งบประมาณของกษัตริย์ล้นฟ้างบประชาจึงหายาก ( นี่คือสังคมทาสแบบใหม่)
10ตาสว่างสร้างวิกฤตไทยกลายเป็นรัฐล้มเหลว:
ต้องเร่งสร้างรัฐประชาธิปไตยประชาชน
นำเสนอต่อมหาชนโดย จอห์น ลี
ตาสว่างที่6:งบประมาณของกษัตริย์ล้นฟ้างบประชาจึงหายาก
งบประมาณแผ่นดินเก็บจากภาษีประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อมปัจจุบันมี
2,000,000 ล้านบาทเศษ
(ส่วนใหญ่เก็บภาษีไม่ได้เท่าจำนวนงบประมาณที่ตั้งเราเรียกว่าเป็นงบประมาณ
ขาดดุลส่วนที่ขาดจะต้องกู้มาเพิ่ม)
โดยแบ่งเป็นเป็นค่าใช้จ่ายงบเงินเดือนและสวัสดิการของข้าราชการและลูกจ้าง
สูงมากที่สุดกว่า 50%
(หลักการจัดงบประมาณถือว่าไม่ถูกต้องแต่ระบบราชการไทยเป็นของกษัตริย์มี
อำนาจเหนือรัฐบาล โดยเฉพาะข้าราชการทหาร
ดังนั้นรัฐบาลใหนก็ไม่กล้าไปลดขนาดจำนวนข้าราชการและปรับปรุงประสิทธิภาพให้
คุ้มกับเงินเดือนเพราะจะเกิดการต่อต้านแล้วก็ตามมาด้วยรัฐประหารดังเช่น
รัฐบาลทักษิณ), งบชำระหนี้เงินกู้ประมาณ 25% ที่เป็นงบของกษัตริย์ประมาณ10%
(ประมาณ200,000ล้านบาทเศษ) ที่เหลือ15% ทำทานให้ประชาชนกิน
ด้วยเหตุนี้วังจึงต่อต้านนโยบายรัฐสวัสดิการหรือนโยบายประชานิยม
รวมถึงนโยบายจำนำข้าวของทักษิณแต่เน้นให้ส่งเสริมเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจพอ
เพียงก็เพื่อจะได้ไม่ให้กระทบกับห่อเงินงบประมาณของวังในแต่ละปี
โดยไม่สนใจว่าคนยากจนจะทุกข์ยากลำบากไม่มีโอกาสในการที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิต
และประเทศชาติจะล้าหลังการพัฒนา
ค่าใช้จ่ายในราชสำนักทั้งหมดเริ่มตั้งแต่เงินเดือนของ กษัตริย์ พระราชินี,
พระบรมวงศานุวงศ์และเงินเดือนข้าราชการที่รับใช้ในวังทั้งหมดรวมทั้งที่ใช้
เลี้ยงหมา,
ค่าไฟฟ้าน้ำประปาและค่าใช้จ่ายในการแปรพระราชฐานรวมทั้งค่าใช้จ่ายงานศพของ
คนในพระราชวงศ์
ล้วนใช้จ่ายจากเงินภาษีของประชาชนและเป็นงบที่สมาชิกรัฐสภาห้ามอภิปรายและ
ปปช.ห้ามตรวจสอบ,
ปัญญาชนคนใหนที่บอกว่างบประมาณค่าใช้จ่ายของกษัตริย์ถูกกว่าและโปร่งใสกว่า
งบค่าใช้จ่ายของประธานาธิบดี ก็มาดูรายละเอียดกัน
1.งบประมาณของสำนักพระราชวังโดยตรง 6,000 ล้านบาทเศษ (โดยไม่รวมงบแฝง)
ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของราชสำนักที่เป็นเงินเดือนของกษัตริย์พระบรม
วงศานุวงศ์และขี้ข้าในวังทั้งหมดที่ทุกรัฐบาลต้องจัดตั้งให้ที่ปรากฎในพระ
ราชบัญัญัติงบประมาณประจำปีในหมวดสำนักพระราชวังอยู่ที่ 6,000 กว่าล้านบาท
(ในที่นี้ขอเสนอตัวเลขกลมๆรายละเอียดของเศษหาดูได้ในตัวร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดิน)
ซึ่งเท่ากับงบประมาณของกระทรวงขนาดกลางเช่นพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมโดยสำนัก
งานพระราชวังนำไปบริหารเอง
(แต่ความเป็นจริงงบค่าน้ำค่าไฟที่ตั้งไว้ก็ไม่จ่ายให้แก่หน่วยงานการไฟฟ้า
นครหลวงและการประปานครหลวงโดยติดหนี้ไว้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจก็ไม่กล้าทวง,
ซึ่งไม่รวมถึงค่าไฟฟ้าที่ฟระดับประดาอยู่รอบวังและที่ใช้ในวันเฉลิมพระชนม์
พรรษา)
2.งบประมาณส่งเสริมความมั่นคงสถาบันพระมหากษัตริย์ 20,000 ล้านบาทเศษ
เป็นงบประมาณที่ตั้งไว้ในทุกกระทรวงทบวงกรมโดยปรากฎในพระราชบัญญัติงบประมาณ
แผ่นดินในชื่อเดียวกันคือ "ส่งเสริมความมั่นคงสถาบันพระมหากษัตริย์"
รวมทุกกระทรวงแล้วประมาณ 20,000 ล้านบาทเศษ,
งบส่วนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของราชสำนักเป็น 2 ส่วน ดังนี้...
2.1 ตามโครงการประจำปีที่กำหนดไว้
ในแต่ละกระทรวงทุกหน่วยงานจะกำหนดงานส่วนนี้ไว้โดยถือเป็นภารกิจสำคัญที่
ทุกกระทรวงทบวงกรมต้องทำ
(คล้ายกับงบประมาณต่อต้านโรคเอดส์ในอดีตที่ทุกหน่วยงานต้องตั้งไว้)
เช่นป้ายและซุ้มโฆษณากษัตริย์และครอบครัวทั้งหมดทุกพระองค์ที่กระทรวงสาธารณ
สุข, กระทรวงมหาดไทย
(เช่นกรมการปกครอง,กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น,เทศบาล,อบต.,อบจ.),
กระทรวงคมนาคม (โดยเฉพาะกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท)
รวมถึงเงินที่ใช้เป็นค่ารถค่าอาหารและเบี้ยเลี้ยงประชาชนที่มหาดไทยสั่งให้
นำคนเข้าไปกรุงเทพเพื่อร่วมในงานเฉลิมพระชนม์พรรษาของกษัตริย์หรือราชินี
2.2ตามพระราชประสงค์แล้วแต่พระราชดำริ
หากพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในพระบรมวงศานุวงศ์นึกอยากจะทำอะไรขึ้นมาในเวลา
นั้นๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะนำเงินส่วนนี้ไปจ่ายตัวอย่างที่เป็นจริงเช่น
เมื่อคืนราชินีเกิดทรงพระสุบิน (ฝัน)
ถึงบูรพมหากษัตริย์ในรัชสมัยอยุธยาเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะรับสั่งว่าอยากจะ
เสด็จไปบูชาบูรพมหากษัตริย์ที่ทุ่งมะขามหย่อง จังหวัดอยุธยา
ก็จะต้องมีการจัดงานรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ์ด้วยเงินภาษีอากรของประชาชน
โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแม่งานจัดจ้างบริษัทเอกชนฟาร์มช้างอยุธยานำช้าง
มาทาสีเป็นช้างเผือกและบริษัทจัดงานจ้างนักร้องที่พระองค์ทรงโปรดมาขับกล่อม
และจ่ายเงินให้กำนันผู้ใหญ่บ้านนำลูกบ้านมาต้อนรับเป็นต้น
งบประมาณในส่วนนี้กระทรวงกลาโหมจะเป็นเจ้าภาพใหญ่
โดยตั้งงบประมาณลอยไว้ทั้งในสำนักงานปลัดกระทรวง, กองทัพบก, กองทัพเรือ,
กองทัพอากาศรวมถึงหน่วยงานเสณาธิการในทุกกองทัพแม้แต่ในภาวะที่กษัตริย์และ
ราชินีป่วยนอนอยู่ในห้องไอซียูโรงพยาบาลศิริราช
งบประมาณส่วนนี้ก็ไม่ลดลงและเมื่อสิ้นปีเงินส่วนนี้เหลือก็จัดแปลงโครงการ
ตามใจชอบของหัวหน้าส่วนราชการเช่นพาข้าราชการแต่ละส่วนงานไปเที่ยวต่าง
ประเทศภายใต้ชื่อว่าเป็นการดูงานต่างๆหรือนำไปใช้อะไรก็ได้โดยมักจะมีคำว่า
"เฉลิมพระเกียรติ์" เข้าไปด้วย
3.งบประมาณส่งเสริมแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง100,000ล้านบาทเศษ
กำหนดเป็นแผนประจำปีในส่วนงานที่เกียวข้องโดยเฉพาะในกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงเกษตร, กระทรวงกลาโหม
ซึ่งถือเป็นงบโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่งเพื่อสร้างภาพว่ากษัตริย์มีความห่วงใย
ต่อการดำรงชีวิตของประชาชน
ทั้งๆเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าเป็นโครงการที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเพราะ
ดำเนินการมานานกว่า 20 ปีแล้ว
แต่ประชาชนไม่เอาด้วยเริ่มตั้งแต่เอาเงินไปให้เปล่าแก่กำนันผู้ใหญ่บ้านทำ
สวนเกษตรเป็นต้นแบบรายละ 50,000
บาทและให้เงินเป็นเงินกู้แก่ประชาชนไปขุดบ่อน้ำเลี้ยงสัตว์แต่ก็ล้มเหลว
เพราะไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงในสังคมบริโภคสมัยใหม่ที่ประชาชนและพระ
ราชวงศ์ก็ต่างต้องการชีวิตที่สะดวกสะบายด้วยเครื่องไฟฟ้าและห้องแอร์คอนดิ
ชั่นและโทรศัพท์มือถือและการซื้อสินค้าจากตลาดแต่ ปรากฎว่าในปีนี้รัฐบาล
คสช. พลเอก ประยุทธ์
ก็สั่งการไปยังสำนักงบประมาณและเจ้ากระทรวงสำคัญที่ล้วนแล้วแต่ทหารนั่งเป็น
รัฐมนตรีให้เน้นเป็นกรณีพิเศษเพื่อเอาใจกษัตริย์และเพื่อแสดงต่อประชาชนว่า
เป็นรัฐบาลของกษัตริย์เพราะคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง"
เป็นแบรนด์สำคัญของกษัตริย์ภูมิพลไปแล้วโดยเพิ่มงบเป็นพิเศษเกือบ 200,000
ล้านบาท (ถ้าโครงการเศรษฐกิจพอเพียงดีจริงทำมานานกว่า 20 ปี
แล้วทำไมต้องเพิ่มงบขึ้นเรื่อยๆ?
และทำไมต้องประกาศหาผู้กล้าเหมือนจะต้องเสี่ยงไปออกรบ?) เช่นโครงการ
"คนกล้าคืนถิ่น" ที่ประกาศรับสมัคร 14 กพ. ถึง 9 มีค.58
โดยจะจัดที่ดินให้ผู้สมัครรายละ 2-3
ไร่และให้เงินทุนจำนวนหนึ่งไปทำบ่อเลี้ยงปลาปลูกข้าวและผักสวนครัวกินเองโดย
ไม่ต้องไปตลาดซึ่งก็เชื่อได้ว่าผลลัพธ์ก็จะล้มเหลวเหมือนที่เป็นมา,
ขอบอกล่วงหน้าว่าเราจะเห็นความสำเร็จเพียงแค่การจัดงานโชว์เริ่มต้นโครงการ
โดยมีประชาชนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนายอำเภอเกณฑ์มา
แสดงลครต้อนรับให้นายกฯถ่ายรูปในวันเปิดโครงการเท่านั้น
4.งบประมาณส่งเสริม "โครงการพระราชดำริ" 2,000 กว่าโครงการ ปีละ 100,000 ล้านบาทเศษ
เป็นงบโฆษณาชวนเชื่อของเจ้าอีกรูปแบบหนึ่งที่บอกกับสังคมว่ากษัตริย์มีความ
คิดดีแต่เนื้อแท้เป็นช่องทางทำมาหากินของพระบรมวงศานุวงศ์และราชนิกูลที่ทำ
โครงการแต่ใช้ชื่อกษัตริย์มาแป๊ะและหาอยู่หากินกันระยะยาวเลี้ยงตัวเองและ
บริวาร
แต่ใช้เงินภาษีประชาชนตั้งแต่ทำอ่างเก็บน้ำบ้านพักและพระราชวังเพื่อ
กษัตริย์และลูกหลานจะแปรพระราชฐาน (ไปเที่ยว) ไปดูงานแก้เหงา
เช่นกิจการปลูกผักดอกไม้,
ผลไม้เมืองหนาวบนภูเขา,แปรรูปผลผลิตทำข้าวเกรียบหัวผักกาดขาย,
งบประมาณนี้ส่วนใหญ่ผ่านทางกระทรวงพาณิชย์,
กระทรวงเกษตรและกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยมีหัวหน้าโครงการที่ส่วนใหญ่เป็นพวกเชื้อพระวงศ์โดยมีเงินเดือนกิน
และหลายโครงการเป็นโครงการเชิงพาณิชย์ที่ใช้เงินภาษีไปสนับสนุน
แต่เมื่อทำมาค้าขายได้กลับเป็นรายได้ส่วนตัวเช่นโครงการศิลปาชีพ,
โครงการดอยคำ, โครงการภูฟ้าเป็นต้น
ซึ่งเราจะเห็นร้านค้าและสินค้าต่างๆวางขายโดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ,
สนามบินดอนเมือง
และในพื้นที่ภาคเหนือและอีสานบางส่วนด้วยเหตุผลและข้ออ้างที่หลอกลวงประชาชน
ว่า เป็นการทำเพื่อประชาชนในพื้นที่ที่ราบสูงและเพื่อความมั่นคงแห่งรัฐ
(ถ้าราชสำนักมีประสิทธิภาพในการทำงานจริงก็ควรจะเลี้ยงตัวเองได้แล้วเพราะ
ใช้งบสนับสนุนมานานแล้วแต่ทุกวันนี้ยังต้องตั้งงบประมาณสนับสนุนทุกปี)
5. งบประมาณของวังที่แอบแฝงอยู่ในกระทรวงต่างๆโดยไม่ระบุจำนวนและไม่ระบุโครงการ
งบประมาณส่วนนี้เป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงและอธิบดีที่จะต้องจัดสรรเจียด
เงินจากงบประมาณปกติที่จะต้องบริการประชาชนไปสนับสนุนเช่นการซ่อมแซม
พระราชวังในจังหวัดต่างๆหรือปรับปรุงเส้นทางและค่าเบี้ยงเลี้ยงเจ้าหน้าใน
การเข้าเวรเฝ้ารักษาความปลอดภัยเนื่องจากพระบรมวงศานุวงศ์มีหมายกำหนดการจะ
เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นกรณีพิเศษโดยมิใช่เป็นแผนงานประจำปี
6.งบประมาณของวังที่แอบแฝงอยู่ใน "งบกลาง" ของสำนักนายกฯไม่ระบุจำนวน
งบกลางของสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นงบฉุกเฉินโดยหลักการจะนำไปใช้ในส่วนของภัย
สาธารณะต่างๆที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนโดยมิต้องระบุรายละเอียดโครงการ
ทำงานไว้ล่วงหน้าเหมือนงบอื่นๆที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.
งบประมาณซึ่งทุกครั้งงบกลางนี้จะถูกอภิปรายจากสภาอย่างหนักที่สุดเพราะเป็น
งบลอยที่ง่ายต่อการทุจริต (รัฐบาลถูกด่าแต่เจ้าใช้เงินโดยไม่มีใครรู้)
ซึ่งก่อนหน้าทักษิณเป็นนายกฯตั้งไว้ 50,000
ล้านบาทแต่นับตั้งแต่ทักษิณเป็นนายกฯเป็นต้นมางบนี้ก็เพิ่มเป็น 100,000
ล้านบาทและเมื่อประยุทธ์เป็นนายกฯได้เพิ่มเป็น 300,000 กว่าล้านบาท
งบกลางนี้รัฐมนตรีทุกคนรู้ว่าเป็นงบประมาณที่สำนักพระราชวังแฝงไว้สามารถ
หยิบใช้ได้เช่นงานจัดซื้อจัดจ้างตามพระราชประสงค์เป็นเงินก้อนใหญ่หรือใน
ส่วนที่รัฐบาลจำเป็นจะต้องซื้อของชิ้นใหญ่ๆถวายเพื่อเอาใจเช่นซื้อเครื่อง
บินส่วนพระองค์หรือรถยนต์ที่พระองค์ทรงชื่นชมหรือในโอกาสที่พระองค์เอ่ยปาก
ชอบรถยนต์ที่นายกฯใช้อยู่นายกฯที่รู้งานก็จะรีบเอาเงินส่วนนี้ซื้อถวาย
วิธีการเอาเงินงบกลางออกไปใช้ตามพระราชประสงค์ก็จะไม่เปิดเผยและไม่ให้เกิด
ข้อครหานินทาหรือไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้เป็นเงินก้อนใหญ่สำนักพระราชวังก็
จะประสานกับปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นการภายในเป็น
ความลับแล้วเลขาฯก็จะกระซิบบอกนายกให้ทราบ
โดยมีวิธีการปล้นเงินภาษีประชาชน 3 ขั้นตอนดังนี้...
โดยมีวิธีการปล้นเงินภาษีประชาชน 3 ขั้นตอนดังนี้...
1) ทุกวันอังคารจะเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีและวันศุกร์หรืออย่างช้าเย็นวัน จันทร์เจ้าหน้าที่จะนำเอกสารประกอบการประชุมไปให้รัฐมนตรีทุกคนแต่กรณีการขอ (หรือปล้น) งบกลางของราชสำนักจะไม่ยื่นเอกสารหรือแจ้งให้ทราบในวาระการพิจารณาของคณะ รัฐมนตรีแต่จะไปยื่นให้ตอนเช้าวันที่ประชุมที่มีศัพท์เรียกว่า "วาระจร"
2) พอถึง 9 โมงเช้าวันอังคารครม.เข้านั่งห้องประชุมนายกฯนั่งเป็นประธานการประชุมเลขาฯ ครม.จะจัดเจ้าหน้าที่มา 6 คนโดยถือและคุมเอกสารของราชสำนักเป็นความลับโดยเจ้าหน้าที่ 1คนคุมเอกสารให้รัฐมนตรี 6 คนดู (ครม.มี36คน, 6คูณ6=36)
3)รัฐมนตรีส่วนใหญ่ยังไม่ทันเปิดดูเอกสารที่เรียกว่าวาระจรนี้นายกฯก็จะพูด ใส่ไมโครโฟนว่า "สำนักพระราชวังเสนอมาขออนุมัตินะคะ (หรือนะครับถ้านายกเป็นผู้ชาย) แล้วครม.ก็จะต้องอนุมัติ
*ค่าใช้จ่ายอื่นๆเพื่อราชสำนักที่แฝงอยู่ในงานราชการอื่นๆนอกจากนี้มิได้รวม
ค่าใช้จ่ายไว้ในค่าใช้จ่ายเพื่อพระมหากษัตริย์ที่ปรากฎข้างต้นเช่นกระทรวง
การคลังออกโครงการธนบัตรที่ระลึกใบละ 60 บาท
ออกขายให้ประชาชนเป็นระยะๆแล้วนำเงินถวายครั้งละประมาณ 1,000 ล้านบาท,
การโฆษณาข่าวของราชสำนักเป็นกรณีพิเศษตอน 2
ทุ่มของทุกช่องโทรทัศน์ทุกวันซึ่งเป็นเวลาที่ดีที่สุดซึ่งหากตีราคาเป็นค่า
เช่าเวลาจะเป็นเงินมหาศาล,
หรือการเปิดร้านที่ใช้พื้นที่ที่ดีที่สุดในสนามบินสุวรรณภูมิแต่กลับไม่จ่าย
ค่าเช่า,
หรือการรับเงินและสิ่งของบริจาคต่างๆโดยไม่ต้องเสียภาษีรวมทั้งพระราชวัง
ทั่วประเทศไม่ได้เสียภาษีโรงเรือนก็จะเห็นว่าประชาชนต้องแบกรับภาระที่หนัก
อึ้งทั้งหมดนี้แทนกษัตริย์และราชวงศ์ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่เป็นธรรมแต่ยังเป็น
การลงทุนของรัฐที่ไม่เกิดผลประโยชน์กับประชาชนเลยอีกทั้งพระองค์ยังใช้อำนาจ
จับประชาชนที่ล่วงรู้ความไม่ถูกต้องหรือเพียงแค่สงสัยตั้งคำถามเข้าคุกโดย
ใช้กฎหมายพิเศษก็ยิ่งเห็นชัดว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง,
ดังนั้นหากจะ เปลี่ยนแปลงระบอบปกครองเป็น ระบอบประธานาธิบดีงบประมาณต่างๆสูญเปล่าเหล่านี้ก็จะถูกนำกลับมารับใช้ ประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนอย่างในสหรัฐอเมริกาเงินงบประมาณจะถูก ใช้อย่างมีประสิทธิภาพตรวจสอบได้ดังนั้นคุณภาพชีวิตของประชาชนจะดีขึ้นทันตา เห็น
*งบประมาณที่กษัตริย์นำไปใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งหมดนี้ทั้งก่อนและหลัง การพิจารณางบประมาณในสภาทั้งสส.และสว.ห้ามอภิปรายทั้งในสภาและนอกสภา
*ถ้าท่านผู้อ่านจะสงสัยและถามว่าก็ในเมื่อเป็นความไม่ถูกต้องและเป็นความ
จริงเช่นนี้ทำไมไม่มีใครสักคนเลยหรือที่จะกล้าพูด?,
คำตอบก็คือใครพูดก็คอขาดโดยจะมีคนไปแจ้งความจับในข้อหาพูดเท็จใส่ร้ายในหลวง
มาตรา 112
และผู้ต้องหาก็ไม่มีโอกาสพิสูจน์ในศาลและไม่มีโอกาสได้ประกันตัวในระหว่าง
การพิจารณาคดีด้วยและหัวหน้าพรรคหรือรัฐมนตรีในกระทรวงใดก็ไม่กล้าไปให้การ
ว่าเรื่องเหล่านี้เป็นความจริงเพราะทุกคนที่จะไปยืนยันข้อมูลก็จะเจอข้อหา
ตามมาและหมดความเจริญเติบโตในชีวิต, ดูตัวอย่างของจริงที่ พลตำรวจ
โทพงศ์พัฒน์
ฉายาพันธุ์
ผู้บัญชาสอบสวนกลางและพรรคพวกเป็นตัวอย่างที่เก็บส่วยหาเงินเลี้ยงเจ้าแท้ๆ
เมื่อถูกจับยังต้องปิดปากเงียบต้องสารภาพไม่อาจสู้คดีได้และทรัพย์สินทั้ง
หมดถูกรวบรวมออกขายทอดตลาดทั้งหมดทันทีอย่างรวดเร็วเพราะหากสู้คดีอาจจะเกิด
กรณีจำเลยในคดีกระโดดตึกตายและส่งเข้าเมรุเผาทันทีไม่ต้องพิสูจน์ศพและพระ
ไม่ต้องสวดบังสกุล
*ในโครงสร้างเผด็จการของกษัตริย์เช่นนี้ก็จะเห็นชัดว่าประชาชนต้องสูญเสีย
เงินภาษีเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อให้แก่กษัตริย์และพระราชวงศ์เป็นจำนวนมากแต่
เงินเหล่านั้นกลับย้อนมาทำลายความสงบของสังคมด้วยการก่อจราจลล้มทุกรัฐบาล
ที่มีความมั่นคงเพราะปรัชญาการปกครองของกษัตริย์ไทยคือ
"สถาบันกษัตริย์จะมั่นคงได้รัฐบาลของประชาชนต้องไม่มั่นคง"
"สถาบันกษัตริย์จะมั่นคงได้รัฐบาลของประชาชนต้องไม่มั่นคง"
คนไทยที่ยากจน
อยู่แล้วกลับต้องยิ่งยากจนขึ้น,ทั้งที่เสียภาษีอย่างหนักอยู่แล้วแต่ภาษี
กลับเป็นภัยย้อนมาหาตัวเองในรูปของความปั่นป่วนของสังคม
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar