torsdag 14 januari 2016

การเสนอแต่งตั้ง"สังฆราช"องค์ใหม่เป็นมติของคณะสงฆ์โดยตรง(กิจของสงฆ์) ไม่ใช่เรื่องของ"คสช.และอลัชชี"(ศิษย์กัยพระอาจารย์)หรือฆราวาส(วิษณุ)กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะเข้าไปแทรกแซงชี้นำ หยุดใช้อำนาจทางการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับศาสนา...ที่บ้านเมืองมีปัญหาวุ่นวายเวลานี่ก็เพราะคนไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง...

matichononline
"สุวพันธุ์" เผยได้รับหนังสือแจ้งมติมส.เสนอตั้ง"สมเด็จช่วง"เป็นสังฆราชองค์ใหม่แล้ว



"สุวพันธุ์" รับพศ.ส่งหนังสือแจ้งมติมส.เสนอชื่อ "สมเด็จช่วง" เป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ เตรียมถก "พศ.-คณะสงฆ์-วิษณุ" ข้อมูลเพิ่มเติมก่อนส่งให้ “บิ๊กตู่”


(หมายเหตุ-เรื่องของประเพณีความเชื่อ   ไม่เกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า)
คลิกอ่าน-www.matichon.co.th



คลิกอ่าน-จากวัด สู่ทำเนียบ กรณี สังฆราช บทบาท รัฐบาล
จากวัด สู่ทำเนียบ กรณี สังฆราช บทบาท รัฐบาลhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1452748007
Prachatai
'วิษณุ' เผย รัฐบาลไม่นำนามสมเด็จพระสังฆราช องค์ใหม่ ขึ้นทูลเกล้าฯ หากยังมีเสียงค้าน ระบุ การดำเนินการไม่มีกำหนดระยะเวลา
พระสังฆราช องค์ใหม่ ขึ้นทูลเกล้าฯ หากยังมีเสียงค้าน ระบุ การดำเนินการไม่มีกำหนดระยะเวลา พร้อมยกตัวอย่างในอดีตเคยมีรักษาการนาน 37 ปี


.............................................................


บทความอ่านประกอบ...


@ ใครปลอมพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช @
>> คณะสงฆ์เถรวาทในประเทศไทยมี 2 นิกาย คือ
1. มหานิกาย
2. ธรรมยุติกนิกาย
พระสงฆ์ที่อยู่กันคนละนิกายนี้ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าเป็น “ นานาสังวาส ” คือ ให้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ร่วมสังฆกรรมกัน ห้ามก้าวก่ายกัน เพื่อจะได้ไม่ทะเลาะกัน

>> ซึ่งในการปกครองคณะสงฆ์ไทย พระเถระของทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติกนิกายได้ประชุมกันที่ตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2494 ทำข้อตกลงในการปกครองคณะสงฆ์ ดังนี้
1. การปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง คงบริหารร่วมกัน แต่การปกครองบังคับบัญชาให้เป็นไปตามนิกาย
2.การปกครองส่วนภูมิภาค ให้แยกตามนิกาย
ข้อตกลงนี้เรียกกันว่า “ ข้อตกลงตำหนักเพชร 2494 ” และรัฐบาลได้รับรองข้อตกลงนี้อย่างเป็นทางการด้วย
>> เพราะข้อตกลงตำหนักเพชร 2494 นี้เอง ทำให้มีเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ตำแหน่งละ 2 รูป เป็นของมหานิกายและธรรมยุติแยกขาดจากกัน

**พระสงฆ์อยู่คนละนิกาย จะทำสังฆกรรมร่วมกันไม่ได้**___เช่น พิธีบวชพระธรรมยุติ จะให้พระมหานิกายเข้าไปนั่งในโบสถ์ด้วยไม่ได้ ลงปาฏิโมกข์ร่วมกันไม่ได้
>> เมื่อมีการกล่าวหาพระภิกษุว่าต้องอาบัติ การชำระอธิกรณ์ของสงฆ์ในเรื่องนี้เป็นสังฆกรรม เรียกว่า “ นิคหกรรม ” จึงเป็นเรื่องที่คณะสงฆ์ของแต่ละนิกายต้องดำเนินการเอง จะไปก้าวก่ายเรื่องของสงฆ์ในนิกายอื่นไม่ได้
>> เพราะเหตุนี้ เวลามีเรื่องอธิกรณ์ของพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติ เช่น กรณีพระยันตระ เมื่อเรื่องเข้ามาสู่มหาเถรสมาคม กรรมการมหาเถรสมาคมฝ่ายมหานิกายจะนิ่งหมดไม่พูด ให้กรรมการมหาเถรสมาคมฝ่ายธรรมยุติดำเนินการไป ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และเป็นไปตามข้อตกลงตำหนักเพชร 2494

สมเด็จพระญาณสังวร ฯ สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติ**
ส่วนพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย ภิกขุ) เป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย**
>> จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สมเด็จพระญาณสังวร ฯ ซึ่งทรงเป็นเปรียญธรรม 9 ประโยค แตกฉานในพระธรรมวินัย จะกระทำการละเมิดพระธรรมวินัยเสียเอง โดยไปก้าวก่ายเรื่องนิคหกรรมของภิกษุในนิกายอื่นซึ่งเป็นนานาสังวาส แม้ พรบ.สงฆ์จะกำหนดให้สมเด็จพระสังฆราชมีอำนาจตราพระบัญชาปกครองคณะสงฆ์ แต่ก็กำกับไว้ด้วยว่า จะต้อง “ โดยชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม ” ดังนั้นสมเด็จพระสังฆราชจะทรงกระทำการใดที่ละเมิดพระธรรมวินัยไม่ได้
>> นอกจากนี้พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงอนุญาตให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามปรับอาบัติปาราชิกแก่ภิกษุรูปอื่นโดยพลการ สมเด็จพระญาณสังวรฯ จะฝ่าฝืนพระวินัยของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
>> เมื่อมีพระภิกษุถูกโจทก์ว่าต้องอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง พรบ.สงฆ์ได้ให้อำนาจมหาเถรสมาคมตรากฎมหาเถรสมาคมว่าด้วยเรื่องนิคหกรรม กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในเรื่องดังกล่าวไว้อย่างละเอียดชัดเจน ตามหลักพระธรรมวินัย โดยต้องตัดสินด้วยองค์คณะไม่ใช่ด้วยภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง โดยแบ่งออกเป็นศาลสงฆ์ชั้นต้น ชั้นอุทธรณ์ และชั้นฎีกา
>> มหาเถรสมาคม คือ ศาลสงฆ์ชั้นฎีกา สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งประธาน กรรมการมหาเถรสมาคม จึงเป็นประธานศาลสงฆ์ชั้นฎีกา เปรียบทางโลกหากศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิจารณาคดี อยู่ๆ ประธานศาลฎีกาจะออกมาประกาศพิพากษาโดยพลการว่าผู้ต้องหากระทำความผิดไม่ได้ ประธานศาลฎีกาคนไหนไปทำเข้า ก็เท่ากับตนไปทำผิดกฎหมายเสียเอง
>> ผู้ที่ยืนยันว่าพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช กรณีปาราชิกดังกล่าวเป็นของจริง จึงเท่ากับ **กำลังประจานว่าพระองค์กำลังกระทำการละเมิดพระธรรมวินัย ละเมิดกฎหมาย และละเมิดกฎมหาเถรสมาคม**
>> เพื่อรักษาพระเกียรติของสมเด็จพระสังฆราช มีความเป็นไปได้สูงว่า พระลิขิตดังกล่าวเป็นของปลอม ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
1. มีการปลอมพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชเกิดขึ้นจริง ดังปรากฏหลักฐานตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 23/2547 ซึ่งได้สรุปเรื่องที่เป็นเหตุให้ต้องมีการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ว่าเป็นเพราะมีการปลอมพระลิขิตหลายกรรมหลายวาระ อาทิ

- ปลอมพระลิขิตปลดนายบัณฑูร ล่ำซำ ผู้จัดการและประธานมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ จากตำแหน่ง และเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กระทบพระเกียรติสมเด็จพระสังฆราช จึงมีการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามให้สืบสวนในทางลับ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 จนในที่สุดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2545 กองพิสูจน์หลักฐานได้ออกรายงานที่ 1001/2545 ลงความเห็นว่า ลายเซ็นของสมเด็จพระสังฆราช ในเอกสารทั้ง 6 รายการ เป็นลายเซ็นปลอม มีการดำเนินคดีกับ นายเรวัตร อุปพงศ์ นายสิทธิโชค ศรีสุคนธ์ และพระราชรัตนมงคล ผู้รับใช้ใกล้ชิดในวัดบวรนิเวศ ในข้อหา “ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม”
- ในเดือนธันวาคม 2546 ได้มีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชเสนอแต่งตั้งพระราชรัตนมงคล(ผู้ต้องหาในคดีปลอมลายเซ็นของสมเด็จพระสังฆราช) เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม แต่สุดท้ายพระเทพสารเวที เลขานุการของสมเด็จพระสังฆราช ได้ขอพระลิขิตดังกล่าวกลับคืนไป ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชน เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ และเสื่อมเสียพระเกียรติยศของสมเด็จพระสังฆราช และทำให้เกิดความสับสนในหมู่ชาวพุทธเป็นอย่างยิ่ง
2. พระลิขิตในการกล่าวโทษเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายดังกล่าว มีข้อผิดสังเกตหลายประการ อาทิ
- ตัวเลขวันที่ ปีพ.ศ.ใช้ตัวเลขอารบิค ซึ่งในการคณะสงฆ์จะทราบดีว่า เป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง เพราะเอกสารสำคัญของการคณะสงฆ์จะใช้เฉพาะเลขไทยเท่านั้น แม้นักเรียนบาลีก็ต้องใช้เลขไทยทั้งหมด

- วรรคตอนข้อความขาดเป็นช่วงๆ ผิดหลักภาษาไทย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่เอกสารสำคัญของสมเด็จพระสังฆราชจะใช้สำนวนการพิมพ์เช่นนี้
- เมื่อมีการโจษจันกันหนาหูว่า พระลิขิตดังกล่าวเป็นของปลอม ผู้ที่มารับรองสำเนาถูกต้องย้อนหลัง คือ พระราชรัตนมงคล ซึ่งเป็นผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาปลอมเอกสารและลายเซ็นสมเด็จพระสังฆราช
3. เนื้อหาในพระลิขิตละเมิดพระธรรมวินัย ละเมิดกฎหมาย และละเมิดกฎมหาเถรสมาคม ดังกล่าวแล้วข้างต้น
4. กรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูปทราบดีถึงพระพลานามัยของสมเด็จพระสังฆราช หลายกรณีจึงเหมือนน้ำท่วมปาก รู้ความจริงแต่พูดไม่ออก เพราะเกรงกระทบพระเกียรติยศของสมเด็จพระสังฆราช ทำให้ต้องนิ่งเงียบ
5. เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2547 มหาเถรสมาคมจึงได้ประชุมร่วมกันทั้ง 2 นิกายแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช
>> น่าเห็นใจมหาเถรสมาคมเป็นอย่างยิ่งที่พยายามถนอมพระเกียรติสมเด็จพระสังฆราชอย่างเต็มที่ จึงได้มีมติมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 ความว่า “ สนองพระดำริมาโดยตลอด ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม ” เป็นการหาทางออกที่บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น แก้ปัญหาด้วยความนุ่มนวล รักษาพระเกียรติสมเด็จพระสังฆราช และรักษากฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม จนเรื่องจบไปเป็นสิบปีแล้ว
>> แต่กลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี บังอาจหยิบยกเอาพระลิขิตดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงพระเกียรติยศของสมเด็จพระสังฆราช พระธรรมวินัย และหลักกฎหมาย
>> จึงขอให้กลุ่มบุคคลผู้มืดบอดหยุดการกระทำที่เลวร้ายดังกล่าวโดยทันที และขอให้สังคมตื่นรู้ ร่วมกันประณามการกระทำที่เลวร้ายละเมิดกฎหมาย พระธรรมวินัย และ **ลบหลู่พระเกียรติยศสมเด็จพระสังฆราช**

1 kommentar:

  1. ทำอะไรกันอยู่จะลบหมดแล้วเขียนใหม่เลยเหรอ สูงส่งปานใดนรกก็ไม่รับสินบนนมีแต่เวรกรรมที่พาไปเท่านั้น

    SvaraRadera