fredag 15 januari 2016

ประเทศไทยเปลี่ยนไปแล้ว... สังคมไทยไม่เหมือนเดิม......ป่วย(การ)ปรองดอง ......

khaosod
ป่วย(การ)ปรองดอง
คอลัมน์ ใบตองแห้ง

วั
นที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 19:25 น.

“ไอ้ตู่” ไปงานแต่ง แค่นั่งโต๊ะเดียวกับ “ลุงกำนัน” โดนเสื้อแดงด่าขรมต้องชี้แจงพัลวัน แล้วจะ “ปรองดอง” อะไรกัน ไม่ว่าแกนนำหน้าไหน ลองโดดไปนั่งในคณะกรรมการ ก็โดนมวลชน “ตัดหางปล่อยวัด” สถานเดียว
ประเทศไทยเปลี่ยนไปแล้ว สังคมไทยไม่เหมือนเดิม ไม่มีทางที่คนไทยจะเลิกเห็นต่างกัน ไม่มีทางที่จะยืนร้องเพลงชาติท่องค่านิยม 12 ประการ แล้วว่าอะไรก็ว่าตามกันเหมือนแถวทหารเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา
 
ไม่ว่าใครหน้าไหน ไม่ว่าแกนนำหรือนักการเมืองที่นิยมชมชอบเพียงไร ก็สั่งมวลชนซ้ายหันขวาหันไม่ได้ พูดง่ายๆ ต่อให้ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ ถ่ายปฏิทินกอดมาร์ค เทือก ขอให้เลิกแล้วต่อกัน มวลชนก็จะสมานฉันท์เอารองเท้าขว้างทั้งสองฝ่าย
 
แต่นี่แหละคือพัฒนาการประชาธิปไตย การเมืองไทยยกระดับสู่การเมืองของมวลชน ชนชั้นนำไม่ว่าข้างไหนก็เกี้ยเซี้ยกันไม่ได้ ถ้าไม่สามารถหาจุดลงตัวที่มวลชนสองฝ่ายพอใจ
 
แม้แน่ละ นี่ยังไม่ใช่ประชาธิปไตยอารยะ เพราะต้องยกระดับไปอีกขั้น คือยอมรับความเห็นต่าง ขัดแย้งกันอย่างสันติ เสียงข้างน้อยยอมรับมติข้างมาก เสียงข้างมากเคารพเสรีภาพเสียงข้างน้อย โดยใช้เหตุผลทั้งสองฝ่าย (ไม่ใช่เสียงข้างน้อยสู้ไม่ได้ก็ยกตนเป็นคนดีปิดถนน)
 
ยังไงๆ ประชาธิปไตยก็ไม่ตรงกับสังคมในอุดมคติของกองทัพ ที่เรียกร้องคนไทยว่า ถ้ารักชาติศาสน์กษัตริย์ก็จงสามัคคีเลิกทะเลาะกัน ร่วมกันสร้างชาติให้เข้มแข็ง ใต้ผู้นำ
 
ประชาธิปไตยนี่แหละคือทะเลาะกัน แต่มีกติกาให้ทะเลาะอย่างสันติ เพราะประชาธิปไตยคือระบอบที่ใช้ต่อรองผลประโยชน์ในสังคมทุนนิยม ต่อให้ไม่มีแบ่งสีแบ่งฝ่าย ชาวสวนยางก็ต้องเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาราคาตกต่ำ ชาวนาก็ต้องการให้ช่วยภัยแล้ง สหภาพแรงงานก็ต้องชุมนุมเรียกร้องโบนัส นายทุนไม่ว่ายุคไหนก็ต้องล็อบบี้ผู้มีอำนาจ
 
ปรองดองจึงไม่ใช่เรียกร้องให้เลิกแล้วต่อกัน เราหยุดแล้วท่านยังไม่หยุด คนได้เปรียบสิหยุด คนเสียเปรียบใครจะยอมหยุด ปรองดองต้องสะสางอดีตอย่างยุติธรรม ชี้ถูกชี้ผิด รับผิด แล้วให้อภัยกัน แต่ต้องยุติธรรมจริงนะ ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมถูกแฮ็กด้วยศีลธรรม จนสองมาตรฐาน


ปรองดองยังต้องเกิดในสภาวะที่ยอมรับซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งบังคับ อีกฝ่ายคับแค้นถูกบีบคั้น ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งถูกทุกอย่าง อีกฝ่ายถูกตะเพิดเป็นผู้ร้าย นั่นไม่ใช่ปรองดอง นั่นเป็นสภาวะที่ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าตัวเองชนะแล้วจึงเจรจาให้ยอมจำนน เพียงแต่ยอมประนีประนอมบ้างเพื่อให้ชนะอย่างสัมบูรณ์
 
ถามจริง ชนะแน่แล้วหรือ จึงบีบให้ยอมจำนน
ปรองดองยังต้องตกลงเงื่อนไขอนาคต เราจะขัดแย้งกันต่อไปอย่างไร ภายใต้กติกาแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งก็คือรัฐธรรมนูญต้องวางกลไกให้อำนาจมาจากการแข่งขันด้วยคะแนนนิยม ไม่ใช่อำนาจฝ่ายหนึ่งต้องแข่งขัน แต่อำนาจอีกฝ่ายไม่ต้องแข่ง ตั้งตนเป็นคนดีเป็นผู้คุมกติกามาคอยเล่นงาน โดยอ้างว่าปราบทุจริต


คิดแบบนี้อีกกี่ชาติก็ปรองดองไม่ได้ คิดแต่จะวางกลไกไม่มาจากเลือกตั้งคอยเล่นงานอำนาจที่มาจากความนิยม คิดแต่จะวางกลไกแก้วิกฤต เดี๋ยวก็มีคนก่อวิกฤต คิดแต่จะอ้างความดีมีศีลธรรม ทั้งที่ตัวเองก็เป็นประธานบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่าปั่นหุ้น อ้าว บอกจะห้ามสภาผัวเมียแต่ตั้งลูกเป็นเลขาฯ
 
สิบปีผ่านมาที่อ้างว่าไล่คนเลว แม้นักการเมืองไม่ใช่คนดี แต่เอาเข้าจริงคือกลไกอำนาจอนุรักษนิยมทั้งประเทศ “ดับเครื่องชน” สิทธิตัดสินอนาคตตนเอง ของประชาชนคนชั้นล่างและคนชั้นกลางเกิดใหม่ในชนบท ที่เป็นเสียงข้างมาก ซึ่งวันนี้อาจอยากเลือกพรรคนี้ วันหน้าอาจอยากเลือกพรรคใหม่ก็ได้ แต่ไม่ใช่เลือกไปแล้วโดนรัฐประหาร เลือกไปแล้วโดนโค่นล้มด้วยศาล พอชุมนุมคัดค้านก็ถูกกระสุนจริง ซ้ำคนสั่งยังไม่ผิด


นี่ไม่ใช่นักการเมืองถูกกระทำ แต่ประชาชนถูกกระทำ ต่อให้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จกดไว้ ตราบใดที่ไม่ได้รับความยุติธรรมก็ลบไม่ได้ ยิ่งกดยิ่งดัน ยิ่งเกิดความไม่ยุติธรรมใหม่ ถ้าเชื่อว่าทำให้ยอมจำนนได้ก็ลองดู


หรือต่อให้ลบอดีตได้ บีบคั้น ตะล่อม ให้หยวนยอมรับกลไกไม่เป็นประชาธิปไตย นายกฯ คนนอก ส.ว.ล็อบบี้สรรหา ศาลรัฐธรรมนูญมาตรา 7 อำนาจอิสระต่างๆ ที่จะมาพิพากษาการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชน ท้ายที่สุด ความแตกแยกใหม่ก็ระเบิดขึ้นอยู่ดี

Inga kommentarer:

Skicka en kommentar