måndag 29 oktober 2012

.....อวสาน‘ถิ่นกาขาว’!...." กาดำ.สัตว์นรกในร่างคน.".. เวลาในการต่อสู้กับ “กาดำ” ที่แสร้งทำตัวเป็น “กาขาว” ใกล้จะจบลงแล้ว ด้วยว่า “กาขาว” ได้ถูก “โรคตาสว่าง” ลอกคราบสีจนล่อนจ้อนเหลือแต่เพียงความดำมืดของจิตใจเท่านั้น การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายยังคงมีอยู่และน่าจะรุนแรงอย่างถึงที่สุด นอกเสียจากบริวารจะถอยออกมาแล้วพูดวลีเด็ดว่า “มันจบแล้วครับนาย” ก็น่าจะยังคงอยู่กันแบบกระท่อนกระแท่นต่อไปได้


tisdagen den 24:e juli 2012


อวสาน‘ถิ่นกาขาว’!

อวสาน‘ถิ่นกาขาว’!

คอลัมน์/บทความ -

เรื่อง อวสาน‘ถิ่นกาขาว’!
       โดย Pegasus

มา ถึงวันนี้คนไทยประจักษ์ชัดแล้วว่า คำทำนายเรื่อง “ถิ่นกาขาว” หมายถึงอะไร เดิมทีบอกว่าเป็นเรื่องฝรั่งผิวขาวเข้ามาเต็มเมือง คำทำนายถิ่นกาขาวยังบอกว่าเป็นกลียุคเพราะโจรครองเมือง พอประมวลเหตุการณ์ทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วก็มาถึงข้อสรุปว่า ถิ่นกาขาวหมายถึงกาที่แท้จริงมีสีดำ ทำการอำพรางความดำของตัวเองด้วยการเอาสีขาวมาทาให้คนเข้าใจผิด

นับ ว่าผู้ทำนายเหตุการณ์นี้แม่นเหมือนตาเห็น เพราะโจรที่ครองเมืองอาศัยข้ออ้างว่าตนเองเป็นคนดี มีคุณธรรม แต่แอบทำความชั่วตามนิสัยเดิมของตน จนในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผยออกมา คนแล้วคนเล่า กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ว่าแท้จริงแล้วคนดี มีคุณธรรมทั้งหลาย ก็คือกาดำนั่นเอง

บัดนี้ได้เวลาเปิดโปงกาดำเหล่านี้ให้หมดเปลือก และขับไล่ออกจากบ้านนี้ไปให้พ้น เพื่อเปิดรับนกที่ดีมีคุณธรรมที่แท้จริง เช่น นกพิราบขาวที่รักสันติ รักประชาธิปไตย และรักมนุษย์ด้วยกัน ช่วงนี้เป็นการปะทะกันระหว่างความดีคือฝ่ายประชาชน กับฝ่ายชั่วคือสมุนเผด็จการอำมาตย์ จุดจบไม่ว่าจะเร็วหรือช้าเพียงใดก็ตาม ประชาชนจะชนะเสมอ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียไปมากเพียงใดก็ตาม แต่การทำให้จบแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจะก่อให้เกิดความสูญเสียน้อยกว่าการปล่อย เวลาให้ทอดยาวออกไป และประชาชนต้องเสียสละกันต่อไป

แต่เมื่อฝ่ายการ เมืองคิดสู้โดยมีประชาชนหนุนหลังและมหาอำนาจสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี รวมถึงเพื่อนบ้านที่แสนดีอย่างญี่ปุ่นแล้ว เผด็จการที่ไหนจะทนแรงพัดโหมกระหน่ำของกระแสประชาชน กระแสประชาธิปไตย กระแสแห่งเสรีภาพและความยุติธรรมที่โหยหามานานหลายสิบปีได้

ถึงเวลา นี้เครื่องมือในการควบคุมถิ่นกาขาว ไม่ว่าจะเป็นสื่อ องค์กรในบังคับต่างๆ ตุลาการ และทหารต่างก็ชักบันไดหนี จนทุกอย่างจวนตัวหมดไม่สามารถทำลายฝ่ายประชาธิปไตยได้ดังใจ ยิ่งการถอยของฝ่ายตุลาการ เพราะการฟ้องคดีไม่เนียน ความรู้ไม่มี ผิดขั้นผิดตอน ผิดหลักกฎหมาย เพราะมีคนสั่งจนร้อนรนไปหมด ในที่สุดจุดอ่อนก็มีมากมายจนไปไม่ได้ ทำให้เหลือเพียงการจะใช้กำลังทหารที่พอคุมได้ให้ออกมายึดอำนาจก่อนที่ ทุกอย่างจะสายเกินไป ซึ่งก็ขาดความชอบธรรมอีก และทำให้ถูกปราบปรามได้ง่ายดาย ข้าราชการที่เคยเข้ามาประจบประแจงก็จะถอยห่างออกไป หมดคนที่เคยห้อมล้อม มีแต่ความเย็นเยียบของความเปล่าเปลี่ยว หาคนไว้ใจได้ไม่มีความโดดเดี่ยวหงอยเหงาเช่นนี้ช่างกัดกินชีวิตเสียเหลือ เกิน ไม่ว่าจะมีเงินทองมากล้นเพียงใดก็ตาม ก็เพียงซื้อความสมบูรณ์ทางร่างกาย แต่หาความสุขสมบูรณ์ทางจิตใจสักน้อยนิดไม่มี ไม่ช้าก็จะทรุดและหลุดลอยไปในที่สุด

ประเด็นอยู่ตรงนี้ ที่ถิ่นกาขาวต้องหมดไปพร้อมกับความเคียดแค้นและไฟริษยาอาฆาตต่อเพื่อนมนุษย์ ไฟโทสะที่ร้อนจะพาไปหาธาตุร้อน คือไฟนรกที่แผดเผาจนหมกไหม้ชั่วกาลนาน ผู้ที่นิยมยินดีก็จะอาสาตามไปหมกไหม้ในนรกด้วยความเต็มใจ เพราะตั้งใจจะติดตามกันไปอยู่แล้ว

แต่ประชาชนคนไทยและผู้รัก ประชาธิปไตยต้องระวังไม่ให้เอาจิตไปผูกพันกับวัตถุที่จะไปยังนรกอเวจี ด้วยการดีใจหรือสะใจกับความทุกข์ของผู้อื่น แม้ว่าจะทำกับประชาชนไว้มากก็ตาม เพราะหากไปผูกติดไว้เมื่อตนเองจะหมดลมหายใจก็อาจถูกลากลงไปในนรกด้วย อย่าได้ประมาทเป็นอันขาดทีเดียว

เวลาในการต่อสู้กับ “กาดำ” ที่แสร้งทำตัวเป็น “กาขาว” ใกล้จะจบลงแล้ว ด้วยว่า “กาขาว” ได้ถูก “โรคตาสว่าง” ลอกคราบสีจนล่อนจ้อนเหลือแต่เพียงความดำมืดของจิตใจเท่านั้น การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายยังคงมีอยู่และน่าจะรุนแรงอย่างถึงที่สุด นอกเสียจากบริวารจะถอยออกมาแล้วพูดวลีเด็ดว่า “มันจบแล้วครับนาย” ก็น่าจะยังคงอยู่กันแบบกระท่อนกระแท่นต่อไปได้

ฝ่ายประชาชนเองก็อย่า ชะล่าใจ ปล่อยให้คนกลุ่มนี้ตั้งตัวได้หรือมีการสืบทอดอำนาจกันได้อีกต่อไป ในเวลานี้สิ่งที่ควรทำคือ รวมตัวกันเป็นกลุ่มๆละ 50 คน แล้วเชื่อมโยงไปกลุ่มอื่นๆอีก 3-4 กลุ่ม เพื่อว่ามีความจำเป็นจะได้ช่วยกัน เงื่อนไขคือต้องไม่ให้มีการปิดล้อมสังหารเหมือนเดิม แต่ประชาชนจำนวนมากต้องไปเร็วมาเร็ว ตลบหลังได้หลายๆชั้น ในที่นี้ควรจะเป็น 4 ชั้น ระวังพลเรือนที่ทหารติดอาวุธปลอมตัวเข้าไปปะปน เพื่อสังหารหรือสร้างสถานการณ์ หาโอกาสไปรับการฝึกอบรมการป้องกันตัวเองกับตำรวจหรือทหารฝ่ายประชาธิปไตย เมื่อเกิดเหตุการณ์ยาวนานจะได้เข้าเป็นกำลังหนุนได้
ประเทศไทยมีประมาณ 1,000 อำเภอ 9,000 ตำบล หากครึ่งหนึ่งเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ก็จะเท่ากับ 500 อำเภอ 4,500 ตำบล ถ้าประชาชนรวมกันได้ 2,000 คนที่จะต่อสู้ในยามจำเป็นได้ 1 อำเภอ 1 สถานีตำรวจก็จะเป็นจำนวนคนที่มีคุณภาพอย่างน้อย 1 ล้านคน ซึ่งมาจากชาวบ้านเพียงตำบลละ 200-250 คน ที่เป็นคนหนุ่มที่มีสติและความแข็งแรงเท่านั้น ไม่รวมทหารแปรพักตร์อีกจำนวนหนึ่ง เท่านี้ทหารก็ยากจะใช้กำลังหรือรัฐประหารได้

แต่ถ้าเมื่อสั่งแล้ว ทั้งตุลาการ ข้าราชการ และทหารนิ่งเฉย “กาขาว” ก็หมดสภาพ ประชาชนก็ขับเคลื่อนประเทศไปได้โดยมีแนวร่วมคือรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย จะดี จะชั่ว ประชาชนจะช่วยกันดูแลเอง ความสงบ สันติอย่างถาวรจะมาสู่สังคมไทย และนั่นหมายถึงการหมดยุค “ถิ่นกาขาว” ที่หลอกลวงประชาชนมาตลอดหลายสิบปี เข้าสู่สังคมยุคศิวิไลซ์ที่มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง และทุกคนมีกินกันทั่วหน้าชั่วลูกชั่วหลาน

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 369 วันที่ 21-27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 หน้า 10 คอลัมน์ เพื่อชาติประชาชน โดย Pegasus

1 kommentar: