fredag 11 april 2014

รัฏฐาธิปัตย์มาแล้ว โดย จักรภพ เพ็ญแข.... กรณีที่เขาใช้นายสุเทพฯ มาลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของพวกเรานี้ มองให้ดีแล้วต้องนึกขอบคุณ เพราะจะหาใครที่สะท้อนความใจดำ คับแคบ โง่เขลา เผาบ้านตัวเอง ซึ่งเป็นวิสัยสันดานแท้จริงของระบอบซึ่งนายสุเทพฯ เลือกไปสังกัดอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ได้ดีไปกว่านี้อีกเล่า?

รัฏฐาธิปัตย์มาแล้ว โดย จักรภพ เพ็ญแข

วันนี้ขอร่วมคิดกับมวลชนประชาธิปไตยเกี่ยวกับประเด็น “รัฏฐาธิปัตย์” สักนิดครับ คำๆ นี้กลายเป็นคำฮิตขึ้นมาอีกครั้งเมื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กล่าวด้วยเสียงดังฟังชัดบนเวทีชุมนุมของฝ่ายที่ไม่เอาประชาธิปไตย เขาประกาศว่า พร้อมเข้าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และกรุยทางสร้างรัฐบาลของคนนอกซึ่งมิได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งก็แปลได้ว่า ต้องไปเอาอำนาจกษัตริย์ หรือพระราชอำนาจมาเป็นเครื่องมือในการแต่งตั้ง จากนั้นก็ท้าทายปวงชนชาวไทยว่า จะยกพวกมาตีกันเมื่อไหร่ก็ได้ เขาพร้อมรับอยู่เสมอ แต่ประโยคหลังนี้ออกจะพูดบ่อย จนแทบไม่มีใครสนใจแล้ว คำพูดที่นึกว่า จะยั่วยุให้เกิดความรุนแรงได้ตามความตั้งใจของคนพูด จึงกลายเป็นแผ่นเสียงตกร่องในยุคที่ใครๆ เขาใช้ระบบแผ่นแทนที่ไปนานแล้ว จึงกลายเป็นกระสุนด้านอยู่ทุกวันนี้

รัฏฐาธิปัตย์ แปลว่า ผู้ใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ ที่เรียกว่า อำนาจอธิปไตย ในภาษาอังกฤษ ก็เรียกอำนาจนี้ว่า sovereignty (โซฟเวอเร็นตี้) และผู้ใช้อำนาจนั้นว่า sovereign (โซฟเวอเรน) ในระบอบที่กษัตริย์มีอำนาจสูงสุดและสมบูรณ์ หรือ สมบูรณาญาสิทธิราช (absolute monarchy) แบบที่ไทยเราเป็นก่อนวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ ในเวลาย่ำรุ่ง ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์นั้นเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ โดยนิยมสอดราชาศัพท์เพิ่มเข้าไปว่า องค์รัฏฐาธิปัตย์ ส่วนในระบอบประชาธิปไตยนั้น ก็ชัดเจนพอกันว่าปวงชนของรัฐคือรัฏฐาธิปัตย์ แต่เมื่อปวงชนมีมากจนไม่สามารถมาร่วมประชุมกันได้ภายใต้หลังคาเดียวเหมือนใน สมัยเพลโต้ จึงต้องใช้วิธีเลือกตัวแทนแต่ละกลุ่มมาร่วมประชุมและใช้อำนาจอธิปไตยนั้น ร่วมกัน รัฐสภาและรัฐบาลจากการเลือกตั้งก็กลายเป็นรัฏฐาธิปัตย์ไปด้วยคตินั้น คำว่า รัฏฐาธิปัตย์ จึงสรุปง่ายๆ ได้ว่า บ้านนี้เมืองนี้ใครใหญ่ หากนำมาถามในเมืองไทย คงต้องพูดว่า ระหว่างประธาน กปปส. และครอบครัว บางส่วน กับปวงชนชาวไทยทั่วประเทศที่มิได้เป็นข้ารับใช้ของศูนย์อำนาจแห่งกรุงเทพมหา นครนั้น ใครใหญ่กว่าใคร

เรารู้ว่าคนแบบนายสุเทพฯ นั้น ถนัดพูดจาเพิ่มราคาให้ตนเอง บางครั้งก็ใจกล้าหน้าด้านพูดอะไรแหวกแนวออกไปก่อน เพื่อเรียกร้องความสนใจ และไปเคลียร์ใจกับพวกเดียวกันในภายหลัง เราคงไม่จับสิ่งที่นายสุเทพฯ พูดทุกๆ คำมาเป็นสำคัญนัก แต่คราวนี้ต้องยกเว้นหน่อย เพราะผมคิดว่านายสุเทพฯ มาถึงจุดสุดท้ายของศึกชิงเมืองในส่วนของเขาแล้ว เขาจำเป็นต้องงัดไม้ตายขึ้นมาทุกกระบวนท่า ซึ่งทำให้เราได้ความรู้มากว่าฝ่ายตรงข้ามคิดและวางแผนทำสิ่งใดอยู่ เรื่องนี้เสวนากันได้อีกมากมายกว้างขวาง แต่ผมจะขอร่วมคิดด้วยทางเลือกต่างๆ ว่า เราจะบริหารจัดการกับข้อเสนอเรื่องรัฏฐาธิปัตย์รอบนี้ในรูปลักษณะใดบ้างจึง จะดีและมีประโยชน์ยาวไกล:

๑. เอาผิดนายสุเทพฯ ว่าเป็นกบฏคิดล้มล้างรัฐธรรมนูญและการปกครองระบอบประชาธิปไตย

๒. ไม่เอาผิดนายสุเทพฯ และกระตุ้นให้พูดมากขึ้นเรื่อยๆ

๓. เอาข้อเสนอของนายสุเทพฯ เป็นฐาน แล้วเสนอระบอบรัฏฐาธิปัตย์ของฝ่ายปวงชนชาวไทยมาวางคู่กัน

๔. เอาข้อเสนอของนายสุเทพฯ มาจัดตั้งสังคมไทยให้พร้อมรับอำนาจสูงสุดกลับมาเป็นของตนเองมากขึ้น เพราะอำนาจนั้นเป็นของปวงชนชาวไทยโดยธรรมชาติ คนอื่นที่เคยอ้างมาตลอดนั้นเป็นของปลอม

๕. ถือโอกาสเรียกข้อเสนอนี้ว่า การฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เพื่อให้เกิดสติสัมปชัญญะขึ้นในหมู่คนไทยที่บางส่วนอาจจะงงๆ อยู่ว่าเกิดอะไรอยู่ในขณะนี้

กรณีที่เขาใช้นายสุเทพฯ มาลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของพวกเรานี้ มองให้ดีแล้วต้องนึกขอบคุณ เพราะจะหาใครที่สะท้อนความใจดำ คับแคบ โง่เขลา เผาบ้านตัวเอง ซึ่งเป็นวิสัยสันดานแท้จริงของระบอบซึ่งนายสุเทพฯ เลือกไปสังกัดอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ได้ดีไปกว่านี้อีกเล่า?

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar