lördag 17 oktober 2015

"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร " อดีตนายกฯคนที่ 28 .".ร้องขอความยุติธรรม ?" กับรูปเสือในกระดาษได้อย่างไร?.รู้ทั้งรู้ว่านายกเผด็จการประยุทธ์ผู้ยึดอำนาจรัฐจากตัวเองทำงานรับใช้ตามใบสั่งสนองพวกอำมาตย์เผด็จการทรราช... คำตอบที่จะได้คือ "NO" ให้ไม่ได้..!!! อีกทั้งซะตากรรมประยุทธ์เองก็"ลูกผีลูกคน"ไม่ต่างอะไรกับยิ่งลักษณ์คงช่วยใครไม่ได้ !!! จบ



รายงานพิเศษ
เมื่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รุกหาคนผิดทุจริตโครงการรับจำนำข้าว บุคคลที่ตกเป็นจำเลยถูกโฟกัสไปยังอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" และเครือข่ายที่เป็นนักการเมืองและนักธุรกิจ

"ยิ่งลักษณ์" จึงเขียนจดหมายเปิดผนึกถึง "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อขอความเป็นธรรมจากนายกฯ

ในจดหมาย "ยิ่งลักษณ์" เรียกร้อง 3 ข้อ สิ่งที่ "ยิ่งลักษณ์" ขอจาก "พล.อ.ประยุทธ์" มี 3 ข้อ คือ

1.พิจารณาทบทวน และยุติการดำเนินการใด ๆ ที่ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลเสนอ และดำเนินการให้ท่านใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการข้าวในปัจจุบัน ลงนามทำคำสั่งทางปกครองใดๆ อันขัดต่อหลักความเป็นกลาง และเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อมีคำสั่งให้บุคคลใดชำระหนี้ค่าเสียหาย อันเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายโครงการรับจำนำข้าว ที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา แทนการพิจารณาและพิพากษาคดีของศาล

2.ภายหลังการสอบสวนโดยกระบวนการสอบสวนที่ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เสร็จสิ้น หากพบความเสียหาย รัฐเองควรให้หน่วยงานของรัฐฟ้องคดีต่อศาล เพื่อแสดงให้เห็นว่าท่านมีความยุติธรรมและเที่ยงธรรมต่อทุกคนที่ถูกกล่าวหา

3.การพิจารณาคดีอาญาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยังไม่เสร็จสิ้น และอายุความในคดียังเหลือเวลาอีกนาน ตามที่ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลแถลง จึงไม่ควรเร่งรีบ รวบรัด ในการทำสำนวนการตรวจสอบความรับผิดทางละเมิด ควรให้โอกาสผู้เกี่ยวข้องหรือผู้เสียหายได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอ และเป็นธรรม

จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวถูกส่งถึงมือ "พล.อ.ประยุทธ์" วันที่ 13 ต.ค.

เป็นจดหมายที่เกิดขึ้นหลังจาก รัฐบาลแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเรียกค่าเสียหายจากโครงการจำนำข้าว

บัดนี้ คณะกรรมการทั้งสองชุดคำนวณมูลค่าความเสียหายโครงการจำนำข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงลงนาม และส่งต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ รับทราบ เส้นตายกระบวนการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจะต้องเห็น-เป็นรูปธรรม ไม่เกิน 30 ธันวาคมนี้

ค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวที่ "ยิ่งลักษณ์" และเครือข่ายอาจต้องชดใช้ มีจำนวนเงินสูงถึงแสนล้านบาท

และเกิดขึ้นหลัง "ยิ่งลักษณ์" ต้องตกเป็นจำเลยในคดีอาญา ที่อัยการสูงสุด ส่งฟ้อง "ยิ่งลักษณ์" ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
และความผิดกรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็กำลังจะจบกระบวนการตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 29 ตุลาคมนี้ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการไต่สวน

แม้ว่า "ยิ่งลักษณ์" จะพยายามต่อสู้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ครั้งแรกต่อสู้โดยยื่นคำร้องคัดค้านการเพิ่มพยานของอัยการสูงสุด ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และยื่นขอให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว เนื่องจากคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาฯ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งศาลยกคำร้องทั้งสองประเด็น



ครั้งต่อมา "ยิ่งลักษณ์" ฟ้องอัยการสูงสุด และพวกอีก 4 คน กรณีมีความเห็นชี้ข้อไม่สมบูรณ์ในคดีโครงการทุจริตรับจำนำข้าว และไม่ไต่สวนให้เสร็จสิ้น แต่กลับมีความเห็นสั่งฟ้องเพียง 1 ชั่วโมง ก่อนที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะพิจารณาลงมติถอดถอน "ยิ่งลักษณ์" ออกจากตำแหน่ง

นอกจากนี้ อัยการสูงสุดยังกล่าวหาว่า "ยิ่งลักษณ์" สมยอมให้เกิดการทุจริตและแสวงหาประโยชน์มิชอบ เพิ่มเติมจากข้อกล่าวหาที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งไว้

แต่ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า อัยการทำตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่มีหลักฐานที่อัยการสูงสุดจะกลั่นแกล้งอดีตนายกรัฐมนตรี จึงมีคำสั่งให้ "ยกฟ้อง"

ในกระบวนการต่อสู้ทางกฎหมาย "ยิ่งลักษณ์" แพ้ถึงสองครั้งสองหน มีเสียงจากทีมทนายที่ต่อสู้คดีวันนี้ว่า "สู้ไปก็เหมือนใช้กำปั้นชกกำแพง"

แล้วไพ่ใบล่าสุดที่มาจากทีมทนายต่อสู้คดีของ "ยิ่งลักษณ์" ก็ปรากฏ

และเป็นที่มาที่ "ยิ่งลักษณ์" ทำ "จดหมายเปิดผนึก" ถึง พล.อ.ประยุทธ์ฝ่ายกฎหมายยิ่งลักษณ์ ชี้แจงว่า จดหมายดังกล่าว ต้องการเตือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะฝ่ายบริหาร ไม่ควรดำเนินการเอาผิดกับฝ่ายบริหารในอดีตด้วยกัน ไม่เช่นนั้น พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ที่เคยเป็นฝ่ายบริหารทั้งคู่กันกลับมาแก้แค้นกันไปนานแล้ว

ในการต่อสู้ทั้งคดีแพ่ง-อาญาของ "ยิ่งลักษณ์" ทุกวันนี้ นอกจากมีทีมทนายความที่เป็นผู้ร่างจดหมายเปิดผนึก และเซตวาระต่อสู้ทางด้านคดี และด้านการเมืองให้ เป็นแนวหน้า-แนวรบที่หนึ่ง

แนวรบที่สอง คือ ด้านกฎหมายที่ประจำการช่วยคดีแบบ "คลุกวงใน" โดยฝ่ายกฎหมายของพรรคเข้าไปช่วยดูคดี และให้ไอเดียสำหรับต่อสู้คดีเป็นบางเรื่อง

แนวรบที่สาม ซึ่งทำหน้าที่เป็นกองหนุนซัพพอร์ตเรื่องข้อมูล ในวงดังกล่าวปรากฏชื่อ วราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ รมช.เกษตรฯ นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรักษาการนายกรัฐมนตรี นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย อดีต รมช.คลัง พ่วงด้วยทีมงานทนายความของ "ยิ่งลักษณ์"

ในวอร์รูมต่อสู้คดีได้ ดักทางฝ่ายทนายแผ่นดินไม่ให้ใช้กรณีที่นายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กรณีก่อให้เกิดความเสียหายจากการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปใช้ในการปกป้องค่าเงินบาท ในช่วงระหว่างปี 2539-2540 มาใช้เป็นข้อเปรียบเทียบในทางคดีเพื่อเอาผิด "ยิ่งลักษณ์" ตามที่ "วิษณุ เครืองาม" รองนายกฯ เคยกล่าวไว้


ขณะที่ "วิษณุ" โต้แย้งว่า การดำเนินคดีทั่วไปรัฐจะเป็นผู้ฟ้องร้อง แต่เนื่องจากมี พ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ.2539 ที่บัญญัติไว้ หากเป็นการกระทำละเมิด และการกระทำนั้นจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต้องฟ้องเจ้าตัว ไม่ให้ฟ้องรัฐ โดยการดำเนินการออกคำสั่งทางปกครองภายในระยะเวลา 2 ปี หากไม่พอใจสามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวได้"

การชักเย่อระหว่างฝ่ายทนายยิ่งลักษณ์ กับ ฝ่ายทนายแผ่นดิน มี "วิษณุ" เป็นหัวขบวน และเป็นศิษย์ก้นกุฏิของ "มีชัย ฤชุพันธุ์ นักกฎหมายระดับพญาครุฑ มองประสบการณ์ การต่อสู้คดี เท่านี้ก็พอเห็นคำตอบว่าใครจะถึงเส้นชัย





Inga kommentarer:

Skicka en kommentar