายการสื่อสาร
โดยเตรียมการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ MOL และสถานีวิทยุเครือข่ายอีก
18 แห่งของพระองค์เอง
โดยจะต้องใช้งบประมาณเบื้องต้นทั้งหมด 230,400,000 บาท
(สองร้อยสามสิบล้านสี่แสนบาทถ้วน) แต่เงินก้อนแรกกลับขอสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นจำนวนเงิน
150,000,000 บาท
(หนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาทถ้วน)
โดยพระองค์ท่านได้ดำเนินการอย่างเปิดเผยในการของบประมาณจากรัฐ โดย นายสมภพ สีเลี้ยง ผู้อำนวยการสถานีวิทยุและโทรทัศน์
มิราเคิลออฟไลฟ์
ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ฯ ทำหนังสืออย่างเป็นทางการขอเงินภาษีไปใช้
150ล้านบาทนำเสนอต่อกระทรวงที่เกี่ยวข้องตามหนังสือและเอกสารโครงการที่แนบมาด้วย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอ้างกฎข้อบังคับราชการส่วนไหนมาปรับใช้
เพราะเป็นธุรกิจเอกชนแต่ใช้เงินราชการ หรือจะอ้างกิจการการสร้างภาพยนตร์มาเป็นต้นแบบ
ความจริงต่างๆเหล่านี้ยังมีอีกมาก กลุ่ม
ของเราพยายามจะหาข้อมูลมานำเสนอเพื่อให้พวกสลิ่มและพวกเสื้อเหลืองที่มีความ
จงรักภักดีต่อราชวงศ์ได้เกิดสติและเมื่อเห็นข้อมูลเช่นนี้แล้วดูซิว่าพวกเขา
ยังจะกล้าหลอกลวงตัวเองได้อีกต่อไปไหมว่าสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็น
เรื่องโกหก?
สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังที่อยู่ในประเทศไทยที่เกี่ยวกับการเสียสละของ ราชวงศ์ทุกวันนี้เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงทั้งๆที่พวกลูกหลานของเขาเองกลับไม่เคย เพียงพอที่จะหาเงินด้วยการขูดรีดประชาชนทั้งโดยทางตรงในรูปของการเรี่ยไร และการนำงบประมาณจากภาษีไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวอย่างฟุ่มเฟือย ซึ่งก็เห็นกันตำตาอยู่แต่ไม่ยอมพูดความจริงกัน แต่หากว่าพวกเขาจะแกล้งโง่และหลอกลวงกันเกี่ยวกับเรื่องเชื้อพระวงศ์เป็นผู้เสียสละกันต่อไปก็ทำไปเถิด แต่ขอให้คิดด้วยว่าจากผลของการยอมจำนนของพวกสลิ่ม และการสอพลอของนักวิชาการที่ขายตัวที่ประสานเสียงโกหกหลอกลวงประชาชนกันต่อไป และปล่อยให้เกิดการกดขี่ขูดรีด กันเช่นนี้ในที่สุดเมื่อผู้คนยากจนมากยิ่งขึ้นจนอดทนไม่ไหว และท่ามกลางการใส่ร้ายและเกลียดชังกันระหว่างคนทุกข์คนยากที่ถูกมอมเมากัน เช่นนี้ในที่สุดก็จะเกิดสงครามและนำมาซึ่งการสูญเสียชีวิตของคนยากจนด้วยกัน เอง ขอให้ผู้มีจิตใจเป็นธรรมทั้งหลายโปรดช่วยกันหาทางออกให้แก่สังคมไทยด้วย
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar