måndag 18 juli 2016

บทเรียนจากกบฏสีเขียวในตุรกี กับกบฏ คสช ตอนที่ 3-จบ (18 ก.ค. 2559)

บทเรียนจากกบฏสีเขียวในตุรกี ตอนที่ 3-จบ (18 ก.ค. 2559)


"เราจะกวาดล้างเชื้อไวรัสให้สิ้นซาก" นี่คือคำประกาศกร้าวครั้งแล้วครั้งเล่าจากปากของ ไทยิป เออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี ผู้นำแนวร่วมมวลชนจนเอาชนะทหารกบฏที่ก่อการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลเลือกตั้ง ได้สำเร็จ "ไวรัส" ที่เขาเอ่ยถึง ในขณะนี้ถูกจับกุมคุมขังเป็นจำนวนถึงกว่าหกพันแล้ว ในจำนวนนึ้เป็นทหารอย่างเดียวถึงราวสามพันคนและเป็นนายทหารชั้นนายพลถึง ประมาณ 100 คน ตำแหน่งอย่างที่ในเมืองไทยเราเรียกว่า ห้าเสือกองทัพบ้างอะไรบ้าง รวมทั้งแม่ทัพภาคและผู้บัญชาการกองพลระดับเมืองหรือจังหวัดล้วนตกอยู่ในสภาพ ผู้ต้องขังไปหมดแล้วทั้งสิ้น
ผมติดตามเหตุการณ์ในตุรกีไปพร้อมกับเหตุการณ์ก่อการร้ายอันทารุณยิ่งที่ เมืองนีซของฝรั่งเศส เหตุฆ่าตำรวจในสหรัฐฯ ทั้งที่ดัลลัสและล่าสุดที่บาตองรูชในหลุยส์เซียน่า ตลอดจนการประชุมใหญ่พรรครีพับลิกันที่คลีฟแลนด์เพื่อเลือก โดนัลด์ ทรัมพ์ เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคนั้นในตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ แต่เรื่องของกบฏตุรกีขณะนี้มีประโยชน์ต่ออนาคตของเรามากที่สุด และผมก็ได้เขียนเรื่องนี้มาแล้ว 2 ครั้งใน 2 วันที่ผ่านมา วันนี้ขอเขียนเป็นตอนจบ เพื่อสรุปบทเรียนเอาไว้ใช้ ซึ่งผมเชื่อว่าคงจะได้ใช้ไม่นานนักนี้
ขอว่าไปเป็นข้อๆ เหมือนเดิมนะครับ จะได้โปร่งตาอ่านง่ายหน่อย

1. ท่านจะได้ยินผู้มีอำนาจในไทยทยอยกันออกมาพูดว่า อย่าเอาไทยไปเปรียบกับตุรกี เพราะไทยไม่เหมือนใคร คำพูดนี้ออกจากจากหัวใจท่ีกำลังกลัวอย่างหนักของคนที่รู้ว่าแพกำลังจะแตก เป็นการพูดปลอบใจตัวเองและพรรคพวกเท่านั้นเอง เหตุการณ์ในตุรกีครั้งนี้นำมาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ไทยได้โดยตรง และเปรียบเทียบได้ในหลายมิติ มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยสามารถนำบทเรียนตุรกีมาใช้ได้อย่างค่อนข้างตรง โดยผมจะยกตัวอย่างสั้นๆ ดังนี้:
- เมื่อทหารหรือฝ่ายความมั่นคงก่อกบฏ ประชาชนมีสิทธิที่จะจ้องเอาอำนาจนั้นคืนเมื่อได้จังหวะดี และกระทำการ "มวลชนจับกุม" หรือ citizen's arrests ได้ในทันทีที่มีโอกาส
- ทหารไม่มีสิทธิก่อรัฐประหาร สิ่งเดียวที่ทำให้เกิดขึ้นได้คือ 1) อาวุธยุทโธปกรณ์และวิธีทหาร 2) การตอกย้ำเรื่องวินัยทหารจนผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่าง หลักการนี้นำไปสู่ข้อแรก เมื่อผู้คนเหล่านี้ไม่มีสิทธิเหนือเรา เราก็มีสิทธิดำเนินการกับคนเหล่านี้ได้ แต่ต้องกระทำการอย่างไม่บ้าบิ่น
- เครือข่ายรัฐประหารในตุรกีไม่ใช่มีเฉพาะทหาร ทหารเป็นเพียง กำลังหลัก และ ใบหน้า (public face) ที่ปรากฎขึ้นเท่านั้น ผู้คนเหล่านึ้ยังประกอบด้วยนักกฎหมายในตำแหน่งต่างๆ เช่น ผู้พิพากษา อัยการ กฤษฎีกา องค์กรอิสระ เป็นต้น เราจึงเห็นการจับกุมที่กว้างขวางไปในวงการต่างๆ ทั่วสังคมตุรกี แม้แต่ดารานักแสดงบางคนก็ถูกจับกุมแล้วในขณะนี้
- ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มวลชนตุรกีกลับมาชนะทหารคือ เขาไม่กลัวคำประกาศห้ามออกนอกเคหสถานหรือ curfew และออกมาส่งเสียงโห่ร้องเกลื่อนถนนทั้งในนครหลวงแองการ่า เมืองใหญ่อย่างอิสตันบุล และเมืองอื่นๆ ทั่วประเทศตุรกี ความไม่กลัวนี้เองที่ทำให้ทหารในท้องถนนเกิดความรวนเร บางคนถึงกับทิ้งอาวุธวิ่งหนีเอาดื้อๆ
- ผู้นำและแกนนำตุรกีไม่มีความลังเลใจใดๆ เลยในการรวมพลขึ้นสู้ เขาชัดเจนเด็ดขาดตั้งแต่นาทีแรกว่าจะไม่ยอมรับการก่อรัฐประหารและเรียกร้อง ให้ประชาชนลุกขึ้นสู้ ความสำเร็จจึงเป็นของเขาในที่สุด ความชัดเจนอย่างนี้เป็นเงื่อนไขที่สำคัญ

2. ในประเด็นว่าการรัฐประหารมีผู้อยู่เบื้องหลังนั้น ตุรกีใช้วิธีการ "จับก่อน-ผ่อนทีหลัง" และปิดน่านฟ้าของประเทศอย่างไม่มีกำหนด นี่คือที่มาของการยิงเฮลิคอปเตอร์ของฝ่ายกบฏร่วงลำหนึ่งเมื่อวานนี้ (ข่าวว่าในซากเครื่อง มีซากศพของแม่ทัพภาคที่ 1 ผู้บังคับการกองพลที่ 3 และทีมงานอีก 3 คน) วิธีกวาดจับหรือแบบปูพรม (carpet or sweeping arrests) ส่งผลให้องค์กรนำของฝ่ายกบฏสลายลงอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถปรับยุทธวิธีเพื่อการต่อสู้ในยกต่อไปได้
เราควรสังเกตการแบ่งงานของฝ่ายประชาธิปไตยในการรับมือกับกบฏกองทัพ เขารู้ดีว่ากองทัพคือองค์กรจัดตั้งที่สมบูรณ์แบบและมีประสิทธิภาพที่สุด องค์กรหนึ่งของประเทศ การรับมือกับกบฏลักษณะนึ้จึงต้องใช้การโต้กลับที่หลากหลายมิติ จะทำแบบมวยวัดไม่ได้เป็นอันขาด ความจริงยังมีข้อมูลที่ลึกกว่านี้อีกมาก แต่ผมขออนุญาตเล่าตรงนี้เพียงเท่านี้ และนำข้อมูลที่เหนือกว่านี้ไปมอบให้กับผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงจะเหมาะสมกว่า
การจับก่อน-ผ่อนทีหลัง จะทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยสามารถกุมสภาพได้ ยิ่งในเมืองไทยที่มีทั้ง เจ้าของหมา เนติโสเภณี ข้าราชการทาส ดาราโง่เง่า ฯลฯ ก็ยิ่งต้องขยายขอบเขตเรดาร์ให้กว้างขวางขึ้นกว่าเดิม เรื่องนี้ตุรกีให้บทเรียนที่ชัดเจนมากครับ
จักรภพ เพ็ญแข
18 ก.ค. 2559

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar