Somsak Jeamteerasakul·Wednesday, October 5, 2016
“อ้าองค์สุริย์ศรีมีธรรมส่อง ปกครองอย่างทรงพระเมตตา”
https://goo.gl/0J1xlS
คำชี้แจง: ข้างล่างนี้ เป็นคำแปลภาษาไทยฉบับเต็ม บันทึกของทูตอังกฤษ เซอร์เดวิด โคล ที่พานายมัลคอล์ม แม็คโดนัลด์ อดีตข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าเฝ้าในหลวง เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2519 หรือเพียง 3 วันหลังกรณีนองเลือด 6 ตุลา ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสถึงเหตุการณ์นองเลือดและการรัฐประหารครั้งนั้น ตัวบทแปลนี้จะตีพิมพ์เป็นส่วนหนึ่งของบทความใหม่ที่จะรวมอยู่ในหนังสือ “ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง” ฉบับพิมพ์ครั้งใหมในเร็วๆนี้ แต่ข้อความที่เขียนประกอบตัวบทแปลข้างล่างนี้ เป็นข้อความเขียนเฉพาะสำหรับเผยแพร่ทางเฟซบุ๊คนี้เท่านั้น ไม่ได้จะรวมพิมพ์ในเล่มนั้นด้วย
สิ่งที่ควรสะดุดใจผู้อ่านบันทึกนี้คือ
เหตุการณ์ฆ่าหมู่สยดสยองที่ช็อคชาวโลกเพิ่งผ่านไปสดๆร้อนๆ
แต่ในหลวงมิได้ทรงแสดงพระอาการสลดพระทัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
อันที่จริงทรงมีท่าทีในลักษณะพยายามแก้ต่างให้กับเหตุการณ์นั้น
ด้วยการโทษขบวนนักศึกษา
(ความเชื่อของพระองค์เรื่องผู้นำนักศึกษามีเงินซื้อรถ ฯลฯ
ก็เหมือนกับการโฆษณาชวนเชื่อของสื่อฝ่ายขวาในขณะนั้น
ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย)
ความจริงคือสิ่งที่พระองค์กังวลพระทัยมากกว่าในขณะนั้นคือเรื่องที่จะพยายาม
"พีอาร์"
แก้ภาพลักษณ์ที่เสียหายไปต่อชาวโลกอันเนื่องมาจากการนองเลือดและการรัฐประหารนั้น
ทั้งในระหว่างมีพระราชดำรัสกับเซอร์โคล์และนายแม็คโดนัลด์
และในเวลาใกล้ๆกัน เช่นสิบวันต่อมา
เมื่อทรงขอคำแนะนำจากทูตสหรัฐว่าจะแก้ภาพลักษณ์ประเทศไทยอย่างไร (ดูโพสต์นี้ ของผมตั้งแต่ก่อนรัฐประหารครั้งหลัง หรือดูตัวบทภาษาอังกฤษโทรเลขทูตสหรัฐ ที่นี่
- ขอให้สังเกตว่ายังทรงยืนยันต่อทูตผ่านราชเลขานุการในพระองค์ว่า
นักศึกษาเป็นฝ่าย "ยั่วยุ" ให้เกิดการนองเลือดและรัฐประหาร
ทูตสหรัฐตอบว่าคงไม่มีทางแก้ผลสะเทือนจากภาพถ่ายและรายงานทางทีวีเกี่ยวกับการนองเลือดครั้งนั้นได้)
ไม่เพียงแต่มิได้ทรงแสดงพระอาการสลดต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ในวันที่ 6 ตุลานั้นเอง - ดังที่ผมได้แสดงให้เห็นตั้งแต่หลายปีก่อน -
ทรงส่งพระบรมฯไปที่ชุมนุมลูกเสือชาวบ้านที่ลานพระรูป
แสดงความห่วงใยต่อลูกเสือชาวบ้าน
(ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่ธรรมศาสตร์-สนามหลวงที่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร)
หลังจากนั้นไม่กี่วัน
พระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ก็เสด็จเยี่ยมเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บและเสด็จงานศพของลูกเสือชาวบ้านผู้หนึ่งที่เสียชีวิตจากการบุกเข้าไปในธรรมศาสตร์
ซึ่งเจ้าฟ้าสิรินธรทรงยกย่องว่าการกระทำของเขา
"สมควรแก่การเชิดชูเพื่อเป็นตัวอย่าง" (ดูบทความของผม "เราสู้ หลัง 6 ตุลา" ซึ่งจะตีพิมพ์ใน "ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง" ฉบับใหม่ ที่นี่ )
ยิ่งกว่านั้น
เห็นได้ชัดจากที่ทรงมีพระราชดำรัสต่อเซอร์โคลและนายแม็คโดนัลด์ว่า
ทรงเห็นชอบกับการรัฐประหารของคณะทหารที่อาศัยการสังหารหมู่นักศึกษาเป็นบันไดในครั้งนั้น
(เซอร์โคลมีโทรเลขถึงลอนดอนในอีกสี่วันต่อมา เล่าถึงการเข้าเฝ้าวันที่ 9
ว่า "ตลอดเวลาการเข้าเฝ้า
ในหลวงอยู่ในอารมณ์ทั้งหมดที่เห็นชอบกับคณะทหารอย่างแน่นอนมากๆ" [the whole
mood of the King at the Audience was so definitely one of approval of
the military] - ดูตัวบทโทรเลขนั้นทั้งหมด ที่นี่ )
ในอีก 2 เดือนต่อมา
ก็ทรงมีพระราชดำรัสต่อสาธารณะในลักษณะเดียวกับที่ทรงมีต่อเซอร์โคล-นายแม็คโดนัลด์
ทรง "เชียร์" ระบอบเผด็จการทหารขณะนั้น ดูโพสต์นี้ ของผม)
และท้ายที่สุด
ในพระราชดำรัสปีใหม่ 2520 ทรงกล่าวว่า "ในรอบปีที่แล้ว
ประชาชนคนไทยมีการแสดงออกชัดเจนขึ้นว่าต้องการอะไร เมื่อแสดงออกมาเช่นนี้
ก็ทำให้รู้ใจกัน"
เป็นไปไม่ได้ว่าจะหมายถึงเรื่องอื่นหรือทรงมีเรื่องอื่นในพระทัย
นอกจากการลุกขึ้นกำจัดนักศึกษาเมื่อ 6 ตุลาของพลังฝ่ายขวา (การ "แสดงออก"
ของ "ประชาชนคนไทย" ในคำของพระองค์ ซึ่งทำให้ "รู้ใจกัน" -
ดูโพสต์ของผมเกี่ยวกับพระราชดำรัสปีใหม่นั้น ที่นี่ )
ประเด็นว่าในหลวงทรง
"สั่ง" ให้พลังฝ่ายขวาเข้ากวาดล้างนักศึกษาเมื่อ 6 ตุลา
จนเกิดการนองเลือดอย่างสยดสยองเช่นนั้นหรือไม่
คงเป็นปัญหาที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยเด็ดขาดอย่างแท้จริง
แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ กำลังที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าหมู่ครั้งนั้น
ไม่ว่าจะลูกเสือชาวบ้าน หน่วยพลร่มตระเวนชายแดน
หรือกำลังตำรวจภายใต้การนำของตำรวจอย่างชุมพล โลหะชาละ
ล้วนแต่เป็นกำลังที่อยู่ในความอุปถัมภ์หรือใกล้ชิดแวดล้อมราชสำนักโดยตรง
(ดูบทความ "เราสู้" ของผม ที่นี่
โดยส่วนตัว ผมคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
บรรดาคนที่ควบคุมกำลังเหล่านี้โดยตรง ซึ่งล้วนเป็นคนที่ใกล้ชิดวัง
สั่งระดมกำลังเหล่านี้มา
โดยมีจุดมุ่งหมายชัดเจนที่จะเข้าจัดการกับนักศึกษาในธรรมศาสตร์
โดยที่ในหลวงและราชสำนักรับรู้การระดมกำลังเหล่านี้) ในแง่นี้ -
ดังที่ผมได้โพสต์เมื่อไม่กี่วันก่อน -
ความรับผิดชอบทางการเมืองและทางคุณธรรม (political and moral
responsibility) ต่อการนองเลือดครั้งนั้น อยู่กับสถาบันกษัตริย์อย่างแน่นอน
ข้อนี้
ความจริงก็ไม่ใช่อะไรที่ควรแปลกใจด้วยซ้ำ ถ้าเราใช้สติและดูข้อเท็จจริง
ไม่ใช่หลงอยู่กับภาพลักษณ์ที่ถูกปลูกฝังโดยไม่ยอมให้ตรวจสอบ (ประเภท "อ้าองค์สุริย์ศรีมีธรรมส่อง ปกครองอย่างทรงพระเมตตา")
ความเป็นจริงคือ ไม่ต่างจากผู้มีอำนาจจำนวนมากในอดีต
ในหลวงและสถาบันกษัตริย์ พร้อมที่จะยอมรับ-แก้ตัว (condone)
หรือกระทั่งใช้วิธีอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะผิดมนุษยธรรมอย่างไร
เพื่อรักษาสถานะอำนาจไว้
และนี่จึงอธิบายท่าทีที่ทรงมีต่อการฆ่าหมู่สยดสยองที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียง
2-3 วัน ดังบันทึกพระราชดำรัสข้างล่างนี้ (หรือการที่ทรงสามารถพูดถึงการ
"แสดงออก" ในเหตุการณ์นั้นของพลังขวาจัด ว่าเป็นอะไรที่ทำให้ "รู้ใจกัน")
........................
บันทึก เซอร์เดวิด โคล เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำไทย 9 ตุลาคม 2519
1.
ด้วยความโชคดี ผมสามารถนำมัลคอล์ม แม็คโดนัลด์
เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวในวันนี้.
เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงยินดีที่ได้พบมัลคอล์ม
และทรงแสดงออกว่าพระองค์ต้องการให้ภาพของเหตุการณ์ที่นี่ในแบบที่พระองค์นำเสนอ
ได้รับการถ่ายทอด ด้วยควาามระมัดระวังอย่างเหมาะสม
ให้เป็นที่เข้าใจในหมู่บุคคลสำคัญๆในต่างประเทศ. แม้จะทรงมีภารกิจอื่นๆอีก
การเข้าเฝ้าของเราครั้งนี้ก็กินเวลานานถึงหนึ่งชั่วโมง.
พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสอย่างตรงไปตรงมา
โดยที่ทรงแสดงออกอย่างชัดเจนตลอดการสนทนา
ว่าทรงเห็นชอบโดยทั่วไปกับการยึดอำนาจของทหารในครั้งนี้.
2. พระเจ้าอยู่หัวทรงแสดงทัศนะในประเด็นกว้างๆ ต่อไปนี้
A.
ในขณะที่พระองค์ยอมรับในลักษณะอุดมคติของนักศึกษาและสิทธิของพวกเขาในการพัฒนา
"กิจกรรม" หลายๆชนิด (รวมทั้งการที่พวกเขาสนใจการเมือง)
นอกเหนือไปจากการเรียนของพวกเขา,
แต่นักศึกษาบางคนได้หมกมุ่นตัวเองมากขึ้นๆกับการเมืองอย่างเต็มเวลา
จนละเลยการเรียนของพวกตน: และเหนืออื่นใด
ได้พยายามแสวงหาอำนาจเพียงเพื่ออำนาจนั้นเอง [POWER FOR ITS OWN SAKE]
พวกเขาได้ใช้เวลาของตนคอยหาประเด็นต่างๆที่ใช้โค่นรัฐบาลและโครงสร้างอำนาจเดิม
[THE ESTABLISHMENT].
B.
ในการกระทำดังกล่าว นักศึกษาเหล่านั้นได้รับการยุยงให้ท้ายจากภายนอก.
ไม่เช่นนั้น บรรดาผู้นำของพวกเขาจะสามารถเอาเงินจากไหนมาซื้อรถ ฯลฯ
C.
นักศึกษาเหล่านั้นได้สร้างความสัมพันธ์กับองค์กรอื่นๆ เช่น สหภาพแรงงาน
ไม่ใช่เพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่
แต่เพียงเพื่อเพิ่มอำนาจขององค์กรเหล่านั้น
D.
ถ้าให้ทรงเลือกระหว่างรัฐบาลทหารกับอำนาจของนักศึกษา
พระองค์แม้จะไม่ใช่ผู้นิยมเผด็จการ ก็จะทรงเลือกทหารมากกว่า.
นักศึกษาอาจจะมีอุดมคติบ้าง แต่พวกเขาไม่มีประสบการณ์หรือความรับผิดชอบ
และพวกเขาได้รับอิทธิพลจากภายนอกอย่างแย่ๆ. ในทางกลับกัน
ทหารมีสำนึกทางวินัยและความรับผิดชอบ ห่วงใยการทำให้ประเทศดีขึ้น
และมีประสบการณ์ในการปกครอง
E.
ถ้าประชาชนไทยต้องการลัทธิคอมมิวนิสม์จริงๆ ก็แล้วไป
แต่ไม่มีหลักฐานว่าพวกเขาต้องการ
การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และจากที่พระองค์ได้พูดคุยกับชาวบ้านที่นั่นหลังจากคอมมิวนิสต์เข้าครอบครองลาว
แสดงให้เห็นว่า คนไทยไม่ชอบสิ่งที่พวกเขาได้ยินมาเกี่ยวกับระบอบ
"ประชาธิปไตยประชาชน" [ในลาว]
3. ในประเด็นที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น พระเจ้าอยู่ทรงมีพระราชดำรัสว่า
A.
สักระยะหนึ่งแล้ว ที่พระองค์จำต้องทรงลงความเห็นว่า
การเข้ายึดอำนาจโดยทหารเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลชั่วคราวสัญญา
ธรรมศักดิ์ เป็นรัฐบาลที่ซื่อสัตย์ แต่ได้ใช้เวลาอย่างเชื่องช้าเนิ่นนาน
ในการผลักดันให้มีรัฐธรรมนูญที่มีรายละเอียดมากเกินไป (และ
ทรงกล่าวเป็นนัยว่า มีลักษณะเสรีนิยมเกินไป) หลังจากนั้น
ก็มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกที่นำมาซึ่งรัฐบาลประชาธิปไตยชุดแรกที่อ่อนแอและไม่มีเสถียรภาพ
หลังจากนั้น ก็มีเลือกตั้งทั่วไปอีก ตามมาด้วยรัฐบาลที่ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก
และเป็นรัฐบาลที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
B. ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ทั่วไปเช่นนี้ การเข้ายึดอำนาจจึงไม่ทำให้พระองค์ทรงแปลกใจ
C.
มีข่าวลือแพร่ออกไปว่า พระองค์ทรงยุยงให้ท้ายการยึดอำนาจครั้งนี้ล่วงหน้า
ซึ่งไม่เป็นความจริง
บรรดาหัวหน้าของคณะยึดอำนาจครั้งนี้ได้เคยบอกพระองค์ว่าพวกเขากำลังจะทำอะไร
แต่พระองค์ไม่ได้ทรงแสดงความเห็นอะไร เป็นที่ชัดเจนว่า
ต่อให้พระองค์คัดค้าน
(ที่ทรงพูดเช่นนี้โดยนัยยะคือพระองค์ไม่ได้ทรงคัดค้านแน่นอน)
พระองค์ก็จะไม่สามารถทำให้เหตุการณ์ต่างไปจากนี้
และการแสดงความเห็นอะไรไปของพระองค์ก็อาจจะทำให้เรื่องยุ่งเหยิงมากขึ้นอีก
D.
เหตุการณ์ที่ธรรมศาสตร์นั้น มีพลังต่างๆสารพัดประเภทเข้าเกี่ยวข้องด้วย
รวมทั้งอิทธิพลภายนอกและอิทธิพลคอมมิวนิสต์
แต่ถ้าจะพูดถึงหลักฐานจริงๆก็มีน้อยมากในเรื่อง เช่น
การเข้าเกี่ยวข้องของเวียดนาม
E.
สภาปฏิรูปเป็นคนดี อนุรักษ์นิยม แต่ภักดีต่อประเทศชาติ.
รัฐบาลใหม่ที่เป็นพลเรือนจะมีการตั้งขึ้นในสองสัปดาห์. หลังจากนั้น
การกลับไปสู่ประชาธิปไตยควรเป็นไปอย่างช้าๆ, ทีละขั้นทีละขั้น,
ประเทศไทยต้องเดินไปข้างหน้าตามแนวทางของตนเอง
พระองค์ทรงอยากให้รัฐธรรมนูญใหม่คราวนี้เป็นแบบของอังกฤษที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
คือ ให้มีข้อกำหนดหลักๆเพียงไม่มาก
ที่เหลือปล่อยเป็นช่องว่างให้มีการเพิ่มเติมในภายหน้าตามประสบการณ์ที่จะเกิด
4. หลังจากนี้ การสนทนาเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น เช่น การพัฒนาเกษตรกรรม ซึ่งสามารถแยกรายงานต่างหากจากนี้ได้.
โคล.
Inga kommentarer:
Skicka en kommentar